เรียนใดฤาจักสู้
วิชชา
เรียนอื่นของมารา
เขานั้น
เรียนหยุดพุทธศาสนา
พาหลุด
พ้นจากมารบีบคั้น
กลั่นแกล้งอนันต์กาล
ตะวันธรรม
ทางเดินของใจ ๗ ฐาน
พฤหัสบดีที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๕
Link ไฟล์เสียงนำนั่งสมาธิใน
youtube
ง่ายแต่ลึก 1 |EP.26| : ทางเดินของใจทั้งหมด 7 ฐาน
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ
คราวนี้เรามาทบทวนหลักวิชชาที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากนํ้า
ภาษีเจริญ ท่านได้อบรมสั่งสอนมาว่า ทางเดินของใจนั้น มีทั้งหมด ๗ ฐาน
#ทางเดินของใจ #ฐานทั้ง7
ฐานที่ ๑ อยู่ที่ปากช่องจมูก
หญิงข้างซ้าย ชายข้างขวา
ฐานที่ ๒ อยู่ที่เพลาตา
ตรงตำแหน่งที่นํ้าตาไหล ท่านหญิงอยู่ข้างซ้าย ท่านชายอยู่ข้างขวา
ฐานที่ ๓ อยู่กลางกั๊กศีรษะ
ในระดับเดียวกับหัวตาของเรา
ฐานที่ ๔ อยู่ที่เพดานปาก
ช่องปากที่อาหารสำลัก
ฐานที่ ๕ อยู่ที่ปากช่องคอ
เหนือลูกกระเดือก
ฐานที่ ๖ อยู่ในกลางท้อง
ระดับเดียวกับสะดือของเรา สมมติว่าเราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง
จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง
ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท ตรงจุดตัดที่เล็กเท่ากับปลายเข็มนั่นคือ
ฐานที่ ๖
ฐานที่ ๗ จะอยู่เหนือฐานที่
๖ ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ โดยสมมติเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางมาวางซ้อนกัน
และนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสอง สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้เรียกว่า ศูนย์กลางกาย ฐานที่ ๗ เป็นที่ตั้งใจของเราอย่างแท้จริง
จากฐานที่ ๑ ถึง ฐานที่ ๖ เป็นทางเดินของใจ
แต่ฐานที่ตั้งของใจที่แท้จริง คือ ฐานที่ ๗ เราจะต้องเอาใจมาหยุดนิ่งที่ ฐานที่ ๗
ให้ได้ตลอดเวลาเลย
เราจะเห็นฐานที่ ๗ ได้ชัดเจน ก็ต่อเมื่อใจหยุดสนิทถูกส่วนสมบูรณ์ ๑๐๐
เปอร์เซ็นต์แล้ว แต่ตอนนี้เรายังเป็นผู้ฝึกใหม่ ใจยังไม่หยุดนิ่ง ก็ให้สมมติเอาว่าอยู่ในกลางท้อง
ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือจำง่ายๆ ว่า อยู่ตรงกลางท้องของเรา
ฐานที่ ๗ ต้องการแค่ให้รู้จักว่าอยู่ตรงนี้
ไม่ใช่เอาไว้สำหรับไปควานหาว่าอยู่ตรงไหน ไม่ต้องนะ
สมมติว่าอยู่กลางท้องในตำแหน่งที่เรารู้สึกว่า สบาย แล้วเราพึงพอใจที่จะเอาใจเรามาวางไว้ตรงนี้
วิธีนึกบริกรรมนิมิต
คราวนี้ปฏิบัติตามหลักวิชชาที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากนํ้า
ภาษีเจริญ ท่านให้นึกถึงดวงใสประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิ
ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตาเป็นบริกรรมนิมิต
แล้วท่านก็สอนให้เอาใจมาหยุดนิ่งๆ ที่กลางดวงใสๆ
ตรงตำแหน่งที่เรามั่นใจว่าเป็นฐานที่ ๗ แล้วก็ประกอบบริกรรมภาวนา สัมมา อะระหัง
ทุกครั้งที่ภาวนาจะต้องไม่ลืมนึกถึงดวงใสๆ ประคองใจกันไปอย่างนี้
นี่คือหลักวิชชาที่ท่านสอนเอาไว้
#การนึกนิมิต
ทีนี้บางท่านทำอย่างนี้แล้วมันตึง มันเกร็ง
แล้วนึกไม่ออกจะนึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคยเป็นบริกรรมนิมิตก็ได้
ขายทุเรียนก็นึกทุเรียน ขายเงาะ ขายมังคุด ขายลองกอง มะกรูด มะนาว มะพร้าว ส้มโอ
เราก็นึกถึงสิ่งนั้น ขายปาท่องโก๋ก็นึกปาท่องโก๋ก็ได้ ขายซาลาเปาก็นึกได้ ไส้หวาน
ไส้เค็ม ไส้เค็มมันก็ย่นๆ หน่อย
มีบางคนนึกถึงซาลาเปาเพราะขายซาลาเปา
มองไปมองมากลายเป็นซาลาเปาแก้วใสแจ่มปรากฏอยู่ในกลางกายฐานที่ ๗
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาขายดิบขายดีทีเดียว ให้เรามองต่อไป
เดี๋ยวซาลาเปาแก้วก็จะเป็นดวงปฐมมรรค นี่เราทำอย่างนี้ก็ได้นะ ถ้าขายเพชร ขายพลอย
ขายไข่มุก เราก็นึกเอา คุ้นเคยอย่างไหนเราก็เอาอย่างนั้น นึกอย่างสบายๆ ดูไปเรื่อยๆ
จะประคองใจด้วย สัมมาอะระหัง ก็ได้ หรือจะไม่ภาวนาก็ไม่เป็นไร
#ไม่ชอบนึกนิมิต-ก็ไม่ต้องนึก
การนึกนิมิตนี้เหมาะสำหรับผู้ที่นึกเป็น
คือ นึกแล้วไม่ตึง ไม่เกร็ง นึกแล้วสบาย ก็ให้นึกนิมิตไป แต่ผู้ที่นึกแล้วไม่สบาย
มันตึง อดที่จะไปลุ้น ไปเร่ง ไปเพ่งไปจ้องไม่ได้ ก็ให้เปลี่ยนวิธีการ
เปลี่ยนมาเป็นแบบที่ไม่ต้องนึกถึงนิมิต คือ เอาใจของเรามาหยุดนิ่งๆ อยู่ ในฐานที่
๗ หรือกลางท้องตำแหน่งที่เรามั่นใจว่านี่คือ ฐานที่ ๗ เอาใจมาหยุดนิ่งๆ
ตรงนี้ก็ได้
หยุดเบาๆ อย่างสบายๆ อยู่กับความมืดไปก่อน
เหมือนเรานั่งอยู่ในยามราตรที่มืดมิดด้วยใจที่เป็นสุขใจที่สบาย จะภาวนา สัมมา
อะระหัง เป็นเพื่อนด้วยก็ได้ หรือจะอยู่เฉยๆ อย่างนั้นก็ได้ หยุดอย่างสบายๆ นิ่งๆ
วางเบาๆ ค่อยๆ คลี่คลายระบบประสาทและกล้ามเนื้อเดี๋ยวมันก็จะค่อยๆ โล่ง โปร่ง เบา
สบายไปเรื่อยๆ
#ความมืดเป็นมิตร
ความมืดเป็นมิตร ไม่ได้เป็นศัตรูกับการเข้าถึงธรรม เป็นความมืดที่น่ารัก
ถ้าเรารู้จักที่จะอยู่กับความมืด ความมืดก็จะเป็นเกลอ เป็นสหายของเรา
อย่ากังวลกับการเห็นภาพ หรือว่าต้องเห็นอะไรอย่างนั้น อยู่กับความมืดอย่างสบายๆ
อย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ยิ่งมืดก็ยิ่งดึก ยิ่งดึกก็ยิ่งใกล้สว่าง ไม่ช้าความสว่างก็จะมาเอง
อยู่กับความมืดด้วยใจที่สบายๆ เบิกบาน แล้วก็อย่าให้มีความคิดว่า เออ
มืดอย่างนี้แล้วเมื่อไรดวงสว่างจะมาปรากฏ อย่านึกคิดอย่างนี้
อยู่กับความมืดด้วยใจที่นิ่งสงบ ให้เราคุ้นกับความมืดอย่างนั้นไปก่อน
อย่าไปตีโพยตีพายว่า ไม่เห็นจะได้อะไรเลย ความสว่างไม่เห็นมา
ต้องนึกเหมือนเรานั่งเงียบๆ ในคืนที่มืดมิด สมมติว่ามันเป็นเวลาตี ๑
เราก็ต้องยอมรับว่านี่คือตี ๑
ถึงจะตีโพยตีพายอย่างไรดวงอาทิตย์ก็ไม่มาปรากฏให้เราเห็นหรอก แม้ตี ๒ ตี ๓ ตี ๔ ตี
๕ ก็เช่นเดียวกัน
จนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสมใกล้รุ่งแสงเงินแสงทองจึงจะมาปรากฏให้เราได้เห็น และแหล่งกำเนิดของแสงเงินแสงทองเป็นดวงสีแดงๆ
ยามอรุโณทัยจึงจะมาภายหลัง ถ้าเรานั่งนิ่งๆ โดยไม่กังวลอะไร
เหมือนนั่งในยามรัตติกาลในคืนเดือนมืดอย่างนี้ ไม่ช้าลูกจะสมหวัง คือใจจะสงบ
ไม่ทุรนทุราย มันจะหยุดนิ่ง จะสว่างไปเอง
แสงแห่งความบริสุทธิ์
เมื่อสว่างแล้วก็อย่าไปตื่นเต้น อย่าไปสงสัยด้วย บางทีพอสว่าง อ้าว
สงสัยอีกแล้ว เอ๊ะ เราเปิดไฟไว้หรือเปล่า
แสงมันแทงทะลุเปลือกตาเข้ามาในท้องหรือเปล่า ไม่ต้องไปสงสัยว่าแสงมันมาจากทางไหน
เราเปิดไฟหรือเปล่า
#เห็นแสงสว่าง
ไม่ต้องไปคิดเลย ให้ทำเฉยๆ มีแสงสว่างมาก็ดีแล้ว อย่าสงสัย
อย่าตื่นเต้น มันก็เป็นเหมือนกับแสงเงินแสงทองที่ปรากฏตอนรุ่งอรุณนั่นแหละ
แต่นั่นมันแสงภายนอก นี่เป็นแสงภายใน เกิดขึ้นเมื่อใจบริสุทธิ์
เป็นแสงแห่งความบริสุทธิ์ เป็นรางวัลสำหรับผู้ที่ใคร่ในธรรม ฝึกใจให้หยุดนิ่งๆ
แล้วเดี๋ยวแสงเงินแสงทองภายในก็จะมาปรากฏเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ถ้าเราคิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
มันก็จะไม่ตื่นเต้นเหมือนเราเห็นดวงอาทิตย์ในยามเช้าของทุกเช้าอย่างนั้น
และความไม่ตื่นเต้นตรงนี้จะทำให้ใจนิ่งลงไปอีก หยุดนิ่งไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวก็เห็นดวงใสๆ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของแสงภายใน แล้วเดี๋ยวก็เห็นกายในกาย
เห็นองค์พระ เห็นไปตามลำดับอย่างนี้ เมื่อเข้าใจดีแล้ว ต่อจากนี้ไปวางใจเบาๆ
หยุดนิ่งๆ ใจใสๆ เรื่อยไปเลย จนกว่าจะเข้าถึงธรรมะภายใน ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
นะ
วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2565