ดี ที่สุดหยุดไว้ ตรงกลาง
แล้ว จักพบหนทาง พ่อชี้
ลูกนิ่งสนิทจิตพร่าง พราวสว่าง
รักถูกธรรมตามนี้ หลีกลี้กิเลสมาร
ตะวันธรรม
เริ่มต้นจากจุดที่ง่าย
วันอาทิตย์ที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑
Link ไฟล์เสียงนำนั่งสมาธิใน youtube
ง่ายแต่ลึก 2 |EP.18| : เริ่มต้นจากจุดที่ง่าย
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกาย แล้วก็ขยับเนื้อขยับตัวให้ดี
ปรับท่านั่งให้ถูกส่วน จะได้ไม่ปวด ไม่เมื่อย
หยุดใจไว้ที่ศูนย์กลางกายอย่างเบาสบายๆ พร้อมกับผ่อนคลาย แล้วก็หลับตาพริ้มๆ
ฝึกไปด้วยกันอย่างนี้นะ ปรับไปด้วยกัน
ปรับเปลือกตา
การหลับตา อย่าฟังผ่าน ตรงนี้สำคัญนะจะได้ไม่ช้า ต้องหลับตาให้เป็นเสียก่อน
ให้เกิดความคุ้นเคย แล้วก็ผ่อนคลายจนกระทั่งรู้สึกว่าผ่อนคลายจริงๆ
แล้วก็ขยับท่านั่งปรับท่านั่งให้ถูกส่วน อย่ามองข้ามนะ จะได้เร็ว
ปรับพอถูกส่วนแล้ว เราถึงรวมใจหยุดไปตรงกลาง คือ แตะเบาๆ
ทุกครั้งที่เราเริ่มนั่งหลับตา
ให้เริ่มต้นจากจุดที่เราทำได้ง่ายก่อน ที่รู้สึกว่าสบาย ผ่อนคลาย
เพราะทุกคนยังมีภารกิจหยาบอยู่ ต้องทำมาหากิน ทำมาค้าขายทางโลก ก็จะมีเรื่องหยาบๆ
มาทำให้ใจเราหยาบตามไปด้วย ต้องจำนะ ตรงนี้สำคัญ แล้วก็ไปฝึกทำ
สมมติเรานึกภาพไม่ออก
อย่างน้อยเราก็หลับตาให้เป็นเอาตรงนี้ที่ง่าย หรือผ่อนคลายเป็น ปรับท่านั่งเป็น
แล้วก็วางใจเป็น หยุดใจเป็น ตรงกลางให้รู้สึกสบายๆ ต้องง่ายๆ นะ เราก็จะนึกถึงดวงใสๆ
หรือองค์พระที่เราคุ้นเคย หรือภาพพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ
ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายที่ศูนย์กลางกายง่ายๆ ไม่สับสนนะว่า จะเอาอะไรดี อะไรง่ายที่สุด
ณ ตอนเริ่มต้น เอาตรงนั้นไปก่อน หรือบางท่านรู้สึกว่า หลับตาแล้วตัวหายแวบ
แต่ก็ยังไม่เห็นอะไร ก็นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับเรา เฉพาะตัวของเรานะ หรือบางคนจะเริ่มด้วยการนึกถึงบุญ
นึกถึงความดีที่เราได้ทำเพื่อให้ใจชุ่มๆ ก่อน บุญที่นึกถึงก็นึกถึงภาพบุญที่เราปีติที่สุดก่อน
นึกได้ง่ายก่อน เพื่อสร้างความชุ่มชื่นใจ จะได้ขจัดนิวรณ์ทั้ง ๕
ความฟุ้งคิดไปในเรื่องราวต่างๆ ที่จะนำมาซึ่งความยินดียินร้าย อย่างนี้ก่อนก็ได้
แปลว่าทุกอย่างเราเริ่มต้นจากจุดที่เราทำได้ง่ายก่อน
พอรู้สึกสบาย มีความพร้อมแล้ว จึงค่อยๆ วางใจแตะนึกถึงบริกรรมนิมิต
หรือภาพที่เราคุ้นเคย จากที่ชัดน้อยไปหาชัดมาก ซึ่งแต่ละคนจะไม่เท่ากัน
เราก็เริ่มอย่างนี้ไปก่อนอีกเช่นเดียวกัน ต้องจำนะ มันจะได้เร็ว แล้วก็ไปฝึกทำซ้ำๆ
ฝึกไปเรื่อยๆ
ส่วนผู้ที่หยุดใจได้ในระดับหนึ่งแล้ว
ตรึกนึกถึงดวงใสได้หรือเข้าถึงดวงธรรม หรือตรึกองค์พระได้เป็นกุศลนิมิต
หรือบริกรรมนิมิตได้แล้วก็นึกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งนำไปสู่สิ่งที่มีอยู่จริงภายใน
มีอะไรให้ดูก็ดูไป
ภาพอะไรที่เกิดขึ้นภายในจะเป็นดวง
เป็นกาย องค์พระ มหาปูชะนียาจารย์ ล้วนดีทั้งสิ้นไม่ต้องไปกังวลว่า
นี่เรานึกไปเองหรือเห็นเองจะนึกเอง หรือเห็นเองก็ช่าง
ให้มีให้ดูก็แล้วกันการเห็นไม่ว่าจะนึกเองหรือเห็นเอง แปลว่าใจของเรามีสมาธิแล้ว
นึกให้เห็นก็มีสมาธิระดับหนึ่ง ถ้าเห็นเองก็ระดับที่ลึกขึ้น
ละเอียดขึ้นก็แค่นั้นเอง
ต้องทำความเข้าใจตรงนี้ไปถึงตรงนั้นเราจะได้ไม่ต้องสงสัยเพราะความสงสัยทำให้ใจถอนจากสมาธิ
จิตที่กำลังละเอียดอยู่ก็จะถอยมาหยาบ นี่ต้องจำนะ เพราะถึงเวลาทำจริงๆ
แล้วก็จะลืมทุกที แล้วก็จะถามคำถามเดิมๆ อย่างนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วก็เคยบอกว่า
มีอะไรให้ดูก็ดูไป ดูไปอย่างสบายๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น
นี่คือสิ่งที่เคยบอกซ้ำๆ บ่อยๆ แต่พอถึงเวลาทำจริงๆ พอมีอะไรให้ดู เราก็กลับคิดว่า
เอ้ นึกไปเอง หรือเห็นจริงๆ มักจะเป็นกันอย่างนี้
เพราะฉะนั้น
หมดเวลาแล้วนะ เพราะความตายไม่มีนิมิตหมาย มัวไปลังเลสงสัย มันไม่เกิดประโยชน์
แถมเกิดโทษ คือจิตจะถอนก็จะหยาบ ให้ลูกจำบรรทัดนี้นะ ที่บอกซ้ำๆ เหมือนเดิม
ไม่มีอะไรใหม่ มีอะไรให้ดูก็ดูไป ดูไปอย่างสบายๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น
เพราะเรายังเป็นนักเรียนอนุบาล ถ้าจะวิเคราะห์วิจารณ์นั่นมันขั้น advance แล้ว ขั้นที่เราละเอียดแล้ว ถึงตอนนั้นเราจะเอาอย่างไรก็เอา
แต่ตอนนี้เรากำลังฝึกใจให้หยุดนิ่ง มีภาพให้ดู ก็แปลว่าหยุดได้ในระดับหนึ่ง
เราก็นิ่งไปเรื่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ
การดูไปเรื่อยๆ
ใจก็จะนิ่งนุ่มไปเรื่อยๆ
แล้วก็เข้าสู่ความละเอียดในระดับที่ทำลายความสงสัยของตัวเราเองได้ด้วยตัวของเราเอง
ด้วยประสบการณ์ภายในของตัวเราเอง ใจจะตั้งมั่นสงัดจากบาปอกุศลธรรม บริสุทธิ์
เมื่อหยุดนิ่งใจจะบริสุทธิ์
จะนิ่งแน่น นิ่งในนิ่ง แน่นในแน่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจิตนุ่มนวล คือมันละเอียด
นุ่มนวล เหมือนเราเอาของแข็งมาทำเป็นของเหลว
เอาของเหลวมาทำให้เป็นแก๊สอย่างนั้นแหละ พอนุ่มนวลมันก็ควรแก่การงาน
งานที่จะรื้อภพ รื้อชาติ รื้อกิเลส รื้ออาสวะ หรือจะศึกษาวิชชาธรรมกายต่อไป
คือศึกษาวิชชา ๓ บุพเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกชาติหนหลังได้ จุตูปปาตญาณ
ระลึกถึงเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรมภพภูมิต่างๆ กระทั่งอาสวักขยญาณ
ความรู้ที่จะนำไปสู่ความบริสุทธิ์ กระทั่งหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะได้
ก็จะเป็นไปตามขั้นตอนที่ลุ่มลึกไปตามลำดับ
เพราะฉะนั้น ต้องจำ
แล้วก็ต้องทำนะ ไปทำซ้ำๆ ให้ชำนาญ ทำซ้ำๆ นับซ้ำไม่ถ้วน นับครั้งไม่ถ้วน
ให้สม่ำเสมอจนเป็นกิจวัตรประจำวัน เหมือนการอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน
หายใจเข้าออกอย่างนั้นแหละ แล้วเมื่อจิตนิ่งแน่นนุ่มนวลควรแก่การงาน
ความบริสุทธิ์เกิดขึ้นมาพร้อมกับความสุขที่ไม่มีประมาณ
ที่ไม่มีอะไรจะมาเทียบเทียมได้ ความสว่าง สงบเย็น
ความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้งจะมาพร้อมๆ กัน ไม่ก่อนไม่หลังกัน
เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ใจก็จะมุ่งเข้าไปสู่ภายในเรื่อยๆ เลย จนกระทั่งสามารถพึ่งพาตัวเองได้
พึ่งพาตัวเองได้
ไม่ว่าจะอยู่กลางแจ้งก็พึ่งพาตัวเองได้ไม่เหมือนผู้ที่พึ่งพาตัวเองไม่ได้ก็ต้องอาศัยที่มุงบังที่ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย
แต่ผู้ที่พึ่งตัวเองได้ ก็มีความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยในตัวเอง
อยู่กลางแจ้งเป็นวัตรก็ได้ อยู่โคนไม้ก็ได้ อยู่ลอมฟางก็ได้ หลืบเขา ตามถ้ำ ภูเขา
ที่สงัด ป่าช้า ป่าชัฏก็ได้ แปลว่าเมื่อใจหยุดแล้ว อยู่ที่ไหนก็ได้ในโลก
เพราะพึ่งตัวเองได้ เป็นอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง
การที่เรามานั่งฝึกหยุด
ฝึกนิ่ง นอกจากเป็นทางมาแห่งบุญกุศล ความบริสุทธิ์ ก็จะนำพาเราไปถึงจุดที่พึ่งพาตัวเองได้เป็นอยู่ด้วยตัวของตัวเองได้
ที่เรียกว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ
เพราะตนเข้าไปถึงตัวตนที่แท้จริงที่มีอยู่ในตัวตนหยาบ ซึ่งเป็นเปลือกนอก
ใจมันจะล่อนเข้าไปเป็นชั้นๆ ด้วยหยุดกับนิ่ง
มิติมันจะเปลี่ยนไปสู่ความละเอียดเรื่อยๆ จากเห็นดวง ก็จะเห็นดวงในดวง ในดวงมีกาย
ในกายมีดวงก็จะไปเรื่อยๆ ลุ่มลึกไปตามลำดับ
เพราะฉะนั้น
เวลาที่เหลืออยู่นี้ฝึกใจให้หยุดในหยุด นิ่งในนิ่ง ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะ
หลวงพ่อธัมมชโย
วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2565