ตรึกแก้วต้องนึกน้อม เบาเบา
แค่ว่ามีในเรา อยู่แล้ว
อย่าตรึกเพ่งเขม็งเอา จริงเน้อ
เดี๋ยวเครียดเพราะตรึกแก้ว เพ่งแล้วกลางกาย
ตะวันธรรม
ยอม หยุด เย็น
เสาร์ที่
๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๕
Link ไฟล์เสียงนำนั่งสมาธิใน youtube
ง่ายแต่ลึก 1 |EP.11| : ยอมหยุดเย็น - YouTube
(เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ............)
...ตรึก ก็คือการนึกถึงดวงใส ๆ อย่างสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย
หรือสิ่งที่เรารัก ถ้าคุ้นเคยมากเห็นจนเจนตาก็จะนึกได้ง่าย รักมากก็นึกได้ง่ายเหมือนกัน
ให้นึกคล้าย ๆ อย่างนั้น ไม่ใช่เพ่งลูกแก้ว ไม่ใช่ไปเค้นภาพ ให้นึกเบา ๆ สบาย ๆ
#การตรึก #นึกนิมิต
นึกได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นไปก่อน นึกไปเรื่อย ๆ
อย่างสบาย ๆ ไม่ต้องเร่งร้อน ทำใจให้ใสบริสุทธิ์เยือกเย็น
แม้ไม่ชัดเจนก็ไม่เป็นไร ชัดแค่ไหนก็เอาแค่นั้นไปก่อน แล้วก็นึกให้ต่อเนื่อง
อย่าให้เผลอจนกระทั่งใจแวบไปคิดเรื่องอื่น แต่ถ้าอดไปคิดเรื่องอื่นไม่ได้
ก็ปล่อยมันไป ช่างมัน อย่าไปรำคาญ อย่าไปกังวล อย่าไปคิดว่าความฟุ้งเป็นอุปสรรคต่อการนั่ง
ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น เฉย ๆ คือ พอรู้ตัวเราก็ดึงใจกลับมาเริ่มต้นใหม่อย่างง่าย
ๆ
ยอมเริ่มต้นใหม่อย่างง่าย ๆ
คล้าย ๆ กับนักเรียนอนุบาล ยอมตรงนี้ไปก่อน ส่วนมากมักจะยอมกันไม่ค่อยได้
เพราะยอมไม่ได้จึงเกิดปัญหา ทำให้การปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้า
อย่าฟังผ่านนะลูกนะ ตรงนี้สำคัญ
เพราะความไม่ยอม บางทีติดมา ๑๐ ปี ก็มี ๑๐ กว่าปี ก็มี บางคน ๒๐ ปี
ระหว่างนั้นก็เตือนย้ำบ่อย ๆ แต่ก็ฟังผ่าน ไม่ได้เป็นข้อคิดสะกิดใจ จนกระทั่งท้อ
เบื่อการนั่งก็มาซักถามดูว่า สาเหตุเป็นเพราะอะไร ถึงได้รู้ว่าเพราะไม่ยอมนั่นเอง
ไม่ยอมทำใจ
เหมือนคนไม่มีเงินต้องยอมรับว่าเราไม่มีเงิน
นี่ก็เหมือนกันเราก็ยอมรับไปก่อนว่ามันมีให้ดูแค่นี้ มันไม่ชัด
เหมือนเอาของหรือเอาดวงแก้วไปตั้งไว้ในที่สลัวหรือในที่ไกล ๆ
มองไปทีไรมันก็ไม่ชัดเจน ก็ต้องยอมรับก่อนว่ามันมีให้ดูแค่นี้
เราก็ดูไปแค่นี้จะไปเพ่งแบบคนตาหยี
หรือจะไปบังคับไปเค้นให้ชัดยังไงมันก็ไม่ชัดต้องยอม ๆ ไปก่อน
ต้นกล้าไม้ที่ปลูกยังเล็ก ๆ เราก็ต้องยอมรับว่าจะไปเฆี่ยนไปตีมัน
จะใส่ปุ๋ยแค่ไหน ไปขู่เข็ญไปอ้อนวอนแค่ไหนว่า ให้ออกลูกเดี๋ยวนี้ มันไม่ออกหรอก
มีแต่ที่เขาเล่นกลเท่านั้น แต่ความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้น ต้องยอมรับนะลูกนะ
อย่าฟังผ่านนะ ยอมรับว่าต้นกล้าอ่อน มันยังไม่มีลูกหรอก ไม่มีดอก ไม่มีผล
ลูกคนไหนที่ทำสวน ทำไร่
ทำนาจะเข้าใจว่ามันต้องยอมรับยอมรับแล้วทำไงต่อ ก็ทำใจสบาย เหมือนผู้เข้าใจชีวิต
เข้าใจต้นไม้ เข้าใจเรื่องของประสบการณ์ภายในดีพอสมควร ยอมก่อนนะลูกนะ
ยอมว่ามันมืด ก็ต้องยอมไปก่อนว่ามันมืด ถ้านึกภาพขึ้นมา
เห็นได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นไปก่อน ใจเย็น ๆ ทำเหมือนปลูกต้นไม้อย่างที่ยกตัวอย่าง
หมั่นรดน้ำ พรวนดิน ขจัดวัชพืช ใส่ปุ๋ย ค่อย ๆ ประคับประคองกันไป เดี๋ยวกล้านั้นก็จะค่อย
ๆ เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน
ยิ่งให้เงาของเราไปทับต้นไม้ หมายถึงว่า เราจะต้องเอาใจใส่ หมั่นไปดู
อย่าเผลอ ทุกอย่างเผลอเป็นเสร็จ ไม่ว่าเรื่องคนสัตว์สิ่งของ อย่าไปวางใจ
เชื่อก็เชื่อแต่อย่าเพิ่งวางใจ ทุกอย่างเผลอไม่ได้ จะเป็นคนสนิทชิดชอบ จะเป็นอะไรก็แล้วแต่
อย่าเผลอเชื่อ อย่าเพิ่งวางใจ ต้นกล้าก็เหมือนกัน อย่าเผลอลืมรดนน้ำ ลืมไปดู
ลืมไปขจัดวัชพืช ลืมพรวนดิน ลืมใส่ปุ๋ย คอยดูว่าอะไรที่จะทำให้ต้นกล้าปลอดภัยแล้ว
ก็เจริญเติบโตอย่างงดงาม เราก็ทำอย่างนั้น
ต้องให้เงาเจ้าของไปทับต้นไม้ เขาอุปมากันอย่างนั้น
ใจของเราก็ต้องให้เข้ามาครอบคลุมที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ บ่อย ๆ
ที่บอกให้ลูกทุกคนก่อนนอนเอาใจวางไว้กลางกาย จะได้หลับฝันดีหรือไม่ฝันเลย
ตื่นเราก็เอาใจไว้กลางกาย เป็นสิ่งแรกที่เราจะต้องนึกถึงจะเข้าห้องน้ำห้องท่า
อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ใจก็หมั่นนึกเอาไว้เรื่อย ๆ ทำความรู้สึกไว้เรื่อย ๆ
ว่าอยู่ตรงกลาง จะทำมาหากินก็ทำอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องยอมรับว่ามีให้ดูแค่นี้ก็ดูแค่นี้
และผลจากการยอมรับอะไรเกิดขึ้น ใจก็เย็น พอใจเย็นหนักเข้า ใจมันก็ใส
ไม่มีความขุ่นมัวเลย พอใจใส ดวงก็ใสตาม ที่มืดก็ใส ที่ไกลก็ใกล้ เหมือนเอาดวงตั้งไว้ไกล
ๆ ก็ค่อย ๆ ใกล้เข้ามาพอจะเป็นเนื้อเป็นตัวเป็นดวงขึ้นมาได้บ้าง
ค่อยรู้สึกอบอุ่นใจ ปีติใจ ภาคภูมิใจว่า มันชัดขึ้นเมื่อใจเราเย็น
และยอมรับว่ามันได้แค่นี้ก็แค่นี้
แล้วจะก็มีอานิสงส์ต่อไปอีก ถ้าเรายอมรับต่อไปว่า ตอนนี้ชัดมา ๑๐
เปอร์เซ็นต์แล้ว เราไม่ไปบีบไปเค้นไปบังคับเลย
ไก่ฟักไข่ให้ออกมาเป็นตัว มันก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน
ไม่ใช่ว่านั่งทับปุ๊บ ลูกไก่เจาะกระเปาะไข่ออกมาเป็นตัวเลย มันก็ไม่ใช่
แม่ไก่ยังยอมรับว่าต้องค่อย ๆ กกไป เราก็ยอมรับว่า เห็นได้ ๑๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว
ก็ทำใจอย่างเดิม
อย่าเปลี่ยนวิธีการเด็ดขาด
ไปได้ยินคนอื่นเขามีประสบการณ์ภายในดีกว่าเรา
กลับมาคิดจะหาวิธีปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อจะให้ดีเท่าเขา อย่าคิดนะลูกนะ
นั่นโบราณเขาถึงบอกว่า เห็นช้างขี้อย่าไปขี้ตามช้าง ช้างก็คือช้าง เราก็คือเรา
เขาทำได้อย่างนั้น เราคิดแค่นี้พอว่า สักวันหนึ่งเราก็ต้องได้อย่างนั้น
แต่ในวันนี้เรายอมรับว่า เราได้ ๑๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว เราก็ค่อย ๆ สั่งสมไป
#สม่ำเสมอ
คงจำกันได้หลวงพ่อบอกว่าไม่มีทางลัดอื่นใดเลยที่จะทำให้เรามีประสบการณ์ภายในที่ยิ่ง
ๆ ขึ้นไป นอกจากความเพียรและทำถูกวิธีเท่านั้น คือ ต้องทำสม่ำเสมอทุกวัน ทั้งวันได้ก็ยิ่งดี
ทั้งวันไม่ได้ เราก็เอาเป็นช่วง ๆ ไป ทำช่วงเช้าได้ เอ้า
วันพรุ่งนี้ก็อาจจะช่วงสายแล้วมันก็ค่อย ๆ เต็มวันไปเอง
#ความพอใจ
พอใจของเรายอมรับ ใจก็หยุด
พอหยุดใจก็เย็น พอเย็นก็เห็นภาพชัดขึ้นกว่าเดิม จาก
๑๐ เปอร์เซ็นต์ ก็เป็น ๒๐ เปอร์เซ็นต์ เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
เหมือนการเลี้ยงลูก ค่อย ๆ เลี้ยงก็เห็นการเปลี่ยนแปลงของลูกรักเราได้ชัดเจน
ปลูกต้นไม้ก็เช่นเดียวกันก็เห็นการเจริญเติบโตให้ได้ชื่นใจขึ้นมาเรื่อย ๆ
ก็ยังต้องยอมอย่างเดิม ยอมรับว่ามันเท่านี้ พอยอมมันก็หยุด พอหยุดมันก็เย็น พอเย็นก็เห็นภาพ
เอ้า ชัดกว่าเดิมอีกแล้ว จาก ๒๐ เป็น ๔๐ เปอร์เซ็นต์ ก็รักษาตรงนี้
อย่าให้เสื่อมลงมา แม้มันไม่เจริญขึ้นก็ให้คงที่เอาไว้
จำนะลูกนะ จำและทำด้วย
รับทราบแล้วก็รับปฏิบัติด้วยก็ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ๔๐ เปอร์เซ็นต์
ยอม...หยุด...เย็น ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เห็นไหมจ๊ะว่า
ถ้าเรายอม...หยุด...เย็น เดี๋ยวก็เห็นจ้าขึ้นเรื่อยๆ เราก็มีความสุขเพิ่มขึ้น
และเป็นสุขทุกครั้งที่นั่ง จะไม่มีความรู้สึกว่าฝืนนั่ง
หรือพยายามที่จะนั่งให้เกิดสมาธิหรือให้ใจสงบ
ไปได้ยินใครเขาพูด เขาปฏิบัติดี มีประสบการณ์ภายในก้าวหน้ากว่า
เราก็ฟังไว้ ก็ชื่นชมอนุโมทนากับเขา แต่อย่ามาน้อยเนื้อต่ำใจว่า เราไม่เท่าเขา
หรือกลับมาเร่งจะให้เท่าเขา เหมือนเขา หรือดียิ่งกว่าเขา อย่าทำนะลูกนะ
เราไปเห็นอีกสวนหนึ่ง โอ้โห ต้นไม้มันใหญ่
สวนที่บ้านเราเพิ่งสูงแค่เมตร แต่สวนอื่นเขา ๕ เมตรไปแล้ว ก็จะพยายามไปรีดไปเค้น
ไปดึงให้มันยืดขึ้นมา มันไม่ได้นะลูกนะ มันก็มีขบวนการสั่งสมของมัน
ใจภายในก็เช่นเดียวกันต้องค่อย ๆ สั่งสมความละเอียดและก็หมั่นสังเกตว่า
เรามีความสุขเพิ่มขึ้นในการนั่ง เพราะว่าเราไม่เร่งร้อน เรายอม เราหยุด เราเย็น
ยอมรับชีวิต อย่าไป Spoil ชีวิตมันมากนัก ยอมนะ ใจเย็น ๆ สบายๆ
มันก็จะเบิกบานยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ความเบิกบาน
ความสุขที่อยากจะนั่งจะเป็นพลังส่งให้เราก้าวหน้าขึ้นทุกวัน
เครื่องเสริมการปฏิบัติธรรม
#สิ่งที่เกื้อหนุนการปฏิบัติธรรม
นอกเวลาเราก็หมั่นสังเกตว่า
อะไรจะเป็นเครื่องเสริมให้ใจเราก้าวหน้ากว่านี้ เช่น การปลูกมะม่วง
เขาเสริมรากที่โคนต้น จากเดิมรากเดียวต้นเดียวไม่แข็งแรง เอาสัก ๒ ราก ๓ ราก ๕ ราก
ให้มันแข็งแรงขึ้น เอ้า เราก็เสริมสิ รักษาศีล ๕ ของเราให้บริบูรณ์ หรือรักษาศีล ๘
แบบเดินสายกลาง ทุกวันพระ วันโกน หรือหลังวันพระอีกวัน เราก็ถือกันไปแบบสายกลาง
เพราะว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องเพศเรื่องเดียว มันยังเกี่ยวพันกับการรับประทาน
และอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องเกี่ยวข้องกับสังคม ส่วนทานบารมีเราก็สั่งสมไป
ศีลเราก็รักษา
แล้วก็สำรวจจิตใจของเราให้มันผ่องใสเสมอ ให้อารมณ์ดี ๆ อย่าให้ขุ่นมัว
หมั่นดักความคิดในใจว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรเป็นกลาง ๆ อะไรเป็นบุญ
อะไรเป็นบาป อะไรไม่ใช่บุญ ไม่ใช่บาป เราก็หมั่นสังเกต เหมือนร่างกายของเรา
นอกจากรับประทานอาหารธรรมดาแล้ว ยังมีอาหารเสริมขึ้นมาอีก เพื่อพยุงร่างกายให้แข็งแรง
แล้วยังไม่พอยังต้องออกกำลังกาย ต้องพักผ่อนให้เต็มที่
มันต้องมีเครื่องช่วยเสริมเข้ามาอย่างนี้
ใจก็เหมือนกันนะลูกนะ ให้หมั่นสังเกต
หมั่นดักความคิดในใจถ้าเป็นอกุศลเราก็ไม่รับไว้ แต่ถ้ามันเกิดเราก็ทำเฉย ๆ
มันอยู่กับเราไมน่านหรอก เดี๋ยวก็ผ่านไป มันก็เกิดชั่วคราวเดี๋ยวมันก็ดับ
พอเกิดขึ้นตั้งอยู่ เดี๋ยวอารมณ์นั้นก็เสื่อมสลายหายไป นี่คือเครื่องเสริม
พอเสริมอย่างนี้หนักเข้า เวลาเรามานั่งธรรมะ ใจจะรวมได้เร็ว
เมื่อวานนี้ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว วันนี้เราก็นิ่งเฉยเริ่มต้นใหม่
เริ่มต้นใหม่มันก็ไป ๕๐ เปอร์เซ็นต์อีกก็ไม่เป็นไร ยอมมันไปก่อน เราเข้าออกตรง ๕๐
เปอร์เซ็นต์นี้ให้คล่อง ต่อไปจะชำนาญมากเข้า แต่เดิมนั้นต้องใช้เวลา ๑ ชั่วโมง
ถึงจะไปถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ต่อมาแค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว
ต่อมาก็ลดลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งแค่ ๕ นาที มันก็ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว
ฝึกจนกระทั่งคล่องไปเลยตรง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ พอเราไม่เร่งร้อนว่าให้ถึง ๑๐๐
เปอร์เซ็นต์ หรือยิ่งกว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ พอทำอย่างนี้หนักเข้า
มันก็ก้าวหน้าไปเอง
#ยอม หยุด เย็น
หนทางที่เราเดินบ่อย ๆ
หญ้ามันไม่รกหรอก แล้วเราก็จะเจนทาง ตรงไหนมีก้อนอิฐ ตรงไหนมีตอ มีหลุมมีบ่อ
เราก็หลบเลี่ยงได้ ทางเดินของใจก็เช่นกัน ทำให้มันคุ้น เดี๋ยวเราก็จะรู้ว่า อ๋อ
ตรงนี้มันเป็นหลุม เป็นบ่อ เป็นตอของการปฏิบัติธรรม มันสะดุดทุกทีเวลามาถึง
อย่างนี้เราก็สังเกตออก แล้วในที่สุดก็ชำนาญไปเรื่อย ๆ จาก ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ก็เป็น
๖๐, ๗๐ , ๘๐ , ๙๐,๑๐๐ เปอร์เซ็นต์
แม้ได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว ยอม...หยุด...เย็น
ก็ยังต้องเอามาใช้นะลูกนะ ยอมว่าเราเพิ่งได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่คนอื่นเขา ๒๐๐
เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว ยอมไปก่อน เออ ตอนนี้เราถึงดวงนะ แต่เขาถึงกายภายในไปแล้ว
ช่างเขานะลูกนะ อย่าลืมใช้วิธีเดิมวิธีเดียว คือยอม...หยุด...เย็นเท่านั้น
เหมือนเรารับประทานอาหาร ใช้วิธีเดียว คือ ตักข้าวเข้าปากวิธีเดียว
ถ้าใส่ทางจมูกต้องเจาะคอ นั่นมันผิดธรรมชาติ
ฟังเสียงก็เหมือนกันวิธีเดียววิธีเดิมนั่นคือ ต้องผ่านช่องหู เพราะฉะนั้นการทำให้ก้าวหน้าก็ใช้วิธีเดิมวิธีเดียวเท่านั้น
เพราะฉะนั้นเราเห็นดวงชัดใสแจ่มทีเดียวนะ กลมดิ๊ก สว่างเจิดจ้า เอ๊ะ
ทำไมไม่เห็นกายภายในเหมือนอย่างคนอื่นเขาเห็นล่ะ เอาล่ะสิ
ตัวอุปสรรคพญามารมันสอนเราในตัวแล้วนะ มันมากระซิบในใจว่า เอ๊ะ เราเห็นดวงขนาดนี้
มันน่าจะเห็นกายแล้วนะทำไมยังไม่เห็น ตัวนั้นมันกระซิบอยู่ในใจ อย่าไปเชื่อนะลูกนะ
เราก็ยังทำ ยอม หยุด แล้วก็เย็นต่อไป เย็นไปเรื่อย ๆ ไม่ช้าหรอกจะเร็ว
ทำที่หลวงพ่อบอกจะเร็วมาก ๆ และนั่งจะมีความสุขทุกครั้ง
ถ้านั่งแล้วไม่มีความสุขก็อย่าไปนั่งมันเลย
นั่งไปทำไม ถ้าอยู่เฉย ๆ สุขมากกว่า ก็เพราะว่านั่งผิดวิธีจึงไม่มีความสุข
จึงไม่ได้รับความสุขที่เกิดจากการเจริญภาวนา
เพราะฉะนั้นเรายอม ได้ดวงแล้ว แต่ยังไม่เห็นกายก็ช่างมันสองตัวนะ “ช่างมัน”
อีกสามตัว คือ “ยอม หยุด เย็น” ยอมว่าเราหยุดใจได้แค่นี้
ใจมันก็จะได้หยุด แล้วมันจะได้เย็นใจ พอใจอยู่เย็นมันก็เป็นสุข เราคงเคยได้ยิน
อยู่เย็นเป็นสุข อยู่ร้อนมันเป็นทุกข์ จำนะลูกนะ จำไว้ให้ดี ๆ ถ้าจำได้แล้ว
ต่อจากนี้ไป นิ่งตรงกลางอย่างสบาย ๆ เราถึงตรงไหน ยอม หยุด แล้วก็เย็นนะลูกนะ
ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ
วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2565