มรรคผลนิพพานอยู่ในตัวเรา
วันอาทิตย์ที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ (๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น.)
สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไป ให้ทุกคนตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกัน ทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ
โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ หลับตาค่อนลูกพอสบายๆ
คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเรา ให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
จะเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน บ้านช่อง เรื่องครอบครัว เรื่องการศึกษาเล่าเรียน
หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง หักดิบตัดใจ
ขาดจากใจไปเลย ทำใจให้ว่างๆ
แล้วก็มาสมมติว่า
ภายในร่างกายของเรานั้น ปราศจากอวัยวะ ไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น ให้เป็นที่โล่งๆ
ว่างๆ เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง เหมือนลูกโป่งที่เราเป่าลมเข้าไป หรือคล้ายท่อแก้ว
ท่อเพชรใสๆ
วางใจ
เราก็นึกน้อมใจของเราที่คิดไปในเรื่องราวต่างๆ
นำกลับมาหยุดนิ่งๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ที่กลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒
เส้น นำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง
ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม
เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ซึ่งเป็นที่ตั้งของใจอย่างถาวร
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี้ นอกจากเป็นที่เกิด
ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่นแล้ว ยังเป็นทางไปสู่อายตนนิพพานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระอรหันต์ทุกพระองค์จะเริ่มต้นจากที่ตรงนี้ คือ เอาใจมาหยุดอยู่ที่ตรงนี้
โดยท่านพิจารณาปลดปล่อยวางในคน สัตว์
สิ่งของ สรรพสัตว์ สรรพสิ่งทั้งหลาย จะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม เพราะทั้งหมดนั้นล้วนตกอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ล้วนแต่ไปสู่จุดสลายทั้งสิ้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป
เป็นมาอย่างนี้ตลอดเวลา ไม่มีสาระแก่นสารใดๆ ทั้งสิ้น
คิดอย่างนี้บ่อยๆ
โดยพิจารณาด้วยปัญญา และประสบการณ์ว่า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ใจก็คลายจากความผูกพัน
ยึดมั่น ถือมั่นในสิ่งเหล่านั้น แล้วก็มาหยุดนิ่งๆ
อยู่ภายในตัวที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้
แล้วในที่สุดท่านก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
มรรคผลนิพพานอยู่ในตัวเรา
มรรคผลนิพพานนั้นมีอยู่ภายในตัวของเรา
ไม่ได้อยู่ที่ไหน
มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ คือ
โสดาปัตติมรรค
โสดาปัตติผล
สกิทาคามิมรรค
สกิทาคามิผล
อนาคามิมรรค
อนาคามิผล
อรหัตมรรค
อรหัตผล
๔ คู่ ๘ บุรุษ ๘ องค์
ล้วนมีอยู่ในตัวของเราทั้งสิ้น ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย แต่ซ้อนกันอยู่ภายใน เมื่อบรรลุถึงในแต่ละมรรคผล
ก็จะเข้านิพพานที่มีอยู่ในตัว เขาเรียกว่า สอุปปาทิเสสนิพพาน
นิพพานเป็นในตัว คือ ตอนเป็นมนุษย์อยู่ เข้าด้วยกายธรรมต่างๆ
กายธรรมโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล
หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา
กายธรรมพระสกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล
หน้าตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา
กายธรรมพระอนาคามิมรรค อนาคามิผล หน้าตัก
๑๕ วา สูง ๑๕ วา
กายธรรมอรหัตมรรค อรหัตผล หน้าตัก ๒๐
วา สูง ๒๐ วา
จะซ้อนๆ กันอยู่ภายใน
กายใหญ่ซ้อนอยู่ในกลางกายเล็ก ซ้อนได้เพราะละเอียดกว่า ต้องถอดออกเป็นชั้นๆ เข้าไป
นี่แหละมรรคผลนิพพานอยู่ภายในตัว เมื่อถึงวันสุดท้ายของชีวิตก็จะดับขันธ์เข้าสู่ อนุปาทิเสสนิพพาน คือ ดับขันธ์ทั้งหมด
เหลือแต่กายธรรมอรหัตผล เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน ตกศูนย์แล้วก็วุบไปเลย
หลุดพ้นจากภพทั้ง ๓ ไปสู่อายตนนิพพาน
มรรคผลนิพพานอยู่ภายในตัวของเรา
โดยเริ่มต้นจากที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
วัตถุประสงค์ของการมาเกิดเป็นมนุษย์ในแต่ละภพชาตินั้นก็เพื่อการนี้
แต่ถ้าหากเราไม่รู้ เพราะไม่มีผู้รู้บังเกิดขึ้น
หรือผู้รู้บังเกิดขึ้นแต่ว่าเราบุญน้อย ไม่มีโอกาสได้ไปฟังธรรม ได้ไปศึกษาเล่าเรียน
ก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน หรือแม้ท่านผู้รู้ดับขันธปรินิพพานไปแล้ว
ความรู้จะอยู่แทนตัวของพระองค์ท่าน ถ้าไม่เกิดกุศลศรัทธาไปศึกษาความรู้
ก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น
จุดเริ่มต้นที่จะไปสู่อายตนนิพพาน หรือให้บรรลุมรรคผลนิพพาน อยู่ภายในตัว
เริ่มต้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ ดังนั้นการบรรลุมรรคผลนิพพาน
จึงยังไม่พ้นกาลสมัย และไม่มีวันพ้นจากกาลสมัย เป็น อกาลิโก
ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องกาลเวลา เพราะทั้งหมดมีอยู่ภายในตัว
เป็นแต่เพียงให้รู้จักว่า จุดเริ่มต้นอยู่ที่ตรงไหน จะวางใจหยุดใจนิ่งอย่างไร
และก็ประกอบไปด้วยความเพียรในอิริยาบถทั้ง ๔ นั่ง นอน ยืน เดิน อย่างนี้บ่อยๆ
เนืองๆ ภาวิตา พหุลีกตา ทำบ่อยๆ ซ้ำๆ
เนืองๆ ก็จะต้องบรรลุมรรคผลกันอย่างแน่นอน ตามกำลังแห่งบารมีของเรา
เพราะฉะนั้น การที่ลูกทุกคน
ได้ตั้งใจทิ้งภารกิจเครื่องกังวล มาปฏิบัติธรรมะ มาฝึกใจให้หยุดนิ่ง จึงถูกวัตถุประสงค์ของการมาเกิดเป็นมนุษย์
และก็ถูกตามคำสอนของพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดังนั้น ต่อจากนี้ไปให้ลูกทุกคน
ฝึกใจให้หยุดนิ่งๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ ใจเราคุ้นเคยกับการนึกคิดไปในเรื่องราวต่างๆ
คน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจ การงาน บ้านช่อง ครอบครัว การศึกษาเล่าเรียน
บางครั้งก็นึกน้อมไปในอดีต บางครั้งก็น้อมไปในอนาคต จึงไม่คุ้นที่จะหยุดนิ่งๆ
ในปัจจุบันที่กำลังเป็นอยู่
บริกรรมนิมิต-บริกรรมภาวนา
ดังนั้น จึงจะต้องกำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ
แล้วประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา สัมมาอะระหัง บริกรรมนิมิต คือ ภาพทางใจ ให้กำหนดนึกถึงของใสๆ
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระรัตนตรัย จะเป็นพระแก้วใสๆ แทนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้
หรือจะนึกถึงดวงแก้วใสๆ แทนธรรมรัตนะ คำสอนของพระองค์ก็ได้ หรือจะนึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรา
แทนสังฆรัตนะก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งที่ใจเราชอบ ใจเราคุ้นเคย เอาเพียงอย่างเดียวใน
๓ อย่าง เป็นบริกรรมนิมิต คือที่ยึดที่เกาะของใจไม่ให้ใจไปคิดเรื่องอื่น คือ เปลี่ยนจากการคิดเรื่องอื่น
มาคิดเรื่องพระรัตนตรัย โดยเอาเพียงอย่างเดียว อย่างใดก็ได้
แต่ต้องนึกให้เป็น
กำหนดบริกรรมนิมิตให้เป็น ให้นึกเบาๆ สบายๆ คล้ายๆ กับเรานึกถึงดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ หรือดวงดาวในอากาศ บนท้องฟ้า ให้นึกเบาๆ อย่างนั้น หรือเบาๆ คล้ายๆ กับเรานึกถึงสิ่งที่เรารัก
สิ่งที่เราคุ้นเคย นึกธรรมดาอย่างนั้น
แล้วก็ต้องยอมรับว่า
สิ่งใดที่เราคุ้นเคยก็นึกได้ง่าย ก็จะชัดเจนขึ้นมามากกว่าสิ่งที่เราไม่คุ้นเคย
กฎเกณฑ์มีอยู่ว่า นึกได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นไปก่อนนะลูกนะ อย่าไปกังวลหรือรำคาญว่าทำไมเรานึกได้ไม่ชัดเจน
มันขึ้นอยู่กับความคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน ถ้ากราบไหว้บูชาพระทุกวันก็นึกพระได้ง่าย
เพราะฉะนั้น เราก็ประคองใจ เบาๆ สบายๆ
ด้วยบริกรรมภาวนาในใจว่า สัมมาอะระหังๆๆ ให้เสียงคำภาวนาเป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน
เหมือนสำนึกลึกๆ คล้ายๆ บทสวดมนต์ที่เราคุ้นเคย ที่ดังก้องเข้ามาในใจเอง
แต่ให้ดังออกมาจากในกลางท้อง ไม่ใช่ที่สมอง ภาวนา สัมมาอะระหัง เรื่อยไป
พร้อมกับกำหนดใจให้นึกถึงบริกรรมนิมิต เท่าที่เราจะนึกได้
วัตถุประสงค์ของการทำอย่างนี้
ก็เพื่อให้ใจ มาหยุดนิ่งๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ บริเวณกลางท้อง
ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมาสองนิ้วมือ เพราะตรงนี้เมื่อใจหยุดถูกส่วนแล้ว
มันจะทิ้งคำภาวนาไปเอง ใจก็จะหยุดนิ่งๆ อารมณ์จะปลอดโปร่ง โล่ง เบา สบาย
จะมีความรู้สึกว่าตัวขยาย และก็หายไป คล้ายกับกลมกลืนกับบรรยากาศ แล้วจะตกศูนย์เคลื่อนเข้าไปสู่ข้างใน
แล้วก็จะปล่อยวางนิมิตที่เรานึกทิ้งไป
ปฐมมรรค
แล้วก็จะมีปฐมมรรคเกิดขึ้นมาเป็นดวงใสๆ
กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ อย่างเล็กขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
อย่างใหญ่ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือใหญ่กว่านั้น แล้วแต่ตามกำลังบารมีของเรา
บางครั้งก็โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่
ใสบริสุทธิ์ ประดุจเพชรที่เจียระไนแล้ว บางครั้งก็ใสเหมือนน้ำใสๆ บ้าง
เหมือนกระจกคันฉ่องที่ส่องเงาหน้าบ้าง เหมือนเพชรบ้าง หรือใสเกินกว่านี้ ที่เรียกว่า
ใสเกินใส เกินกว่าความใสใดๆ ทั้งสิ้น ปรากฏเกิดขึ้นมา ลอยขึ้นมาที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ และเราจะเห็นฐานที่ ๗ ได้ชัดเจน เปลี่ยนสภาพจากการนึกคิดมาเป็นการเห็นอย่างแท้จริง
อย่างสมบูรณ์
ปฐมมรรคนี้ พระเดชพระคุณหลวงปู่
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร ท่านเรียกว่า ดวงธัมมานุปัสนาสติปัฏฐาน เข้าหลักของ สติปัฏฐาน ๔ คือ การให้เห็นธรรมในธรรม คือ ดวงธรรมเบื้องต้น
เป็นความบริสุทธิ์เบื้องต้นที่บังเกิดขึ้นเมื่อใจหยุดนิ่ง สัมมาททิฐิก็จะบังเกิดขึ้นตรงนี้
เมื่อธรรมดวงนี้เกิดขึ้น เป็นสัมมาททิฐิที่สมบูรณ์มันเกิดขึ้นมาเอง ความเห็นนี้ถูกต้อง
กุศลธรรมต่างๆ จะบังเกิดขึ้นอย่างแท้จริงเมื่อปฐมมรรคหรือดวงธัมมานุปัสนาสติปัฏฐานนี้บังเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น จุดนี้เป็นจุดสำคัญ จะปฏิบัติธรรมะหรือฝึกใจให้เป็นสมาธิ
จะกี่วิธีก็ตาม ๔๐ วิธี ที่มีในวิสุทธิมรรค
จะวิธีใด วิธีหนึ่งก็ตาม จะต้องให้ได้ปฐมมรรค จึงจะไปสู่อายตนนิพพานได้
จึงจะเข้าสู่เส้นทางมรรคผลนิพพาน ถ้าปฏิบัติแล้วปฐมมรรค
หรือดวงธัมมานุปัสนาสติปัฏฐานนี้ ยังไม่บังเกิดขึ้นก็ไปนิพพานไม่ถูก ความรู้ต่างๆ
ที่เราเคยได้ยินได้ฟังทางภาคทฤษฎี ทางภาคปริยัติจะไม่เกิดประโยชน์อันใด ถ้าใจยังไม่หยุดนิ่ง
จนเข้าถึงดวงปฐมมรรค
เพราะฉะนั้น
ปฐมมรรคจึงเป็นเครื่องวัดและบ่งชี้ว่า เราจะเข้าสู่เส้นทางของพระอริยมรรค ทางเดินของพระพุทธเจ้าได้หรือไม่
ถ้าได้ปฐมมรรค การเข้าสู่เส้นทางของพระอริยเจ้า ผู้มีชีวิตอันประเสริฐ ห่างไกลจากกิเลสอาสวะเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย
เราก็จะไปได้ถูกทาง เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องจำเอาไว้ให้ดีนะลูกนะ จะปฏิบัติแบบไหนก็ตาม
ถ้าใจยังไม่หยุดนิ่ง จนกระทั่งปฐมมรรคบังเกิดขึ้น ก็ไปนิพพานไม่ถูก
ถ้าฝึกจนหยุดนิ่งแล้วเข้าถึงปฐมมรรคอย่างนี้
จึงจะไปนิพพานได้ถูกต้อง แล้วจะเห็นไปตามลำดับ เห็น คือ การเห็นเหมือนเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก
เห็นคน สัตว์ สิ่งของ ด้วยมังสจักษุ
แต่ข้างในก็จะเห็นไปตามลำดับ ด้วยทิพจักขุ
ด้วยปัญญาจักขุ ด้วยสมันตจักขุ ด้วยธรรมจักขุ คือ เห็นไปตามลำดับของดวงตาที่เกิดขึ้นในแต่ละกาย
กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี
กายธรรมพระอนาคามี กายธรรมพระอรหัต ก็จะเป็นไปตามลำดับนั้น
เพราะฉะนั้น ให้ลูกทุกคนฝึกใจให้หยุดนิ่ง
เรื่องอื่นที่จะศึกษามีอีกเยอะแยะ แต่ต้องเริ่มต้นจากใจหยุดนิ่ง และหยุดเป็นตัวสำเร็จตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์
เราจะทิ้งหยุด ทิ้งนิ่งไม่ได้เลย ถ้าไม่หยุด ก็ไม่สว่าง เมื่อไม่สว่างก็ไม่เห็น
เราจะเห็นแจ้ง จะรู้แจ้ง จะเห็นอย่างวิเศษ แจ่มแจ้ง
แตกต่างจากการเห็นด้วยตามนุษย์ของเรา ก็ต่อเมื่อใจหยุดนิ่ง
สมถวิปัสสนาต้องไปคู่กัน
หยุด ภาษาธรรมะ
เรียกว่า สมถะ แปลว่า หยุด, นิ่ง, สงบ, ระงับ ต้องให้ได้ตรงนี้ก่อน
จึงจะเกิดการเห็นวิเศษแจ่มแจ้ง และแตกต่างจากการที่เราเคยเห็นทั่วๆ ไป
ที่ภาษาธรรมะเขาเรียกว่า วิปัสสนา
สมถะกับวิปัสสนา
ต้องไปพร้อมกัน จะแยกออกจากกันไม่ได้ เหมือนเพชร ทั้งสี ทั้งแวว ทั้งน้ำ ทั้งเนื้อ
มันต้องไปพร้อมกัน จะแยกออกจากกันไม่ได้ ถ้าไม่ได้สมถะก็ไม่ได้วิปัสสนา
เพราะมันไม่สว่าง จักขุมันไม่เกิด เมื่อไม่เกิด การเห็นมันก็ไม่เห็น
เพราะฉะนั้น สมถะกับวิปัสสนาต้องคู่กัน
อย่าไปแยกออกจากกันว่า นั่นสมถะ นี่วิปัสสนา นั่นแปลว่า ยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง
หรือยังไม่มีประสบการณ์ภายในอย่างแท้จริง จึงได้กล่าวอย่างนั้น
ดังนั้น วิธีที่ง่ายที่สุด คือ
เรามาเริ่มต้นที่ใจหยุดนิ่งก่อน เมื่อลูกทุกคนเข้าใจอย่างนี้ดีแล้ว ต่อจากนี้ไป
ให้ฝึกใจให้หยุดนิ่งๆ ตรึกนึกถึงบริกรรมนิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าว
จะเป็นองค์พระ เป็นดวงใสๆ หรือพระเดชพระคุณหลวงปู่ของเราก็ได้ แทนสังฆรัตนะ
พร้อมกับประกอบบริกรรมภาวนาในใจ สัมมาอะระหังๆ ภาวนาเรื่อยไปนะลูกนะ
จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง
เช้านี้ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจ ในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
ทุกๆ คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565