ชีวิตในสังสารวัฏมีภัยมาก
วันอาทิตย์ที่ ๒๓
มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๘ (๐๙.๓๐ น.)
ผู้ฟัง : สาธุชน
ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางของพระนิพพานกันทุกๆ คนนะ
ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย
ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ หลับตาพอสบายๆ คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา
อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับพอสบายๆ
ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี ให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก
จะได้ไม่ปวด ไม่เมื่อยกันนะ ขยับเนื้อขยับตัวให้ดี อย่าให้เกร็ง ทำตัวให้สบายๆ
คล้ายๆ กับเราอยู่ที่บ้าน
ปรับใจ
ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์
ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทำใจให้ว่างๆ
ว่างเปล่าจากอารมณ์เหล่านั้นจากความผูกพันในคน ในสัตว์ ในสิ่งของ ธุรกิจการงาน
บ้านช่อง ครอบครัว การศึกษาเล่าเรียน เป็นต้น ทุกเรื่องเลย ให้ปลด ให้ปล่อยให้วาง
ทำประหนึ่งว่า เราอยู่คนเดียวในโลก ไม่มีเครื่องกังวลใจอะไรเลย
ทุกสรรพสิ่งล้วนไปสู่จุดสลายทั้งสิ้น
เรามาเกิดในโลกนี้ก็ชั่วครั้งชั่วคราวประเดี๋ยวประด๋าว
เดี๋ยวมันก็จะหมดเวลากันไปแล้ว สังขารร่างกายของเราก็เสื่อมไปเรื่อยๆ ทุกวัน
อย่างที่เราไม่รู้สึกตัวกันเลย มารู้สึกตัวอีกที ต่อเมื่อความเสื่อมนั้นมันชัดเจนแล้ว
ร่างกายก็ต้องผุต้องพัง เสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายเรา
แว่นตา ปากกา แหวนเพชร ก็ต้องผุพังไปสู่จุดสลายทั้งนั้น
บ้านเรือนที่เราอาศัยก็ต้องผุพังกันไป เครื่องประดับบ้าน ทุกหนทุกแห่ง
ทุกห้องก็ต้องผุต้องพัง รถราต่างๆ ที่เราอาศัยขับไปทำงาน ไปทำธุรกิจต่างๆ
มันก็ต้องพัง อย่าว่าแต่รถราเลย ถนนหนทางที่เราใช้มันก็พัง บ้านเรือน ผู้คน พังหมดไปสู่จุดสลายหมด
ภูเขาเลากาเขาก็ไปขุดไปทำลายกันมันก็พัง แม้กระทั่งโลกที่เราอยู่นี้ สักวันมันก็ต้องไปถึงกัปวินาศด้วยดิน
ด้วยน้ำ ด้วยลม ด้วยไฟ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ต้องผุต้องพังกันไปทั้งหมด
ชีวิตในสังสารวัฏเป็นทุกข์
เรามาอยู่ชั่วคราวเท่านั้น
ร่างกายที่เราอาศัยอยู่ก็ชั่วคราว คน สัตว์ สิ่งของที่เกี่ยวข้องกันก็ชั่วคราว เพราะฉะนั้นเราก็ต้องหวนกลับมานึกถึงว่า
เรามาเกิดทำไม อะไรคือวัตถุประสงค์ของชีวิต
จากการศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งท่านเป็นผู้รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวง ท่านก็สรุปชีวิตในสังสารวัฏเอาไว้ว่า
ชีวิตในสังสารวัฏนี้มีแต่ภัยล้วนๆ ไม่มีความสุขเลย มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย แล้วการจะดำรงชีวิตให้ปลอดภัยจากอบาย
ภัยในสังสารวัฏ หรือภัยใดๆ ก็ตาม ไม่ใช่เรื่องง่าย
ชีวิตในสังสารวัฏมันมีภัย เพราะว่าทุกคนตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม
ที่นอกเหนือจากกฎของไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่เป็นอิสระ
ความไม่เป็นตัวของเราเอง ยังตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม นอกเหนือจากกฎเกณฑ์ของทางบ้านเมืองกฎหมายอะไรต่างๆ
สารพัด
กฎแห่งกรรม คือ กฎแห่งการกระทำ ทางกาย
ทางวาจา ทางใจ ไม่ว่าดีหรือชั่วล้วนมีผลทั้งสิ้น ทำดีทางกาย วาจา ใจ
ก็ย่อมได้รับผลดี ผลดีที่ทันตาเห็นก็มี ผลดีที่หลังจากละโลกไปแล้วก็มี ทำชั่วก็ย่อมได้รับผลชั่ว
ทั้งทันตาเห็นและหลังจากตายแล้วก็มี ผลดีไม่มีปัญหา แต่ถึงจะดีอย่างไรก็ชั่วคราว ถ้าหากว่า
ยังขจัดกิเลสอาสวะซึ่งเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ยังไม่หมดไปละก็ มันก็ดีชั่วคราว
แต่ผลทุกข์นี่สิ มันมีอบายรองรับ
ทุกข์ในเมืองมนุษย์มันประเดี๋ยวประด๋าว ไม่กี่สิบปี เดี๋ยวก็หมดไปแล้ว พร้อมกับกายมนุษย์
แต่ทุกข์ในอบายนั้น ในกำเนิดของสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรกด้วย มันยาวนาน
โดยเฉพาะในมหานรก ตั้ง ๘ ขุม ขุมบริวารและยมโลกรวมแล้วได้ ๔๕๖ ขุม มันนานเสียจนเรานึกไม่ถึง
คือ มันนาน ไม่ใช่เป็นแค่หมื่น แสน ล้านปีเท่านั้น แต่มันหลายๆ พันล้านปีมนุษย์
หรือหลายๆ หมื่นล้านๆ ปีมนุษย์ ยิ่งขุมลึกๆ ลงไปเท่าไรนี่ มันก็ยิ่งนาน ไม่มีเวลาว่างเว้นจากความทุกข์ทรมานอันแสนสาหัสเลย
นี่คือกฎเกณฑ์ที่เขาบังคับกันอยู่
เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านถึงสอนให้เรารู้จักเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตอย่างนี้
แล้วก็หาทางหลุดพ้นจากวัฏฏะให้ได้ หรืออย่างน้อยถ้าจะอยู่ในวัฏฏะ ก็ต้องอยู่ในระดับที่มีทุกข์น้อย
สุขมาก ต้องมีสรณะ มีที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงนั่นแหละ ชีวิตจึงจะปลอดภัยในระดับหนึ่งทีเดียว
แต่ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงนั้นเราต้องรู้
ที่พึ่งที่แท้จริง มี ๒ ระดับ
ทีนี้ จะรู้ว่าอะไรแท้จริง หรือไม่แท้จริง มันก็ต้องรู้
อะไรไม่แท้จริงด้วย
สิ่งที่ไม่ใช่พระรัตนตรัย สิ่งนั้นไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริง
ไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม
สิ่งที่เป็นพระรัตนตรัยเท่านั้นจึงจะเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง ซึ่งมีอยู่ ๒ ระดับ
คือ พระรัตนตรัยภายนอก กับพระรัตนตรัยภายใน
พระรัตนตรัยภายนอก เรารู้จักกันดี
มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำสอนของพระองค์ และพระสงฆ์ที่ทรงจำเอาไว้ แต่แม้แต่พระสงฆ์
ก็ยังต้องหาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ทีนี้พระรัตนตรัยที่จะเป็นที่พึ่งที่สมบูรณ์จริงๆ
แล้ว นอกเหนือจากภายนอก ก็คือ พระรัตนตรัยในตัว
พระรัตนตรัยภายใน
ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
พระรัตนตรัยในตัว ตรงนี้ไม่ค่อยจะมีใครพูดถึง
ทั้งๆ ที่มีอยู่ในตัว แล้วก็มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ก็ไม่ได้นำมาศึกษากัน ไม่ได้นำมาฝึกฝน
แล้วก็ไม่ได้นำมาสั่งสอน ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เป็นสิ่งที่เราต้องรู้จัก
ต้องเข้าถึงให้ได้ ชีวิตจึงจะปลอดภัยอย่างแท้จริง
พระรัตนตรัยภายในนี้ มีอยู่ในตัวของมวลมนุษยชาติทุกคน
ไม่ว่าจะเชื้อชาติ ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ใด มีอยู่ในตัวพระ ในตัวเณร ในตัวญาติโยม อุบาสก
อุบาสิกา สาธุชน มีอยู่ในตัวของเรานี่แหละ เป็นกายที่สวยงามมาก
กายของพุทธรัตนะ ซึ่งเป็นแก้ว เป็นเพชร แต่ความจริงใสกว่านั้น
ที่ต้องเทียบกับแก้วกับเพชร เพราะมนุษย์รู้จักแค่เพียงเท่านั้น แต่ความเป็นจริงแล้ว
มันใสเกินใส ใสกว่านั้น งามไม่มีที่ติ เพราะประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ
จะรู้จักลักษณะมหาบุรุษก็เข้าไปถึงท่านนั่นแหละ
แต่ว่าเกตุดอกบัวตูมเหมือนดอกบัวสัตตบงกชตั้งอยู่บนจอมกระหม่อม ไม่ใหญ่ไม่เล็ก กำลังสวย
จึงมีลักษณะพิเศษของมหาบุรุษ บนพระเศียร มีเส้นพระศก เส้นผมเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ
ขดเวียนเป็นทักษิณาวรรต หมุนขวาตามเข็มนาฬิกา อยู่บนพระวรกายหรือร่างกายของท่านที่สวยงาม
ในอิริยาบถเดียว คือ อิริยาบถนั่งขัดสมาธิ เจริญสมาธิภาวนา เหมือนอย่างที่แนะนำในเบื้องต้น
นี่คือ พุทธรัตนะ
เป็นกายผู้รู้ คือ พอเราเข้าไปถึงท่านแล้ว ก็รู้ว่าท่านผู้นี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้
รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวง แล้วก็รู้ว่า มีวิญญาณของพระบรมครู บรมศาสดา พร้อมที่จะนำความรู้ที่เป็นเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
เป็นสาระแก่นสารมาเปิดเผย และก็เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบาน ตื่นตัวตลอด มีชีวิตชีวา
เบิกบานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กายนี้แหละที่เรียกว่า พุทธรัตนะ
ธรรมรัตนะ ก็อยู่ในกลางท่าน
เป็นดวงใสๆ เป็นคลังแห่งความรู้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
สังฆรัตนะ
ก็คือ
พระธรรมกายที่ละเอียด ซึ่งอยู่ในกลางธรรมรัตนะที่เป็นดวงใสๆ นี่แหละ กายสังฆรัตนะ ก็เหมือนธรรมกาย แต่ละเอียดกว่า โตเท่ากัน
สามอย่างนี้แหละ เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
เพราะว่าท่านพ้นจากกฎของไตรลักษณ์และกฎแห่งกรรม รวมทั้งกฎเกณฑ์ทั้งปวงทั้งหมด
เป็นตัวของตัวเอง เป็นนิรันดร เป็นอิสระ เป็นแหล่งกำเนิดแห่งความสุข ที่แท้จริง
ทั้งหมดเลย และมีธรรมจักขุ มองเห็นได้รอบตัว ทุกทิศทุกทางในเวลาเดียวกัน มีญาณทัสสนะ
มีจักขุ มีญาณ มีปัญญา วิชชา และก็แสงสว่าง จักขุอุทปาทิ
ญาณังอุทปาทิ ปัญญาอุทปาทิ วิชชาอุทปาทิ อาโลโกอุทปาทิ จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา
แสงสว่าง รวมประชุมอยู่ในท่าน
ทั้งหมดนี้มีอยู่ในกายของเรา และชาวโลก มีหมดในมวลมนุษยชาติ
ขึ้นชื่อว่า มีมนุษย์อยู่ที่ไหนก็มีพระรัตนตรัยอยู่ตรงนั้น อยู่ในกลางตัว
นี่แหละคือ ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง สิ่งอื่นไม่ใช่ เข้าไปถึงแล้วก็จะมีความสุข อย่างไม่มีประมาณ
แบบพูดไม่ออก บอกไม่ถูก จะมีความรู้แจ้ง เห็นแจ้ง แทงตลอด จะมีกำลังใจ พลังใจไม่มีที่สิ้นสุดในการอยากจะสร้างความดี
และก็จะเอาชนะสิ่งไม่ดีได้ มีอยู่ในตัวของเรา
ถ้าเราเข้าถึงได้แล้วละก็ วิชชาจะเกิดขึ้น ปุพเพนิวาสานุสติญาณ
ระลึกชาติได้ จุตูปปาตญาณ รู้การเกิดขึ้นและดับไปของสรรพสัตว์ทั้งหลาย หรือรู้เรื่องราวเกี่ยวกับกฎแห่งกรรมได้
อาสวักขยญาณ ต้านอาสวกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ หรือความไม่รู้อะไรต่างๆ นั้น ให้หมดสิ้นไปได้
สามอย่างนี้มีอยู่ในตัวของเรา ตรงศูนย์กลางกาย
ฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมาสองนิ้วมือ อยู่ในกลางท้องของเรา
ตรงนี้
ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
พระพุทธเจ้าทรงเข้าถึง ในวันเพ็ญ
เดือน ๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ พระองค์ประทับนั่งอยู่ใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์หรือใต้ต้นโพธิ์แหละ
ตรัสรู้ที่ใต้ต้นไม้นี้ ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากทำใจให้หยุดให้นิ่ง ปล่อยวางทั้งหมด
นิ่งเฉยอย่างเดียว
เมื่อถูกส่วนเข้าก็จะตกศูนย์เข้าไป แล้วก็เห็นดวงธรรมใสบริสุทธิ์ลอยขึ้นมา
เป็นดวงกลม กลมเหมือนดวงแก้วที่เจียระไนแล้ว แต่ใสอย่างน้อยก็เหมือนน้ำใสๆ
หรือเหมือนกระจกคันฉ่องที่ส่องเงาหน้าใสๆ หรือเหมือนเพชรที่เจียระไนแล้ว หรือใสเกินใส
เกินกว่าความใสใดๆ ในโลก
กลมรอบตัว อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือเกินไปกว่านั้น แล้วแต่บารมีของแต่ละคน
ที่ไม่เท่ากัน จะปรากฏชัด ใส แจ่ม เมื่อใจเราหยุดนิ่งถูกส่วน ตกศูนย์ลงไป แล้วกายเราแวบหายไป
ความรู้สึกที่ร่างกายมันหายไป จะมีแต่ดวงใสๆ ปรากฏขึ้นมา
ธรรมดวงนี้ พระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคล
เทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ท่านเรียกว่า ดวงธัมมานุสปัสนาสติปัฏฐาน หรืออีกนัยหนึ่ง เรียกว่า
ดวงปฐมมรรค แปลว่า นี่คือจุดเริ่มต้น ในการเดินทางไปสู่อายตนนิพพาน
ในการเข้าไปถึงพระรัตนตรัยในตัว เพื่อให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะดังกล่าว
และไปสู่อายตนนิพพานได้
ธรรมดวงนี้เป็นธรรมเบื้องต้น
ที่จะทำให้เราเดินทางไปสู่อายตนนิพพานได้ถูกต้อง และปลอดภัย แถมมีชัยชนะด้วย
ธรรมดวงนี้แหละที่จะเกิดขึ้นเมื่อใจเราหยุดเรานิ่ง
แล้วก็จะเห็นไปตามลำดับ เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม
เห็นไปตามลำดับ ที่ซ้อนๆ กันอยู่ภายใน ที่ซ้อนกันอยู่ภายในกายเวทนา จิต ธรรม มีกายมนุษย์ละเอียด
ทิพย์ พรหม อรูปพรหม กายธรรมโคตรภู โสดา สกิทา อนาคา อรหัต ก็จะเข้าถึงพระธรรมกายได้
จะเห็นไปตามลำดับอย่างนี้
วิธีปฏิบัติธรรม
เบื้องต้นที่สำคัญที่สุดคือ การฝึกใจให้หยุด
ให้นิ่ง ใจจะหยุดจะนิ่งได้ก็ต่อเมื่อทิ้งเรื่องราวภายนอก เครื่องกังวลต่างๆ มาหยุดนิ่งๆ
ใจมีหลักยึดติดอยู่ภายใน ในกลางกายของเราหรือในกลางท้องของเรา ในระดับเหนือสะดือขึ้นมาสองนิ้วมือ
วิธีปฏิบัติเพื่อให้ใจหยุดนิ่ง ก็แค่ทำใจให้หยุดเฉยๆ เอามาอยู่ภายใน แล้วผูกใจไว้กับบริกรรมนิมิต
กับบริกรรมภาวนา
บริกรรมนิมิต
คือ
กำหนดเป็นดวงใสๆ อันนี้สมมติสร้างภาพขึ้นมาในใจ เป็นดวงใสๆ หรือเป็นพระแก้วใสๆ
อย่างใดอย่างหนึ่งที่เราคุ้นเคย เราถนัดอย่างไหนก็เอาอย่างนั้น ขนาดใหญ่เล็กก็แล้วแต่ใจเราชอบ
แต่ต้องนึกอย่างสบายๆ อย่าให้ตึง อย่าให้เกร็ง อย่าไปเพ่ง อย่าไปลุ้น ไปเร่ง ไปเพ่ง
ไปจ้อง แค่ค่อยๆ นึกอย่างธรรมดา เหมือนเรานึกถึงขันล้างหน้า นึกถึงดอกกุหลาบ
ดอกบัว คนที่เรารัก ของที่เรารัก ที่คุ้นเคยอะไรอย่างนั้นนะให้นึกธรรมดาอย่างนั้น
นึกเป็นดวงใสๆ หรือพระแก้วใสๆ ในกลางท้อง
นึกอย่างใดอย่างหนึ่ง เอาอย่างเดียว นึกอย่างสบายให้ต่อเนื่องกันไป อย่าเผลอเอาลูกนัยน์ตากดลงไปดู
หรือเผลอไปคิดเรื่องอื่น ให้นึกไปเรื่อยๆ ไม่ชัดก็ไม่เป็นไร หรือชัดเป็นบางส่วนก็ไม่เป็นไร
ให้ดูไปเรื่อยๆ นึกไม่ออกก็ไม่เป็นไรอีกเหมือนกัน เอาใจหยุดนิ่งๆ เบาๆ เฉยๆ
บริกรรมภาวนา พร้อมกับประกอบบริกรรมภาวนาในใจ
สัมมาอะระหัง ภาวนาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ กี่ครั้งก็ได้ จนกว่าใจเราไม่อยากจะภาวนา อยากจะหยุดยิ่งเฉยๆ
เมื่อเกิดความรู้สึกอย่างนี้ ก็ไม่ต้องย้อนกลับมาภาวนาใหม่ ให้รักษาใจหยุดนิ่งต่อไปเรื่อยๆ
ทำอย่างนี้ แค่นี้เท่านั้น ไม่ช้าเราก็จะเห็นไปตามลำดับ กระทั่งเข้าถึงพระรัตนตรัยอยู่ในตัว
ถึงพระธรรมกายในตัว
เช้านี้อากาศกำลังสดชื่น เหมาะสมสำหรับพวกเราผู้มีบุญ
ที่จะปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ก็ขอให้ลูกทุกคนได้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวอย่างสบายๆ อย่างง่ายดาย
ก็ขอให้เอาใจหยุดนิ่งๆ อย่างนี้เรื่อยไป จนกว่าจะถึงเวลาอันควร เราก็จะได้พร้อมใจกันประกอบพิธีถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน
แด่ภิกษุสามเณรผู้ประพฤติธรรมกันต่อไป ให้ทำกันไปอย่างเงียบๆ อย่างสบายๆ ใจกันทุกๆ
คนนะ
วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565