ธรรมกายเอฟเฟค
วันอาทิตย์ที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ.
๒๕๔๓ (๙.๓๐-๑๑.๐๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์
ณ สภาธรรมกายสากล
ตามระลึกนึกถึงบุญสร้างมหาธรรมกายเจดีย์
ภาคเช้านี้ เราจะนั่งตามระลึกนึกถึงผลบุญที่เราได้ทำกันมา
ที่เรียกว่า อปราปรเจตนา หลังจากทำไปแล้วตามระลึกนึกถึงความดีที่เราทำด้วยความยากลำบาก
ให้หัวใจเราเกิดปีติ เกิดความภาคภูมิใจ เคารพตัวเราเอง เห็นคุณค่าตัวเราเอง ชื่นชมตัวเองได้ว่า
เราได้ใช้ชีวิตนี้สร้างแต่คุณงามความดี ไม่ว่าสถานการณ์ของโลก ของชาติ ของกระแสสังคมจะเป็นอย่างไร
เราก็ยังคงทำความดีกันต่อไป ให้เกิดความรู้สึกรักตัวเอง ชื่นชมตัวเอง นอนยิ้มนั่งยิ้มกับตัวของตัวเองได้
ต่อจากนี้ไปตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากัน
ตั้งใจให้ดี เอาใจหยุดนิ่ง ๆ ไปในศูนย์กลางกาย ฐานที่ ๗ ให้ใจหยุดในหยุด หยุดในหยุด
ให้นิ่ง วางใจของเราไปเบา ๆ ที่ศูนย์กลางกาย หยุดในหยุด หยุดในหยุด นิ่งสบาย ๆ
อย่าไปบีบเปลือกตานะ
หลับตาสักค่อนลูก หลับพอสบาย ๆ
กลั่นธาตุในตัวให้บริสุทธิ์
ทำใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น
ประหนึ่งว่าเราได้สมบัติจักรพรรดิไว้ในกำมือแล้ว ประหนึ่งว่าเราเป็นผู้นิรทุกข์ ปราศจากความทุกข์เครื่องกังวลใด
ๆ ทั้งสิ้น เข้าถึงความสมบูรณ์ของชีวิต ความเต็มเปี่ยมของชีวิตที่ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
มีสมบัติอันยิ่งใหญ่คือแก้วมณีโชติรส แก้วแห่งความสมปรารถนาที่ติดอยู่ในกลางกายเป็นดวงใส
ๆ เป็นแก้วแห่งความสมปรารถนา ซึ่งรวมทุกสิ่งไว้ในกลางดวงแก้วมณีโชติรสนี้ เป็นดวงใส
ๆ ที่ตักไม่พร่อง จะติดตามตัวเราไปเหมือนเงาตามตัวไปทุกภพทุกชาติ จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม
หยุดนิ่ง ๆ ให้ดี หยุดในหยุด
หยุดในหยุด หยุดในหยุด ให้ใจใสบริสุทธิ์ จนกระทั่งเป็นทางผ่านของกระแสธารแห่งบุญ และความบริสุทธิ์จากอายตนนิพพาน
ไหลผ่านทุก ๆ กายของเรา ไหลผ่านกายมนุษย์หยาบ กายมนุษย์ละเอียด ไหลผ่านกายทิพย์ กายรูปพรหม
กายอรูปพรหม กายธรรมโคตรภู พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหัต ไหลผ่านจนกระทั่งกลั่นให้กายมนุษย์หยาบของเราบริสุทธิ์ผุดผ่องใสเป็นแก้วใสเป็นเพชร
กายมนุษย์ละเอียดใสยิ่งขึ้น กายทิพย์ พรหม อรูปพรหม กระทั่งกายธรรม ใสบริสุทธิ์ตามกันไปเลย
ธาตุ ๖
ใสในใส ใสในใส ใสในใส
ใสละเอียดสว่างหมดทุกกายเลย แต่ละกายที่ประกอบไปด้วยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ
วิญญาณ อากาศธาตุ เห็นจำคิดรู้ก็สะอาดตามไปด้วยนะ
ธาตุทั้ง ๖ หน้าธาตุน้ำ หลังธาตุไฟ ซ้ายธาตุลม ขวาธาตุดิน ตรงกลางอากาศธาตุ
วิญญาณธาตุ คือไส้ในสุด เป็นธาตุรู้
ธาตุน้ำ
คุมเกี่ยวกับเรื่องน้ำในกายเรา
น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำตา น้ำลาย น้ำอะไรต่าง ๆ ในกาย
ธาตุไฟ ก็คุมเรื่องไฟในกายเรา
ไฟให้ความอบอุ่น ไฟเผาผลาญอาหาร ไฟเผาผลาญสังขาร เป็นต้น
ธาตุลม
ก็คุมเรื่องลมในกายเรา
ลมเบื้องล่าง เบื้องกลาง เบื้องสูง ลมพัดผ่านทั่วทั้งตัว ลมในลำไส้ ลมที่ทำให้เคลื่อนไหวกายต่าง
ๆ ได้
ธาตุดิน ก็คุมเกี่ยวกับธาตุดินในตัวของเรา
เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ตับไตไส้พุงอะไรต่าง ๆ เหล่านั้น
เป็นต้น
อากาศ ก็เป็นช่องว่าง
ๆ ที่อยู่ในกายเรา
วิญญาณ ก็ธาตุรู้
คือ ทำให้รู้แจ้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ให้รู้เลยอะไรที่มันมากระทบ
กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ อะไรต่าง ๆ มากระทบกันก็รู้แจ้งขึ้น
ธาตุทั้งหมดนี้ให้สะอาดบริสุทธิ์
ทั้งเห็น ทั้งจำ ทั้งคิด ทั้งรู้ เห็นอย่างหนึ่ง จำอย่างหนึ่ง คิดอย่างหนึ่ง รู้อย่างหนึ่ง
รวมหมด สะอาดบริสุทธิ์ไปทั้งเนื้อทั้งตัวเกลี้ยงไปหมดเลย ตั้งแต่เส้นผมจากภายนอกเข้าไป
เส้นผม เส้นขน สะอาด ผิวหนัง เนื้อ กล้ามเนื้อเส้นเอ็น กระดูก โครงยึดอวัยวะภายใน ตับไตไส้พุงต่าง
ๆ
ดวงบุญตามรักษาตลอดเวลา
กายเราเหมือนเครื่องยนต์
เขาเรียก “สรีรยนต์”
เป็นอยู่ได้ด้วยดวงบุญที่อยู่ในตัว เป็นดวงใส ๆ เขาบังคับอยู่ในไส้กลางตรงนั้นแหละ
จ่ายกระแสให้เรายังมีชีวิตอยู่ เคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้
บุญหล่อเลี้ยงไปหมดทุกกาย
ตั้งแต่กายมนุษย์ กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม กายธรรมโคตรภู กายพระโสดาบัน กายพระสกิทาคามี
กายพระอนาคามี กายพระอรหัต บุญหล่อเลี้ยงรักษาตลอดสาย สาวไปเรื่อยก็จะไปถึงต้นแหล่งกำเนิดของบุญศักดิ์สิทธิ์ที่ทำความสำเร็จให้บังเกิดขึ้นอยู่ลึก
ๆ ละเอียด ๆ โน่น ผ่านตรงกลางเข้าไปเรื่อย เป็นภพที่ละเอียด ๆ เข้าไปเรื่อยเลย ในภพนั้นก็มีผู้สอบ
ผู้สั่ง ผู้บังคับ ผู้ปกครองเป็นชั้น ๆ เข้าไปเรื่อย ต้องสาวกันไปมากมายก่ายกองทีเดียว
เรื่องบุญเป็นเรื่องลึกซึ้ง
เพราะฉะนั้น คำว่า บุญไม่ช่วย อย่าไปพูด อย่าไปนึกไปคิด บุญช่วยอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับเราให้โอกาสบุญช่วยไหม
การให้โอกาสก็คือ เราจะต้องนึกถึงบุญ ถ้านึกบุญไม่ออก ก็ทำใจนิ่งเฉย ๆ หยุดนิ่งอยู่ภายใน
บุญก็จะได้ลงหล่อเลี้ยงรักษา
บุญช่วยแก้ไขตลอดเวลา
๒๔ น. ไม่ว่าเราจะรู้ หรือไม่รู้ก็ตาม ถ้าเราจะให้เขาช่วยได้เร็ว
ต้องหยุดกับนิ่ง ต้องให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ไม่ตระหนี่ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงนั่นแหละ
บุญเขาถึงจะลงมาช่วยได้เต็มที่
ถ้ายังตระหนี่
ยังหงุดหงิด งุ่นง่าน ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ ขัดเคืองใจ โงกง่วง ซึมเซา ง่วงเหงาหาวนอน อะไรต่าง
ๆ เหล่านั้น เขาก็เข้ามาช่วยได้ยาก เพราะเราไม่ให้โอกาสเขา สิ่งเหล่านี้ขวางอยู่ เขานั่นแหละเป็นคนขวางเอาไว้ในไส้กลางทำให้เราใช้บุญใช้สมบัติสร้างบารมีกันได้ไม่เต็มที่
มีอุปสรรคต่าง ๆ นานา
เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นจะต้องเข้าถึงธรรมกายให้ได้นะลูกนะ
เข้าถึงธรรมกายได้เมื่อไร จะรู้เห็นอะไรไปตามความเป็นจริง เพราะเกิดธรรมจักขุ เกิดญาณทัสสนะ เป็นความเห็นที่วิเศษที่เรียกว่า วิปัสสนา
วิปัสสนา มีอยู่ในธรรมกายเท่านั้น
วิ แปลว่า วิเศษ,
แจ้ง, ต่าง
ปัสสนา แปลว่า การเห็น
สิ่งนี้จะมีอยู่ได้ในธรรมกายเท่านั้น
เห็นด้วยธรรมกายจึงจะวิเศษ เห็นได้แจ่มแจ้ง เหมือนดึงของที่อยู่ที่มืดออกมากลางแจ้ง
เห็นชัดว่า มันคืออะไร เห็นได้ทั่วถึง ทุกทิศทุกทาง จึงเห็นแตกต่างจากการเห็นของตาธรรมดาทั่ว
ๆ ไป
ถึงธรรมกายแล้วก็จะรู้เห็นไปตามความเป็นจริงอย่างนี้
ยิ่งเห็นเราก็จะยิ่งมีกำลังใจ จะมองไม่เห็นว่า อะไรเป็นอุปสรรค เห็นมีแต่สิ่งที่เราจะต้องผ่านมันไปให้ได้
เอาชนะไปให้ได้ เพื่อจะได้ไปถึงจุดหมายปลายทาง คือที่สุดแห่งธรรม สายธาตุสายธรรมของเรา
ไปสุดสายของเราเลย สุดกายของเรา สุดเวทนา สุดจิตในจิต สุดธรรมในธรรมของเรา ไปให้สุดสาย
โดยเข้าไปในกลางของกลาง ด้วยวิธีหยุดในหยุด นิ่งในนิ่ง แล้วก็เห็นไปตามลำดับไปเรื่อยเลย
ถ้าลูกทั้งสภาทั้งหมดนี้ได้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย ทำกันเป็น ก็จะไปรู้ไปเห็นเหมือนกัน
พร้อม ๆ กันอย่างนี้
ธรรมกายเอฟเฟค
ถ้าลูกทุกคนเข้าถึงวิชชาธรรมกาย
ทำกันเป็น สิ่งอัศจรรย์ที่เป็นอจินไตย ที่เหนือความนึกคิดของมนุษย์จะเกิดขึ้น
สิ่งที่เกิดจากธรรมกายเขาเรียกว่า
“ธรรมกายเอฟเฟค” ก็จะเกิดขึ้นมา
พอถึงตรงนั้น อากาศโลก ขันธโลก สัตวโลก จะสะอาด จะบริสุทธิ์ จะเกลี้ยงเกลา
สัตวโลกบริสุทธิ์ คือ จิตใจของสรรพสัตว์ทั้งหลายจะดี
จิตใจสัตวโลก คือ เห็นจำคิดรู้ก็จะดี เมื่อดีแล้วเป็นอย่างไร เขาก็คิดดี พูดดี
ทำดี
คิดดี คือ คิดแต่สิ่งที่เป็นกุศล
คิดแบ่งปัน แทนที่คิดจะเอา คิดจะให้ แทนที่คิดจะเบียดเบียน ส่งความปรารถนาดีไปให้ แทนที่จะคิดแค้นผูกพยาบาท
ก็ให้อภัยทาน และสร้างความรัก ความสมานฉันท์ ความปรองดอง ความเป็นเครือญาติเกิดขึ้น
พูดดี จะพูดแต่สิ่งที่ดี
ๆ ที่เป็นกุศล ที่เป็นความดีงาม ชูใจ จรรโลงใจ ให้กำลังใจ ไม่ใช่ตัดรอนกัน และเป็นกัลยาณมิตรให้ซึ่งกันและกัน ชี้ขุมทรัพย์ให้ มีแต่ถ้อยคำที่เป็นที่รัก
ที่ละเอียด ที่ประณีต
ทำดี เกิดการแบ่งปันกันเกิดขึ้น
ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
กุศลธรรมต่าง ๆ จะไหลเข้ามาอยู่เลย
สังคหวัตถุ ๔ คือ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา
สมานัตตตา การให้วัตถุสิ่งของ ให้ความรู้ พูดจาด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ ช่วยเหลือเกื้อกูล
ไม่ถือเนื้อถือตัว วางตัวได้พอดี ๆ ไม่มากไม่น้อย เกิดความสมานฉันท์ขึ้น สมานจุดต่าง
ความแตกต่างก็สมานกันเป็นแผ่นเดียวกัน ติดกันไปเลย
สัตวโลกจะบริสุทธิ์อย่างนี้
เมื่อเกิดธรรมกายเอฟเฟค
ขันธโลกบริสุทธิ์
ขันธโลก คือ ขันธ์
๕ คือ ร่างกายมนุษย์จะแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ อ่อนเพลีย ละเหี่ยใจ วิงเวียน
ความเจ็บป่วยไม่มี เหมือนมนุษย์ในยุคต้นกัป ถ้าบอกว่า มันคันจังเลยตามเนื้อตามตัว มนุษย์ต้นกัปไม่รู้จัก ต้องไปถามกันทั่วโลกเลยว่า
คันแปลว่าอะไร ไม่มีใครรู้จัก ยุคนั้นมีแต่โรคหิว โรคกระหาย หิวน้ำ หิวข้าวเท่านั้น
แปลกดีทีเดียว
สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นกับมนุษย์มาแล้วเมื่อต้นกัป
แต่ได้ลืมเลือนไปจนกระทั่งนึกไม่ออก เพราะไม่มีตัวอย่างอย่างนั้น เนื่องจากกระแสบาปในยุคนี้มันเยอะ
ขันธ์ ๕ ของสรรพสัตว์ทั้งหลายบริสุทธิ์
เนื่องมาถึงสัตว์เดรัจฉาน สามารถสื่อสารกันได้ด้วยภาษามนุษย์ เหมือนที่เราอ่านเจอในชาดกว่า
สัตว์พูดได้ เราก็นึกว่าเป็นคำอุปมาอุปไมย หรือสร้างเรื่องขึ้นมา แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น
แต่มันเป็นยุคที่ขันธ์ ๕ ของสัตว์ที่ยังมีบาปอกุศลอยู่ เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ยังสื่อสารกันได้ด้วยภาษามนุษย์
ยกตัวอย่างในพระไตรปิฎก
เช่น นกยูงทองได้กล่าวสอนพระราชา แม้ว่ามีเศษกรรมต้องไปเป็นนกยูง แต่กระแสบุญความเป็นบัณฑิตในกาลก่อนยังมีอยู่
ก็สามารถพูดเทศน์ธรรมได้ด้วยภาษามนุษย์
ถ้าทุกคนเข้าถึงธรรมกายก็จะย้อนยุคไปสู่ยุคแห่งความบริสุทธิ์ของมนุษย์
ซึ่งมนุษย์ในยุคนี้ คิดว่าเป็นความฟุ้งซ่าน หรือเพ้อฝัน แต่ความจริงเรื่องเหล่านี้เคยมีมาแล้วจากในอดีต
ตั้งแต่ปฐมกัปเกิดขึ้น
อากาศโลกบริสุทธิ์ หมายความว่า
ดินอากาศฟ้าจะเป็นฤดูสบาย จะไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่อ้าว จะพอดี ๆ ฝนตกพอดี ๆ กับที่เราต้องการ
แดดออกพอดี อากาศจะสดชื่น เหมาะสมต่อการประพฤติธรรม น้ำท่วมไฟไหม้ไม่มี พายุร้ายไม่มี
อากาศดี สบาย ๆ ทำให้จิตใจมนุษย์ดี
ร่างกายมนุษย์ก็แข็งแรง บางคนอารมณ์เสียเพราะอากาศไม่ดี
ทั้ง ๆ ไม่ได้ขุ่นมัวโกรธกับใครเลย เพราะฉะนั้นอากาศก็มีผล
ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
ดวงดาวจะสุกใส เมื่อต้นกัปดวงอาทิตย์จะสว่างไสว แสงจะนวลตาเย็นใจเหมือนดวงธรรมภายใน
เหมือนดวงจันทร์ที่สามารถมองดูได้ด้วยตาเปล่า คล้ายตะวันแก้วที่เราเคยเห็น คล้าย ๆ
อย่างนั้น แต่ประณีตกว่านั้น คือดูได้อย่างสบาย เย็นตาเย็นใจ นวลสว่างเหมือนแสงธรรมภายใน
ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
ดวงดาว ธรรมชาติจะสอดคล้องกัน เป็นมิตรกับมนุษย์ ไม่เป็นปรปักษ์กับมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย
หากว่า ธรรมกายปรากฏขึ้นทั่วโลก
ธรรมกายเอฟเฟคท์ก็จะเกิดขึ้นอย่างนี้ หลวงพ่อถึงอยากให้ลูกทุกคนขยันนั่ง ก็เพื่อให้เราได้เข้าถึงธรรมกาย
ให้เราได้สมหวังในชีวิต เพราะเราหวังอยากจะได้ความสุขที่แท้จริง อยากจะรู้เรื่องราวของตัวเราเอง
ซึ่งเราอึดอัดมาก ในการที่เราไม่ได้รู้ตัวเรา หรือไม่รู้จักตัวเราเลยว่า เราเป็นใคร
มาจากไหน มาทำไม จะไปไหน มันอึดอัด
จะแก้อึดอัดได้ ก็ต้องเอาอึดออก
ด้วยการปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมกาย ซึ่งมีธรรมจักขุและญาณทัสสนะ จะทำให้เราเห็นได้วิเศษ
เห็นได้แจ่มแจ้ง เห็นได้แตกต่างกว่าธรรมดา กว่าปกติ เห็นได้รอบตัว พอเห็นแล้วก็ทำให้เรารู้แจ้ง
พอรู้แจ้งก็หายสงสัย ก็เบิกบาน ใจจะขยาย เหมือนเราประสบความสำเร็จอะไรสักอย่างที่เราเข้าใจได้
เช่น ทำข้อสอบได้มันเบิกบาน มันแช่มชื่น หักนิ้วมือได้ ดีดนิ้วมือดังเป๊าะแป๊ะได้
ก็โล่งใจ สบายใจ เบิกบานใจ ตอนนี้เรายังอึดอัดอยู่นะ เพราะฉะนั้น การเข้าถึงธรรมกายได้
จะทำให้หายอึดอัด เพราะเรามีความสุข จิตก็บริสุทธิ์ เกลี้ยงเกลา
เหตุแห่งความทุกข์
ความไม่บริสุทธิ์ของดวงจิต
มันทำให้เรามีความทุกข์ จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม อาจจะคุ้นเคยกับความทุกข์ด้วยซ้ำ
ความเซ็ง เครียด เบื่อ กลุ้ม หงุดหงิด งุ่นง่าน ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ มันเกิดมาเพราะจิตไม่บริสุทธิ์
ที่เขาเรียกว่า นิวรณธรรมมาครอบงำ ซึ่งมีรากเหง้าจากอกุศลมูล คือ ความโลภ ความโกรธ
ความหลง ซึ่งทั้งหมดมาจากเขานั่นแหละบังคับเอาไว้
สุขจากการเข้าถึงธรรมกาย
เมื่อเราเข้าถึงธรรมกายได้
จิตก็จะบริสุทธิ์ ความสุขก็เกิดขึ้น เหมือนเรากดสวิตช์ไฟ พอไฟสว่าง ความมืดก็หายไป
พอเราเปิดแอร์ขึ้น พอแอร์ให้ความเย็น ความร้อนในห้องก็ดับไป เย็นซาบซ่านก็เกิดขึ้น
ก็ทำให้กายสบาย พอกายสบาย ใจก็สบาย
ยิ่งถ้าหากเรารู้จักตัวของเราเองว่า
มาจากไหน มาทำไม อะไรคือเป้าหมายของชีวิต และเราจะไปสู่เป้าหมายนั้นได้อย่างไร เข้าใจอย่างนี้มันมีความสุข
แล้วจะมีกำลังใจในการสร้างความดี จะไม่ตระหนี่ จะไม่หวงแหน ใจจะไม่คับแคบ ใจจะขยายกว้าง
ที่เขาเรียกว่า ใจกว้างขวาง เพราะใจขยาย มันออกจากข้องใจ
“ข้องใจ” ก็เหมือนข้องขังปลานั่นแหละ
ปลาอยู่ที่ในข้อง กับปลาอยู่ในน้ำ ความรู้สึกมันแตกต่างกัน อยู่ในข้องมันดิ้นทุรนทุราย
อยากออก พออยู่ในน้ำมันก็ร่าเริง เบิกบาน ไปไหนมาไหนได้เป็นอิสระ
เมื่อใจเราหลุดจากที่แคบ
ขยายให้กว้าง เพราะฉะนั้น เราก็จะแสวงหาความสุขจากการให้ คราวนี้จะมองเห็นชัดเลยว่า
ทรัพย์ทั้งหลายมันเป็นของกลาง เป็นอุปกรณ์ เป็นเครื่องมือในการสร้างบารมีเท่านั้น ไม่ใช่มีเอาไว้ให้ตระหนี่
ให้หวงแหน หรือวิตกกังวล เสียดาย หรือแสวงหาความสุขที่ไม่เสรี ความสุขที่ถูกครอบด้วยความหายนะ
แต่มีไว้เพื่อสร้างบารมี
เราก็จะเห็นว่า
ทรัพย์เป็นของกลาง ๆ จริง มีบุญก็ได้ครอบครอง อย่างที่เราเคยได้ยินว่า สมบัติผลัดกันชม
เมื่อมีบุญก็ได้ครอบครอง พอเห็นอย่างนั้นเข้า ใจมันจะเป็นกลาง ๆ เหมือนเราเป็นเจ้าของสมบัติทั้งโลก
ทั้งจักรวาล ที่มีความพร้อมจะแบ่งปันให้กับทุก ๆ คน
เราจะเปลี่ยนจากภาวะผู้รับเป็นผู้ให้
เราอยากให้ เพราะเรามีเยอะ มีมากมาย ทีนี้มันก็มีอานุภาพ ยิ่งให้ ก็ยิ่งได้ ให้เข้าไปอีก
ก็ยิ่งได้เพิ่มขึ้น จนกระทั่งมีมากพอจนกระทั่งเราอิ่มแล้ว เราเต็มเปี่ยมแล้ว เราอยากจะไปแสวงหาทรัพย์ที่ยิ่งกว่าโลกียทรัพย์มันคืออะไร
ในที่สุดมันก็จะมุ่งเข้าหาอริยทรัพย์
อยากจะรู้จักว่า ทรัพย์ที่เป็นเครื่องปลื้มใจของพระอริยเจ้า ของผู้รู้เป็นอย่างไร ทำไมนะ
ท่านมีแค่บริขาร ๘ มีปัจจัยแค่ ๔ อย่าง ท่านอยู่ได้อย่างไร ดูผิวพรรณวรรณะท่านผ่องใส
อิ่มเอิบ เบิกบาน นั่งนอนยืนเดินใต้โคนไม้ก็มีความสุข อยู่ในถ้ำ เงื้อมผา เรือนว่าง ในป่าช้าที่คนเขากลัวกัน ก็ยังมีความสุข
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ใต้โคนต้นไม้
พ้นฤดูฝน เข้าฤดูหนาว มีพราหมณ์คนหนึ่งเดินผ่านมาพบเข้า ก็เข้าไปกราบถามท่าน เพราะสงสัย
เห็นอินทรีย์ท่านผ่องใส ผิวพรรณวรรณะเปล่งปลั่งผ่องใส ถามว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์บรรทมเป็นสุขดีหรือ ในเมื่อพระองค์อยู่ที่โคนไม้ พื้นก็เป็นดินเหนียว หน้าฝนเหยียบย่ำมันก็เป็นหลุมเป็นบ่อ
พอหมดฝนพื้นดินก็แข็งกระด้าง มีร่องรอยของการเหยียบย่ำ ไม่ราบเรียบ ปูลาดด้วยหญ้า ผ้าอาบ
แล้วก็นั่งประทับ นอนบรรทมอยู่ พระองค์เป็นสุขหรือเพราะดูผิวพรรณวรรณะของพระผู้มีพระภาคเจ้าเปล่งปลั่งสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา”
ท่านไม่ยกตัวท่าน ท่านบอกว่า
ในบรรดาผู้ที่หลับเป็นสุขนั้น ซึ่งในบรรดานั้นหมายความว่า มีหลายคน
ท่านเป็นคนหนึ่งในนั้น เพราะใจท่านไม่ได้ติดอะไรเลย เกลี้ยงเป็นธรรมกายใสแจ่ม ใจขยายแล้ว
กว้างขวาง ใหญ่โต ใจไม่คับแคบ ความทุกข์เข้าไปครอบงำไม่ได้ ความทุกข์ไม่มีในธรรมกาย
เพราะฉะนั้นตถาคตนั่งเป็นสุข ยืนเป็นสุข เดินเป็นสุข นอนเป็นสุข จะเหยียดแขนคู้แขนทำอะไรเป็นสุขทั้งนั้น
นี่แสดงให้เห็นว่า การเข้าถึงธรรมมันเป็นสุขอย่างนี้
เพราะฉะนั้นหลวงพ่อถึงอยากให้ลูกทุกคนเข้าถึงกัน
ความสงสัยนี้มีไปถึงพระราชา
พระราชาพระองค์หนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลถามว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ข้าพระองค์เห็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น แต่ทำไมผิวพรรณวรรณะผ่องใส
มีละอองนวลเหมือนมีความสุขอยู่ในใจ”
ตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น
คือ ผอมจนกระทั่งเห็นเส้นเอ็นเห็นชัดทีเดียว เหมือนหลวงพ่อตอนไปเห็นคุณยายใหม่ ๆ อย่างนั้นเลย
ตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น หลวงพ่อเห็นเส้นเอ็นท่านชัดเจน แต่ดวงตาสุกใส ผิวท่านนวลผ่องใส
พระราชาองค์นั้นสงสัยจึงทูลถามอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“เป็นอย่างนั้นมหาบพิตร สาวกของพระตถาคตเจ้า เป็นผู้ไม่นึกถึงอดีตที่ผ่านมา อนาคตก็ไม่นึกถึง
เป็นอยู่ด้วยปัจจุบัน คือใจหยุดนิ่งอยู่กับที่อยู่ในกลางนั่น แม้มีอาหารวันละมื้อ ขาดบ้าง
อิ่มบ้าง อดบ้าง ผิวพรรณวรรณะก็ย่อมผ่องใส ตรงกันข้ามกับผู้ที่สมบูรณ์ไปด้วยโภคทรัพย์
นอนบนเตียงที่ปูลาดด้วยฟูกที่อ่อนนุ่ม กอดบุตรภรรยา มีคนประโคมดนตรีให้เพลิน ฟังไพเราะ
มีคนบำรุงบำเรออำนวยความสะดวกแต่ใจยังกังวลอยู่”
ท่านก็ย้อนถามว่า
“อย่างนี้จะหลับเป็นสุขหรือ” พระราชาก็ตอบว่า
“หลับไม่เป็นสุขพระเจ้าข้า แม้แต่ข้าพระองค์เองก็หลับไม่เป็นสุข แม้มีเครื่องบำรุงบำเรอ
คน สัตว์ สิ่งของ พร้อมยังไม่สุขอย่างนั้น”
ใจที่หยุดนิ่งอยู่ภายใน
เข้าถึงธรรมกายนั่นแหละ เป็นใจที่อุดมไปด้วยความสุข อุดมไปด้วยวิตามินแห่งความสุขที่ไหลผ่านกายใจเราอยู่ตลอดเวลา
อานิสงส์บุญสร้างมหาธรรมกายเจดีย์
ให้ลูกทุกคนนึกถึงบุญที่เราได้ทำผ่านมาด้วยความปีติใจ
ได้ช่วยกันสถาปนามหาธรรมกายเจดีย์จนกระทั่งสำเร็จเป็นอัศจรรย์ได้ในระดับหนึ่งแล้ว จนกระทั่งถึงฉลอง
เราได้ผ่านอุปสรรคกันมามากมาย แต่เราก็ผ่านมาได้ ชนะแล้ว นึกถึงบุญให้ใจชุ่มเย็นอยู่ในบุญ
อยู่ในกุศล อยู่ในความดี
อปราปรเจตนา ก็คือ การตามระลึกนึกถึงบุญในภายหลังก็จะเพิ่มพูนบุญเป็นทับทวีให้กับลูกทุกคน
ทั้งลูกสามเณรแก้วก็ดี ลูกอุบาสก อุบาสิกาทุกท่านก็จะเพิ่มพูนบุญในตัว ซึ่งจะกลั่นกายวาจาใจธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้ของเราให้สะอาด
บริสุทธิ์ ผ่องใส สว่างไสว
บุญนี้ยังพลอยมีผลให้วิมานในสุคติโลกสวรรค์ของเราอลังการ
ตระการตา สว่างไสว พร้อมไปด้วยรัตนชาติ แก้วแหวนเงินทอง เพชรนิลจินดา สวยงามมาก โตใหญ่เป็นภูเขาเลากา
มีบริวารมากมาย ล้วนแต่สวยงามกว่ามนุษย์ทั้งสิ้น แค่บริวารยังสวยงามกว่ามนุษย์ทั้งสิ้น
นับประสาอะไรกับตัวของเรา เมื่อไปเป็นเจ้านายก็จะสวยกว่านั้น จะมีชีวิตที่มีความสุขอย่างยาวนานหลังจากที่เราละจากโลกนี้ไปแล้ว
เราไม่มีวันตาย แต่เราเปลี่ยนกาย
จากกายที่มีขอบเขตจำกัดไปสู่กายที่ไม่มีขอบเขตจำกัด คือ กายทิพย์ ย้ายที่ทำงานใหม่ไปทำภาวนาด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ปวด
ไม่เมื่อย ที่สดชื่นเบิกบานอยู่ตลอดเวลาในสิ่งแวดล้อมที่รื่นรมย์ รื่นรมย์ไปด้วยของกินของใช้
ทั้งสวนดอกไม้ ทั้งบริวาร รวมทั้งเพื่อนบ้าน สหายแห่งเทวดาที่มีวิมานมาติดกัน
เมื่อขึ้นไปแล้วก็จะจำกันได้ระลึกชาติกันได้ว่า ตอนเป็นมนุษย์อยู่ ชื่อนั้น ชื่อนี้
เราก็ได้ร่วมแรงร่วมใจกันไปทำหน้าที่ผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตร ไปเป็นสามเณรแก้ว ช่วยกันสร้างบารมีกันมา
ไปในทุกหนทุกแห่ง ตามตรอก ซอก ซอย ที่ไหนมีผู้คนก็ไปตรงนั้น ได้รับการต้อนรับบ้าง ไม่ต้อนรับบ้าง
ทั้งดอกไม้ ทั้งก้อนอิฐก้อนหินได้มาหมด
แต่เราออกจากบ้านทุกหลังด้วยใจที่เบิกบาน
เหมือนนกที่ออกจากคอนที่มีแต่ปีกและหาง ไม่อาลัยอาวรณ์ ออกมาเบิกบานไปในโลกกว้าง ไปในอากาศที่กว้างขวาง
เหมือนพระราชาที่รบชนะศึกออกจากแว่นแคว้นที่รบชนะแล้วด้วยความเบิกบาน เหมือนมหาทุคตะที่ออกจากความตระหนี่แล้วมีปีติเบิกบานยิ่งกว่าพระราชารบชนะศึก
เปล่งวาจาว่า ชิตํ เม จะมีความเบิกบาน แช่มชื่น บุญที่เราได้ จะส่งให้เรามีสุขอยู่ในสุคติโลกสวรรค์
บุญนี้ตามส่งผลทุกชาติกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม
เวลาจะเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิก็อย่าไปทุกข์ใจนะลูกนะ
มันต้องตายกันทุกคน ให้ใจฉ่ำอยู่ในบุญตลอดเลย เขาก็จะตามหล่อเลี้ยงรักษาไปนะ กระทั่งเปลี่ยนกายใหม่
เป็นกายทิพย์มีสมบัติเป็นทิพย์ มีสหายเป็นทิพย์ สิ่งแวดล้อมที่เป็นทิพย์สวยงาม จะไปไหนมาไหนก็ไปด้วยตัวเอง
ไม่ต้องอาศัยยวดยานพาหนะอันใด แวบไปแวบมาได้ คล่องแคล่วว่องไวกว่ามนุษย์
ลงมาเกิดบุญนี้ก็ยังตามต่อมาอีก
เกิดมาใหม่ก็มีสมบัติมารอคอย มีรูปสมบัติสวยงาม แข็งแรง อายุยืน ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
มีความสดชื่น เบิกบาน เป็นสุขุมาลชาติ ได้รับการดูแลเลี้ยงดูอย่างดี แต่จะไม่ตระหนี่และติดในสมบัติ
จะมีสมบัติเกิดขึ้นมารอคอยเป็นสมบัติอจินไตย ที่เหนือธรรมชาติ เหนือกฎเกณฑ์ เป็นสมบัติที่ผู้มีบุญเท่านั้นจึงจะได้ครอบครอง
ผู้มีบุญในกาลก่อนก็ได้ครอบครองกันมามากมาย นับร้อย นับพัน นับหมื่น นับแสน นับล้านคนมาแล้ว
นับล้านท่านได้ครอบครองสิ่งเหล่านั้น เราก็จะได้ครอบครอง แล้วก็จะได้สร้างบารมีกันต่อ
ๆ ไป อยากจะเอาเงินสร้างก็ใช้เงินสร้าง อยากเอาทองสร้างก็ใช้ทองสร้าง
เหมือนสมัยหนึ่ง เขาสร้างวัดในแผ่นดินเดียวกับพระเชตวันมหาวิหาร
ซึ่งกว้างขวางกว่าในยุคพุทธกาลที่ผ่านมา พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ก่อน ๆ โน้น แผ่นดินผืนนั้นถูกซื้อด้วยทองที่ปูติดเรียงกันแน่นไม่มีช่องว่าง
เต็มแผ่นดินที่กว้างขวางกว่า ๒,๐๐๐ ไร่ในวัดเรานี่อีก ที่ตรงไหนเป็นที่ลุ่ม
ๆ ดอน ๆ เป็นหลุมเป็นบ่อ ก็ต้องถมให้เต็ม ที่ไหนที่ดอนก็ถมน้อยหน่อย แต่ก็ต่อเรียงกันสนิททั้งที่ลุ่มที่ดอน
เขาปูกันด้วยทองกันทีเดียวนะ
เพื่อขอแลกแผ่นดินนี้เอามาถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้ใช้เป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย
ให้ชาวโลกได้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย มีความสุขกันไป เขามีความสุขต่อการสร้างบารมีกันอย่างนี้นะ
เพราะฉะนั้น เมื่อเรามาเกิด
สมบัติเหล่านั้นแหละ จะตามเรามา อยากจะใช้เงินสร้างก็ได้เอาเงินสร้าง อยากจะใช้ทองสร้างบารมี
ก็จะได้เอาทองมาสร้างบารมีกัน อยากจะได้รัตนชาติมาสร้างบารมี เขาก็ปูกันเต็มเลย อนุญาตใครมาฟังธรรมก็หยิบเอาไป
มีแรงเท่าไรก็หยิบเอาไป ขอให้มาฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เขามองกันว่า
การให้โอกาสกับคนมาฟังธรรม เป็นหน้าที่ของผู้รู้ ของบัณฑิตนักปราชญ์จะต้องพึงทำ และเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่จะต้องทำด้วย
ถ้าไม่ทำมันก็ผิดหน้าที่ เขาคิดกันอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเขาจะทำกันอย่างนั้น
ลูกทุกคนก็จะได้อย่างนั้น
อยากเอาเงินทำบุญก็ได้เอาเงินทำบุญ อยากเอาทองทำบุญก็ได้ทองทำบุญ อยากจะเอารัตนชาติทำบุญ
เราก็ใช้รัตนชาติทำบุญ ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ในยุคนั้นเขาปรารถนาอะไรก็จะได้อย่างนั้น
จะหยิบเอามาใช้สอยได้ดังใจ อย่างนี้ไม่ใช่ชาติเดียวนะ ไม่ใช่สิบชาติ ไม่ใช่ร้อยชาติ
ไม่ใช่พันชาติ ไม่ใช่หมื่นชาติ ไม่ใช่แสนชาติ ไม่ใช่ล้านชาติ แต่นับชาติกันไม่ถ้วน จนกระทั่งไปถึงที่สุดแห่งธรรมนั่นแหละ
เพราะฉะนั้นให้ใจฉ่ำนิ่งอยู่ในบุญกันเลย ตามระลึกนึกถึงบุญไปเรื่อย ๆ ให้ใจเบิกบาน
ให้ใจแช่มชื่นกันทุก ๆ คนนะ
วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2565