ความเพลินส่วนเกินของชีวิต
วันอาทิตย์ที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ (๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น.)
สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไป ให้ลูกทุกคนตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ
โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ
ค่อนลูกพอสบายๆ คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตานะจ๊ะ
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเรา
ให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทำใจของเราให้ว่างๆ
แล้วก็มาสมมติว่า
ภายในร่างกายของเรานั้น ปราศจากอวัยวะ ไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น ให้เป็นปล่อง
เป็นช่อง เป็นโพรง เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ กลวงภายใน คล้ายๆ ลูกโป่งที่เราอัดลมเข้าไป หรือคล้ายๆ
ท่อแก้วท่อเพชร ใสๆ
วางใจ
แล้วเราก็น้อมใจของเรา
ที่คิดแวบไปแวบมาในเรื่องราวต่างๆ เอามารวมหยุดนิ่งๆ ไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา
ในระดับที่เหนือจากสะดือ ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า
เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น เรานำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง
ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม
เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นที่เกิด ที่ดับ
ที่หลับ และที่ตื่น เป็นทางไปสู่มรรคผลนิพพาน
เราก็จะต้องเอาใจมาหยุดนิ่งๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ อย่างเบาๆ สบายๆ เหนือระดับสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ จำง่ายๆ
ว่า อยู่ในกลางท้อง อาจจะไม่ตรงกับฐานที่ ๗ เป๊ะเลย แต่ก็อย่ากังวลกันเกินไป
สภาวธรรมภายใน
ฐานที่
๗ เป็นตำแหน่งที่สำคัญ เป็นที่ตั้งของใจอย่างถาวร เป็นที่ตั้งดั้งเดิมของใจ อยู่ที่ตรงนี้แหละ
เป็นจุดเริ่มต้นที่จะเดินทางไปสู่อายตนนิพพานภายใน
ซึ่งพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านเริ่มต้นตรงนี้ในกลางกายของท่าน แล้วท่านก็ได้พบหนทางไปสู่อายตนนิพพาน
ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑
อย่างน้อยก็เป็นโคตรภูบุคคล คือ เข้าถึงพระธรรมกายภายใน ถึงพุทธรัตนะ
ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน
หน้าตักหย่อนกว่า ๕ วานิดหน่อย ลักษณะคล้ายกับพระพุทธรูป แต่สวยงามกว่านั้นมากกว่ามาก
ประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษ ครบถ้วนทุกประการ เกตุดอกบัวตูม ใสบริสุทธิ์
เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน หยาบ-ละเอียด พระโสดาปัตติมรรค
พระโสดาปัตติผล หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา เกตุดอกบัวตูมเหมือนกัน แต่โตขึ้น ใสบริสุทธิ์
เข้าถึงกายธรรมพระสกิทาคามี หยาบ-ละเอียด พระสกิทาคามิมรรค
พระสกิทาคามิผล หน้าตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา เกตุดอกบัวตูม
เข้าถึงกายธรรมพระอนาคามี หยาบ-ละเอียด พระอนาคามิมรรค
พระอนาคามิผล หน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา
เข้าถึงกายธรรมอรหัต หยาบ-ละเอียด อรหัตมรรค อรหัตผล หน้าตัก
๒๐ วา สูง ๒๐ วา
ทั้งหมด
คือ กายในกายที่ซ้อนกันอยู่ภายใน คือ มรรคผล มรรค ๔ ผล ๔ เมื่อถูกส่วนก็เข้าถึงนิพพาน
นิพพานก็จะมีไปตามลำดับตั้งแต่ กายธรรมโคตรภู พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี อรหัต
เป็นนิพพานเป็นของพระธรรมกายทุกๆ องค์ที่อยู่ภายในนั้น เรียกว่า สอุปทิเสสนิพพาน นี่เป็นภาคทฤษฎี
ที่เราจะต้องศึกษาเอาไว้ให้ดี
ในแง่ของการปฏิบัติเมื่อเราทราบว่า จุดเริ่มต้นจะไปสู่เส้นทางมรรคผลนิพพานนั้น
เริ่มต้นอยู่ที่ฐานที่ ๗ เราก็จะต้องเอาใจมาหยุดนิ่งๆ อยู่ที่ตรงนี้ให้ได้ตลอดเวลา
ทุกอิริยาบถ ทั้งนั่ง นอน ยืน เดิน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด หยุด นิ่ง ลิ้มรส เหยียดแขน
คู้แขน หรือทำกิจกรรมอะไรก็ตาม ใจจะต้องมาอยู่ที่ตรงนี้ ให้ประคองอยู่ จนกระทั่งมันหยุดได้อย่างแท้จริงสมบูรณ์
ถ้าเวลาใจหยุดนิ่งได้
จะมีดวงใสๆ ลอยขึ้นมา กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย
ใสเหมือนน้ำใสๆ บ้าง เหมือนกระจกคันฉ่องที่เราส่องเงาหน้าบ้าง เหมือนเพชรบ้าง
หรือใสกว่านั้นบ้าง
ขนาดอย่างน้อยก็เหมือนดวงดาวในอากาศ
อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
หรือว่าใหญ่กว่านั้น ตามกำลังบารมีของแต่ละคน หรือโตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ จะใส บริสุทธิ์
เกิดขึ้นที่กลางกายของเรา
ถ้าเราปฏิบัติแล้วได้ถึงระดับนี้
แปลว่า เรามาถูกทางแล้ว ถึงจุดเริ่มต้นของการเดินทางเข้าไปสู่เส้นทางสายกลางภายในของพระอริยเจ้า
ที่เรียกว่า อริยมรรค
บางครั้งเรียกว่า
วิสุทธิมรรค ทางแห่งความบริสุทธิ์
หมดจดจากสรรพกิเลสทั้งหลาย
บางครั้งเรียกว่า
วิมุตติมรรค ทางแห่งความหลุดพ้น จากกิเลสจากอาสวะ
สาเหตุแห่งความทุกข์
กิเลสอาสวะ
โลภะ โทสะ โมหะ เป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ จะกระตุ้นเราให้เกิดความทะยานอยาก อยากได้
อยากมี อยากเป็น อะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นต้น เป็นความอยากที่ประกอบไปด้วยความเร่าร้อน
ความเพลินที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรอย่างแท้จริง
แถมทำให้เกิดทุกข์โทษภัยในสังสารวัฏด้วย
กิเลสอาสวะ
เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานของชีวิต ถ้าขจัดให้หมดสิ้นไปได้ ก็จะหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ
ก็จะเข้าถึง เอกันตบรมสุข คือ เข้าถึงความสุขอย่างยิ่ง
อย่างเดียว ไม่มีทุกข์เจือปนเลย
กรณียกิจแห่งชีวิต
กิจที่เราจะต้องทำ คือ ทำใจหยุดนิ่ง
เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ เพื่อการสลัดตนให้พ้นจากทุกข์ทั้งหลาย นี้เป็นวัตถุประสงค์หลักของการเกิดมาเป็นมนุษย์ในแต่ละภพชาติ
นอกนั้นเป็นเรื่องรองลงมา คือ เรื่องทำมาหากิน เนื่องจากชีวิตจะเป็นอยู่ได้ต้องประกอบไปด้วยปัจจัย
๔ มีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย เป็นต้น มีความจำเป็นจะต้องดำรงอยู่
เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง เพื่อสลัดตนให้พ้นจากทุกข์ นี่คือ วัตถุประสงค์
ถ้าเราจับหลักได้แล้วว่า
อะไรคือหลักของชีวิต อะไรคือเรื่องรองลงมา และอะไรคือส่วนเกิน การดำเนินชีวิตในโลกนี้ก็ปลอดภัยว่า
หลักที่สำคัญ คือ หยุดกับนิ่งนี่แหละ ที่จะทำให้เราเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในตัว
แล้วหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
รองลงมา ก็เรื่องทำมาหากิน ทำมาค้าขาย ทำมาสร้างบารมี
ส่วนเกิน คือ การสนุกสนานเพลิดเพลิน เที่ยวเตร่เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด
เพราะเราไม่รู้ว่าจะพักผ่อนหย่อนใจอย่างไรจึงจะถูกหลักวิชชา เราก็จะหาทางพักผ่อนหย่อนใจไปตามรสนิยม
ตามความเข้าใจของตัว ตามดวงปัญญาที่เราคิดได้ ได้เห็น ได้เรียนรู้ ได้ถูกหล่อหลอมจากโลกใบนี้
เพราะชีวิตเป็นไปด้วยความเพลิน ความทะยานอยาก นนฺทิราคสหคตา
ประกอบไปด้วยความเพลินๆ คือ เพลินให้หมดไปวันๆ ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ เพื่อความเพลินๆ
ซึ่งเป็นส่วนเกินของชีวิต
ความเพลินภายใน
ความเพลินภายนอกเป็นส่วนเกินของชีวิต
แต่ความเพลินภายใน เป็นเรื่องหลักของชีวิต
เมื่อจิตของเราหยุดนิ่ง
บริสุทธิ์ผ่องใสแล้ว จะเกิดความเพลินที่ยิ่งใหญ่ เป็นความเพลินที่ประกอบไปด้วยดวงปัญญา
เพราะว่าเราจะได้รู้เห็น เข้าใจเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต เข้าถึงพระรัตนตรัย
ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึก เข้าถึงเมื่อไรก็อบอุ่นใจ ปลอดภัย มีความสุข จะแปรเปลี่ยนเรา
จากผู้ไม่รู้ มาเป็นผู้รู้ ผู้หลับมาเป็นผู้ตื่น ผู้มีความทุกข์ทรมานก็มาเป็นผู้เบิกบาน
หัวใจเราจะขยายไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
บริกรรมนิมิต-บริกรรมภาวนา
วันนี้เป็นวันหนึ่งที่สำคัญ
ในการที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มาพบพระพุทธศาสนา มารู้หลักวิชชาในการดำเนินชีวิต
ให้ตั้งใจฝึกจิตของเราให้หยุดให้นิ่ง
เอาใจของเรามาหยุดที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างสบายๆ พร้อมกับกำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจของเรา
เป็นภาพทางใจ เพื่อเอาไว้สำหรับยึดเกาะ จะได้ไม่ไปคิดเรื่องอื่น นึกเป็นดวงใสๆ เป็นพระแก้วใสๆ
หรือเป็นพระเดชพระคุณหลวงปู่ก็ได้ ทั้ง ๓ อย่างเป็นสัญลักษณ์ของพระรัตนตรัย เอาอย่างเดียว
นึกด้วยใจที่บริสุทธิ์หยุดนิ่งไปเรื่อยๆ
นึกอย่างเบาๆ สบายๆ คล้ายๆ กับเรานึกถึงเรื่องที่เราคุ้นเคย สิ่งที่เรารักนั่นแหละ
พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนาในใจไปเบาๆ ว่า สัมมาอะระหังๆๆ
ทุกครั้งที่ภาวนา
สัมมาอะระหัง เราจะต้องไม่ลืมตรึกนึกถึงบริกรรมนิมิต เป็นพระแก้วใสๆ ดวงแก้วใสๆ
หรือพระเดชพระคุณหลวงปู่ก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง เอาอย่างเดียว แต่นึกอย่าง เห็นอีกอย่าง
ก็ไม่เป็นไร
เราจะภาวนา
สัมมาอะระหัง ไปจนกว่าใจจะหยุดนิ่ง เกิดความรู้สึกว่า ไม่อยากจะภาวนาต่อไป อยากรักษาใจให้หยุดให้นิ่ง
ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องย้อนกลับมาภาวนาใหม่ ให้รักษาใจหยุดนิ่งเรื่อยไป
ดูไปด้วยใจสบาย
มีอะไรให้ดูเราก็ดูไป
ดูไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น อะไรก็แล้วแต่เกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกาย เป็นสิ่งที่ควรดูทั้งสิ้น
ให้ดูไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น แล้วใจก็จะหยุดของมันไปเอง จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ
เราก็จะมีหน้าที่ดูไป
ยากตรงหยุดแรก
มันจะยากตรงหยุดแรกนิดหน่อยเท่านั้นแหละ
เพราะเรายังไม่คุ้นเคยกับการหยุดใจที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แต่ให้ประคองใจไปเรื่อยๆ
ทำภาวนาไป ไม่ช้าใจมันก็จะค่อยๆ หยุด ใหม่ๆ อาจจะฟุ้งมาก หยุดสักวินาทีหนึ่งก็ถือว่าดีแล้ว
เป็นรางวัลสำหรับการทำความเพียร
ต่อไปฟุ้งมากก็มาฟุ้งน้อย
เราก็หยุดไปเพิ่มขึ้น จนกระทั่งไม่ฟุ้ง เมื่อไม่ฟุ้งแล้วตัวก็จะโล่ง โปร่ง เบา
สบาย จะขยายแล้วก็หายไป เหมือนเราไม่มีตัวตน จากกลางท้องเรา ก็จะเป็นกลางท้องฟ้ากว้างๆ
และใจก็จะหยุดนิ่งสงบ เคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน มีปีติ มีสุขเกิดขึ้น แล้วก็ใจเป็นหนึ่ง
สงัดจากกามและอกุศลธรรมเป็นหนึ่งเดียว เป็นเอกัคคตา เป็นกลางๆ บริสุทธิ์ มีความสุขไปพร้อมๆ
กัน หลังจากนั้นก็จะเห็นไปตามลำดับในสิ่งที่มีในตัวเรา คือ กายในกาย เวทนาในเวทนา
จิตในจิต แล้วก็ธรรมในธรรม
เช้านี้ให้ลูกทุกคน
ตั้งใจฝึกใจให้หยุดนิ่ง ในขณะที่สิ่งแวดล้อมกำลังอำนวยต่อการเข้าถึงธรรมภายใน ก็ขอให้ประคับประคองใจไป
ให้ลูกทุกคนได้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว อย่างสะดวกสบาย อย่างง่ายดาย ทุกๆ คนนะลูกนะ
ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565