จำคำนี้ “สักแต่ว่า” นะลูกเอ๋ย
จะเปิดเผยสิ่งล้ำค่าให้ลูกเห็น
เห็นความมืดติดตาอย่าลำเค็ญ
สักแต่ว่าฉันเห็นก็เป็นพอ
นิ่งเบาๆ ต่อไปใจนิ่งนิ่ง
เดี๋ยวก็ปิ๊งใสแจ๋วจนร้องอ๋อ
เพิ่งเข้าใจ “สักแต่ว่า” วันนี้นอ
ช่วยบอกต่อ “สักแต่ว่า” ค่าล้ำจริง
ตะวันธรรม
๔ ส. สำเร็จ/เราเป็น ศูนย์กลางของจักรวาล
ศุกร์ที่
๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗
Link ไฟล์เสียงนำนั่งสมาธิใน youtube
ง่ายแต่ลึก 1 |EP.3 | : เราเป็นศูนย์กลางของจักรวาล/4 ส.สำเร็จ
(เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้วต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ............)
... หยุดแรก นี่จะยากสักนิด ก็ไม่ใช่ยากมาก ยากนิดหน่อย แต่ก็ต้องอาศัยการฝึกฝน
ทำความเพียรให้สมํ่าเสมอ ต้องมีสติกับสบาย สมํ่าเสมอ แล้วก็สังเกต ๔ ส. นี้
ต้องจำให้ดี
สติ ก็คือการดึงใจกลับมาอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ให้ได้ตลอดเวลาเลย ทำอย่าง สบายๆ
คล้ายๆ กับเรานึกถึงเรื่องราวที่เราชอบ คือนึกแล้วมันไม่มึน ไม่ซึม ไม่ตึง
ระบบประสาทกล้ามเนื้อต้องไม่เกร็ง ไม่เครียด ต้องผ่อนคลาย
แต่ที่ไม่สบายก็เพราะเราเอาลูกนัยน์ตากดลงไปดู
เพราะเราคุ้นเคยและก็ชินว่าการที่จะมองภายในนั้นต้องกดลูกนัยน์ตา ต้องเหลือบตาลงไป
ถ้าเหลือบเฉยๆ มันก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าตั้งใจเกินไปมันก็จะแรง กดลงไปโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ
เราก็นึกว่าเรามองธรรมดา แต่จริงๆ แล้วเรากำลังกดลูกนัยน์ตา
สมํ่าเสมอ คือทำให้ได้ทุกวัน
ทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดินหรือว่าถ้ามันมากไปก็เอาแค่สองเวลา คือ
หลับตากับลืมตา หรือหายใจเข้าหายใจออกก็ได้
สังเกต คือเวลาเลิกนั่งสมาธิแล้วให้หมั่นสังเกตว่า
เราทำถูกหลักวิชชาไหม ถ้าไม่ถูกก็ปรับปรุงแก้ไข ถ้าถูกก็ทำให้เจริญขึ้น คล่องขึ้น
ให้ชำนาญขึ้น สักวันหนึ่งก็จะเป็นวันสว่างของเรานะลูกนะ
การเห็นทางใจและการเห็นด้วยตาเนื้อ
การเห็นทางใจจะต่างจากการเห็นด้วยตาเนื้อ
การเห็นด้วยตาเนื้อสำหรับคนที่มีดวงตาปกติ พอเราลืมตาเราจะเห็นได้ทันทีและของไกลๆ
มักจะเห็นชัดน้อยกว่าของใกล้ๆ แต่การเห็นภาพทางใจนั้นจะค่อยๆ เห็น คือค่อยๆ ชัด
เพราะเรายังมีความมืดในใจอยู่ เหมือนความมืดในยามราตรี ของอะไรอยู่ในที่มืดก็มองไม่ค่อยเห็นจนกว่าเราจะทำนิ่งๆ
ให้สายตาคุ้นกับความมืดก็พอจะคาดคะเนว่า มีอะไรบ้าง
แต่ก็ยังเห็นได้ไม่ชัดเจนจนกว่าจะฟ้าสางๆ นั่นแหละจึงจะค่อยๆ เห็น ภาพภายในจะคล้ายๆ
อย่างนั้น
จะมีมนุษย์พิเศษบางคนที่เขาสั่งสมบุญมามาก
ฝึกมาข้ามชาติพอหลับตาเขาก็นึกภาพได้ชัดราวกับการเห็นภาพด้วยตาเนื้อถึง ๖๐
เปอร์เซ็นต์ก็มี ๗๐ , ๘๐ , ๙๐ เปอร์เซ็นต์ก็มี
แต่ที่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ยังไม่เคยเจอ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะค่อยเป็นค่อยไป
ซึ่งตรงนี้แหละ มันทำให้เราไม่คุ้น และมักจะขัดใจเราเสมอ
เรามักจะฮึดฮัด เวลาเราอยากจะเห็นภาพภายในก็พยายามไปเค้นภาพ
มันก็ทำให้ระบบประสาทกล้ามเนื้อเกร็งและเครียด เขาก็อุทธรณ์ฟ้องเราว่า
มันไม่ถูกวิธีแล้วแหละ ทนไม่ได้แล้ว ถ้าเราฝืนทำต่อไปมันก็ไม่เกิดประโยชน์
เพราะมันผิดวิธี
เพราะฉะนั้น จะให้ใจหยุดได้ก็ต้องหลับตาพอสบาย ปรือๆ ตานิดๆ
ไม่ถึงกับปิดสนิท แล้วก็ทำความรู้สึกว่าใจอยู่ในท้อง เราจะนึกเป็นภาพดวงแก้วใสๆ
หรือองค์พระใสๆ ก็ได้ หรือองค์พระที่เคยกราบไหว้บูชาองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้
หรือจะเป็นดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ ดวงดาว เพชรสักเม็ดหนึ่งอยู่ในตัว ค่อยๆ นึกไป
นึกได้ก็เห็นได้ แต่ภาพที่เกิดจากการนึกมันไม่ชัดเจน เราก็ต้องใจเย็นๆ
ไม่ต้องใช้ลูกนัยน์ตากดลงไปดู ลูกนัยน์ตาก็ยังวางอยู่ที่เดิม
แต่เรานึกภาพทางใจไว้ภายใน เหมือนเรานึกภาพดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
ดวงดาวอยู่บนท้องฟ้า เรายังนึกภาพได้ โดยเราก็ไม่ต้องเหลือกตาขึ้นไปมองก็ยังนึกได้ว่าอยู่ข้างบนท้องฟ้า
ทีนี้เราเปลี่ยนมาเป็นนึกในกลางท้องเรา เป็นดวงใสๆ องค์พระใสๆ ทำสบายๆ
ถ้ามีความรู้สึกเกร็งตึง แสดงว่าไม่ถูกวิธีแล้ว ต้องผ่อน
แต่ที่สำคัญคือเปลือกตาอย่าเม้มสนิท
เมื่อเราปรือตาก็จะทำให้เกิดการผ่อนคลายระบบประสาทกล้ามเนื้อ
และเราก็นิ่งอย่างนั้นเรื่อยไปเลย จะมีคำภาวนา สัมมาอะระหัง ไปด้วยก็ได้
หรือไม่มีก็ไม่เป็นไร
เราก็ทำนิ่งๆ นุ่มๆ ละมุนละไม คล้ายๆ สำลีที่ลอยฟ่องไปบนท้องฟ้า
หรือเหมือนขนนกที่ล่องลอยไป แม้ตกไปบนผิวนํ้าก็ไม่จม หรือจะนั่งนิ่งๆ
อย่างนี้ก็ได้ ให้รู้จักว่า สบาย เป็นอย่างไร
สบายในระดับนี้ ยังไม่ถึงสบายในระดับเข้าถึงความสุข
แต่เป็นสบายในระดับที่ไม่เป็นทุกข์ ไม่เครียดก่อน เราค่อยๆ ฝึกไป
เพราะเรายังเป็นนักเรียนอนุบาลอยู่ อย่าไปฝึกแบบคนเก่งแล้วนะ เราฝึกแบบคนไม่เก่ง
สบายๆ นิ่งๆ นุ่มๆ ระวังเปลือกตานะ นิ่งๆ อย่างเดียว นิ่งอย่างสบายๆ
เดี๋ยวตัวจะขยายไปเอง แล้วก็หายกลืนไปกับบรรยากาศเลย
ที่นึกเป็นภาพก็จับภาพไว้อย่างละมุนละไม
อย่าไปเค้นภาพองค์พระหรือดวงแก้วใสๆ นะ นิ่งๆ นุ่มๆ ละมุนละไม สบายๆ
อย่าไปใช้กำลังในการบังคับใจเรา อย่าไปฮึดฮัด ให้นั่งแบบเยือกเย็น ใจใสๆ ต่างคนต่างทำกันไปเงียบๆ
นะ
ขอบฟ้าว่าใหญ่กว้าง เพียงไร
แต่เล็กกว่าความใหญ่ พุทธแก้ว
ตรึกนิ่งหยุดภายใน ขยายออก
ครอบหมดฟ้าดินแล้ว นี่แท้อัศจรรย์
ตะวันธรรม
เราเป็น ศูนย์กลางของจักรวาล
ศุกร์ที่
๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗
.......นั่งอย่างสบายๆ
อย่าไปใช้กำลังในการบังคับใจ อย่าไปฮึดฮัด ให้นั่งแบบใจเย็นๆ ใจใสๆ
นั่งแบบผู้มีบุญ แบบสุขุมาลชาติเพราะเราสั่งสมบุญกันมาอย่างดีแล้วในทุกๆ
บุญที่ผ่านมา นับบุญทุกบุญทั้งในอดีตทั้งในปัจจุบัน
พร้อมที่จะสนับสนุนให้เราได้หยุดนิ่งได้เข้าถึงดวงธรรม ถึงพระรัตนตรัยในตัวอย่างง่ายๆ
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องค่อยๆ วางใจเบาๆ สบายๆ ใจเบิกบานหน้ายิ้มๆ
ที่ออกมาจากภายใน ให้ใจใสๆ เหมือนเราเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ศูนย์กลางของสรรพสิ่ง
นิ่ง นุ่ม ละมุนละไม แบบสุขุมาลชาตินุ่มเหมือนสำลี
เบาเหมือนขนนกที่ล่องลอยไปในอากาศ อย่างสบายๆ ผ่อนคลาย ใจใสๆ เยือกเย็น
แม้เห็นดวงหรือองค์พระใจก็ยังเฉยๆ ไม่ตื่นเต้น ไม่เค้นภาพไม่ลุ้น
ไม่เร่ง ไม่เพ่ง ไม่จ้อง มองเฉยๆ อย่างสบายๆ เบิกบานแช่มชื่น ผ่องใส
ให้ใจใสเป็นแก้วเป็นเพชร ใสปิ๊งเป็นเพชรไปเลย
กายเราก็ใส เบา สบาย ละมุนละไม นิ่งๆ นุ่มๆ อย่างนี้เรื่อยไปเลย นี่จำวิธีการตรงนี้ไว้ให้ดี
ไม่ว่าจะไปนั่งตรงไหน ไปฝึกให้ดีนะลูกนะ ฝึกทุกอิริยาบถฝึกอย่างนี้ ผ่อนคลาย เบา
ปรือตา อย่าเม้มเปลือกตา เหมือนเราเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ใจจะได้ใสๆ
ถ้าถูกส่วนแล้วมันก็จะตกศูนย์ไปเอง เดี๋ยวเราจะเห็นฐานที่ ๗ เอง มันจะเป็นดวงใสสว่าง
ใสเหมือนเพชรต้องแสงอย่างนั้น แต่ประกายไม่ดีดลูกนัยน์ตา แต่ว่า
จะดูดลูกนัยน์ตาเข้าไป จะใสปิ๊งยิ่งกว่าเพชรต้องแสงไปอีก
คือความใสจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าทำถูกหลักวิชชานะ
ตอนนี้นิ่งอย่างเดียว นี่เราฝึกตัวของเรา ไม่ใช่เราโดนสะกดจิตนะ
ไม่มีการสะกดจิต แต่ประคองใจของเราอย่างถูกหลักวิชชานิ่งนุ่มละมุนละไม
ไม่เม้มเปลือกตา ด้วยใจที่ใส เยือกเย็น บริสุทธิ์เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังบุญ
พลังบารมี พลังแห่งความดี นั่งแบบสุขุมาลชาติ สบาย ขยายไปเรื่อยๆ นิ่งๆ
ใช้ระบบสัมผัสแตะลงไปตรงกลางกาย ไม่ต้องใช้กด เอาแค่แตะเบาๆ แตะเหมือนไม่แตะ นิ่ง
สบาย ทำอย่างนี้เรื่อยไปเลยนะ
วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2565