พิจารณามี ๒ อย่าง
วันอาทิตย์ที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ ( ๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.)
สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย
เมื่อเราได้จุดเทียนใจไฟนิรันดร์อนันตชัย
เพื่อบูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไป ก็ให้ทุกคนนั่งหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ
หลับตาของเราเบาๆ
พอสบายๆ
วางใจ
แล้วก็น้อมเทียนใจไฟนิรันดร์อนันตชัย
เอาไว้ที่กลางกายที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างสบายๆ ให้เห็นเปลวประทีปของเทียนใจไฟนิรันดร์อนันตชัยได้อย่างชัดเจนทีเดียว
หรือเท่าที่เรานึกได้อย่างสบายๆ ประคองใจให้หยุดนิ่งๆ ให้หยุดในหยุด นิ่งในนิ่ง อย่างสบายๆ
แล้วก็ทำความรู้สึกว่า
ตัวเราขยายไป สำหรับท่านที่มาใหม่ยังทำไม่เป็น นึกทำความรู้สึกว่า ตัวเราพองโต ขยายไปได้มากที่สุด
เท่าที่จะมากได้ เช่น เท่าสภาธรรมกายสากล ใหญ่มากกว่านั้น เท่าอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
จังหวัดข้างเคียง กระทั่งทั่วประเทศ ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน นานาชาติ ทั่วโลก ขยายไปจนกระทั่งสุดขอบฟ้า
เท่าที่เราจะทำความรู้สึกขยายได้ และก็ให้เทียนใจสว่างไสว อยู่ ณ จุดกึ่งกลาง ให้ใจหยุดนิ่ง
อย่างเบาๆ สบายๆ
ส่วนใครที่เข้าถึงดวงธรรมแล้วก็ง่าย
เพราะว่าเห็นดวงธรรมเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เป็นดวงใสๆ กลมรอบตัว
อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ
อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
หรือใหญ่กว่านั้น ตามกำลังบารมี บ้างก็โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ ใสบริสุทธิ์ ประดุจเพชรที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิเลย
จะใสเย็นเหมือนแสงจันทร์
ในคืนวันเพ็ญปรากฏเกิดขึ้นในกลางกาย เราก็แตะใจ เบาๆ ไปที่กลางดวงธรรมนั้น
แตะใจเข้ากลาง
สำหรับผู้ที่เข้าถึง
พอแตะหยุดใจเบาๆ มันก็จะขยายไปเองแหละ มันก็จะวึ้ดไป แล้วเปลวประทีปเรานึกนิดเดียว
ก็มาอยู่ตรงกลางเลย กลางของดวงธรรมใสๆ ขยายไปพร้อมๆ กัน โตเต็มส่วนไปเลย
ที่เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด
กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม เราเข้าถึงกายไหน ก็จะเห็นกายนั้นชัด ชัดเหมือนเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก
ถ้าใครยังเข้าไม่ถึงก็ไม่เห็น แต่ถ้าเข้าถึงแล้วก็เห็นชัด เพราะกายเหล่านี้มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกๆ
คนในโลก แต่มนุษย์ทั้งหลายไม่รู้กัน เป็นของมีมาดั้งเดิมแล้ว กายมนุษย์ละเอียด
กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม ทั้งหยาบ ทั้งละเอียด
ถึงกายไหนเราก็จะเห็นกายนั้นชัด
ใสบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ กายก็โตขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วก็แตะลงไปตรงกลางของแต่ละกาย
เทียนใจก็จะอยู่ตรงกลางกายนั่นแหละ ถึงพระธรรมกาย เป็นกายองค์พระ เกตุดอกบัวตูม เหมือนดอกบัวสัตตบงกช
ไม่ใหญ่ไม่เล็กกำลังสวย ที่ตั้งอยู่บนจอมกระหม่อม บนพระเศียรของท่าน ที่มีเส้นพระศกเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ
ตั้งอยู่บนพระวรกายที่ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ นั่งเจริญสมาธิภาวนาเข้านิโรธ
ใจเราไปแตะตรงกลางท่าน ถ้าละเอียดถึงจะเข้าไปได้ ถ้าไม่ละเอียดก็จะเห็นห่างๆ แล้วก็อาจจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ก็จะขยายออกไป เปลวประทีปเทียนใจ ก็จะอยู่ตรงกลางนั้น จะใสบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น
หยุดไปดูไป
ไม่ต้องคิดอะไร
ใจยิ่งหยุด ยิ่งนิ่ง ยิ่งดิ่ง เข้าไปสู่ภายใน ดิ่งเข้าไปเองเลย แล้วก็จะเห็นกายในกาย
โตใหญ่กันไปเรื่อยๆ เพิ่มขึ้นไป
ประทีปก็จะอยู่ตรงกลางของทุกๆ
กาย ใสบริสุทธิ์ ที่มาพร้อมกับความสุข ที่ไม่มีประมาณบังเกิดขึ้น
เราก็หยุดกันไปอย่างนี้ หยุดกันไปเรื่อยๆ ใจก็จะใสสว่าง สว่างกันไป
หยุดเข้าไปหยุดในหยุดๆ หยุดอย่างเดียวไม่ต้องทำอะไร
หยุด ตรงกับความหมายคำว่า นิโรธ
หรือ นิโรธะ
หยุดกันไปเรื่อยๆ
ก็จะขยายไป มีองค์พระใหม่ผุดผ่านขึ้นมาเรื่อยๆ เราก็หยุดไปดูไป ไม่ต้องไปคิดอะไร
ไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราว แต่ตรงนี้มนุษย์ไม่ค่อยจะเข้าใจ เพราะคุ้นกับความคิด
พิจารณา
คำว่า
พิจารณา มีอยู่ ๒ ระดับ
พิจารณาระดับใช้ความคิด คือ คิดว่าต้องเป็นอย่างนั้น
อย่างนี้ อย่างโน้น ใคร่ครวญ หาเหตุ หาผล แต่พิจารณาในระดับภาวนามยปัญญา
แปลว่า ดูเฉยๆ เห็นแจ้งถึงไหนก็รู้แจ้งมาถึงตรงนั้น ไม่ต้องไปทบทวนอย่างนั้น
อย่างนี้ มันน่าจะอย่างนั้น อย่างนี้เรียกว่า สันนิษฐานแต่คำใช้คำเดียวกันก็ปนเปกันไปหมด
พิจารณาในระดับความคิดอย่างหนึ่ง เห็นก็อย่างหนึ่ง
เหมือนคำว่า
“ความสุข” นั่นแหละ อยู่ในกลางกายมนุษย์หยาบก็ใช้คำว่า
ความสุข จะไปดริ้ง ไปแดร๊งไปอะไรก็บอกว่า
ความสุข หยุดนิ่งก็ ความสุข ถึงกายทิพย์ก็ใช้มันมีสุขเหลือเกิน ถึงกายพรหม อรูปพรหมก็สุขอีกเหมือนกัน
แต่คำเดิมนั่นแหละ ถึงกายธรรมก็สุขอีก คำเดียว แต่ว่าความหมายมันต่างกันไป ละเอียดกว้างขวางกว่ากันไป
พิจารณาก็เหมือนกัน
ต้องพินิจพิจารณา มักจะเอามาใช้กันในระดับของความคิด เช่น พิจารณาว่า วัตถุ สิ่งของ
มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต มีวิญญาณครองหรือไม่มีวิญญาณครอง ล้วนเกิดขึ้นตั้งอยู่ก็เสื่อมสลาย
เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็คิดอย่างไรก็พิจารณากันไป มันยังไม่เห็นว่าคิดกันไปอย่างไงว่าอันนี้เป็นอย่างนี้
ก็เอามาเทียบกับตัวเราเป็นอย่างนี้ อย่างนั้น อย่างโน้น นี่ระดับจินตมยปัญญา
พิจารณาในระดับเห็นแจ้ง ก็จะเห็นเป็นภาพเลยว่า มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่
เสื่อมไปอย่างไร เห็นไปเลยทีเดียวม้วนเดียวจบ ใช้วินาทีเดียว ภพภูมิ สิ่งที่อยู่ในภพภูมิ
สังขารทั้งหลาย ที่มีวิญญาณครอง ไม่มีวิญญาณครอง เห็นเป็นภาพเหมือนเราดูภาพยนตร์ แต่มันดีกว่าภาพยนตร์
เพราะว่าเห็นได้รอบตัว ทุกทิศทุกทาง
เพราะฉะนั้น
ต้องเข้าใจความหมายว่า พิจารณามีหลายระดับ เอามาปนเปกัน เหมือนวิปัสสนา ในระดับคิด
พินิจ พิจารณา วิปัสสนาในระดับความคิดอย่างหนึ่ง เพราะเราได้ยิน ฟัง อ่านมา
วิปัสสนา
วิปัสสนา ในระดับภาวนามยปัญญา หมายถึง การเห็นที่วิเศษ
แจ่มแจ้ง แตกต่างจะเห็นเป็นภาพ
วิปัสสนา ในระดับจินตมยปัญญา หมายถึง ความคิด มันไม่เป็นภาพ
หรือเป็นภาพก็เลือนๆ รางๆ คุ่มๆ ค่ำๆ มันน่าจะอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างโน้น แล้วพอเราเริ่มรู้สึกเข้าใจ
ก็ปลื้มๆ นิดๆ หน่อยๆ ที่จริงมันแจ่มแจ้งในระดับความคิด มันไม่เป็นภาพที่ชัด ปลื้มๆ
เหมือนมองของในที่มืดมันเป็นงูหรือเชือกกล้วยยาวๆ มันเหมือนๆ กัน ก็สันนิษฐานกันไป
วิปัสสนาระดับภาวนามยปัญญา
มันจะเห็นเป็นภาพไปเลย ก็เป็นสิ่งที่ต้องศึกษาด้วยการหยุดกับนิ่งไปก่อน อย่าเพิ่งไปทำอะไร
หยุดกับนิ่งๆ ให้แสงสว่างมันเกิดขึ้นก่อน พอแสงสว่างเกิดขึ้น จักขุก็จะเกิดขึ้น ญาณ
ปัญญา วิชชา ก็ตามมา พร้อมๆ กันไป เป็นเรื่องสำคัญ เดี๋ยวนี้ก็เอามาปนเปกันไปหมด
ชัดยิ่งกว่าลืมตาเห็น
เราก็รวมใจหยุดนิ่งที่กลางกาย
ดูเปลวประทีปไป วัดระดับกับผู้มาใหม่ จะนึกเปลวประทีปในกลางกาย ก็ยังเป็นมโนภาพ
เลือนๆ รางๆ คลุมๆ เครือๆ แต่ถ้าเข้าถึงความสว่างภายใน มันก็จะเริ่มเห็นเปลวประทีปได้ชัด
พอถึงดวงธรรมกายในกาย ก็จะชัดเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ พอถึงกายธรรมก็จะชัดยิ่งกว่าลืมตาเห็น
ยิ่งกว่าลืมตาเห็น คือ ตาเราเห็นวัตถุแล้ว จะไม่เห็นรายละเอียด
ต้องเอากล้องส่อง ขยายถึงจะเห็นรายละเอียด แต่ถ้าถึงตรงนี้ มันจะชัดขึ้นมาแล้ว เหมือนเอากล้องส่องนี่อุปมาให้ฟัง
แต่จริงๆ มันยิ่งกว่านั้น เมื่อเข้าถึงกายธรรมแล้ว มันจะชัดใสสว่าง ความสามารถเหล่านี้มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน
แล้วก็สามารถทำได้ถ้าหยุดนิ่งได้ แต่ก็ไม่ค่อยทำกัน เมื่อไม่ได้ทำพอเราได้ยิน
ได้ฟัง เราก็ดูมันเหลือวิสัยสำหรับเรา แต่ถ้าเราทำได้ มันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา เหมือนเราหายใจเข้าหายใจออก
โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอย่างนั้น
ก็ให้หยุดนิ่ง
พอยิ่งนิ่ง ยิ่งหยุด ยิ่งนิ่งก็ยิ่งดิ่งเข้าไปข้างใน ในกลางก็ขยายไปอีก ไปทุกทิศทุกทาง
คำว่า ขยายไปทุกทิศทุกทาง ถ้าเราเข้าไม่ถึง เราก็ไม่เข้าใจ ไม่เคยเจอเลยมันนึกไม่ออก
เป็น ปัจจัตตัง แปลว่า ต้องเข้าถึง จึงเข้าใจ ถ้าไม่เข้าถึงก็ไม่เข้าใจ
อธิษฐานจิต
เมื่อกายวาจา
ใจ เราสะอาดดีแล้วเราก็นั่งพับเพียบ หลับตาพนมมือขึ้นพร้อมๆ กัน
ข้าพเจ้าทั้งหลายขอนอบน้อมบูชาพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์และมหาปูชนียาจารย์ ด้วยการจุดเทียนใจไฟนิรันดร์อนันตชัย ขอก้มกราบไหว้
ด้วยความเคารพเลื่อมใส ในพรรษาแห่งการบรรลุธรรมนี้
ข้าพเจ้าทั้งหลาย
มีความตั้งใจจริง ที่จะประพฤติปฏิบัติธรรม และเพิ่มพูนคุณธรรม สั่งสมบ่มบารมี ทุ่มชีวีเป็นประธานกอง
ร่วมทอดกฐินสามัคคี ในพุทธศักราชนี้
ขอให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย
เป็นผู้มีความบริสุทธิ์ หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เอาชนะอุปสรรคทั้งมวลให้ประสบความสำเร็จในชีวิต
ในภารกิจหน้าที่การงาน และสิ่งที่พึงปรารถนา ให้เป็นอภิมหาเศรษฐี มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง
เอาไว้ใช้สร้างบารมี อย่างไม่รู้หมดสิ้น ให้มีกำลังใจเข้มแข็ง
ในการทำหน้าที่ผู้นำบุญ ยอดกัลยาณมิตร ให้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อไปชักชวนผู้มีบุญ
มาสร้างบารมี เป็นประธานกองกฐินสามัคคี
ขอให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์
ให้นักสร้างบารมีทั้งหลาย ร่วมแรงร่วมใจกัน ทำงานกันไปเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุด
ให้ทุ่มเทจนสุดกำลัง โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่หวาดหวั่นต่ออุปสรรคอันใด มุ่งหน้าไปสู่เป้าหมาย
คว้าธงชัยแห่งความสำเร็จ ให้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย มีดวงปัญญาสว่างไสว มีญาณทัสสนะกว้างไกล
มีดวงตาสดใส ทั้งมังสจักษุ ทิพยจักษุ ปัญญาจักษุ สมันตจักษุ และธรรมจักษุ
ให้ได้บรรลุธรรม
ที่พระเดชพระคุณ พระมงคลเทพมุนี (สด จนทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
และคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ท่านได้บรรลุ ให้ความปรารถนาให้ทั้งมวล
ของข้าพเจ้าทั้งหลาย จงเป็นผลสำเร็จๆๆ ทุกประการเทอญ นิพพานะ ปัจจโยโหตุ
อธิษฐานเสร็จก็นั่งหลับตา
หยุดใจไปในกลางกาย แล้วก็อธิษฐานกันตามใจชอบ นะจ๊ะ
วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565