ท่านผู้รู้ภายในนิ่งสนิท
เว้นทำกิจเฉกมนุษย์ในสังสาร
กลั่นกายใจขุนพลกล้าพระนิพพาน
ให้เชี่ยวชาญในวิชชาธรรมกาย
หากคืนนี้ทำใจหยุดนิ่งเฉยเฉย
ไม่ละเลยซึ่งคำสอนคงเฉิดฉาย
พระนิพพานลงกลั่นแก้ก็ง่ายดาย
ลูกหญิงชายจะสมฝันกันทุกคน
ตะวันธรรม
คำภาวนา สัมมาอะระหัง
วันอาทิตย์ที่ ๒๒
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑
Link ไฟล์เสียงนำนั่งสมาธิใน youtube
ง่ายแต่ลึก 2 |EP.15| : คำภาวนาสัมมาอะระหัง
ตรึกนึกถึงดวงใส
คำว่า “ตรึก” ไม่ใช่แปลว่า เอาตากดลงไปดูนะ
แต่หมายถึง การนึกถึงบริกรรมนิมิตอย่างเบาๆ สบายๆ นั่นเอง
หลับตาพริ้มๆ นั่งหน้ายิ้มๆ ผ่อนคลายอย่างสบายๆ
ตรึกนึกถึงดวงใส เอาใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ ว่า สัมมาอะระหัง จะกี่ครั้งก็ได้
คำภาวนา สัมมา อะระหัง
สัมมา ย่อมาจาก อริยมรรคมีองค์ ๘
ตั้งแต่ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ
สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คือ มีความเห็นถูกต้อง คิดถูกพูดถูก ทำถูก เป็นต้น
อะระหัง แปลว่า ห่างไกลจากกิเลส หมายถึง
เมื่อเราปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นเส้นทางไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้า
มีข้อวัตรปฏิบัติเรียงไปตามลำดับ ๘ ข้อ ตั้งแต่เห็นถูก คิดถูก พูดถูก ทำถูก
ประกอบอาชีพถูก ทำความเพียรถูก ตั้งสติถูก
คือเอาใจเชื่อมโยงกับกระแสแห่งความบริสุทธิ์ภายในถูก กระทั่งเกิดสัมมาสมาธิ
สัมมาอะระหัง คือ คิดพูดทำทุกสิ่งให้ถูกต้อง
แล้วเราจะห่างไกลจากความทุกข์ทรมานของชีวิต จากความไม่บริสุทธิ์ไปสู่ความบริสุทธิ์
หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เหมือนปลาหลุดจากข้องที่ขังออกไป
ไม่ต้องกลับมาสู่ข้องนั้นอีก
เหมือนลูกไก่หลุดพ้นจากกระเปาะไข่ออกมาเป็นตัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์
เราก็จะหลุดพ้นจากภพ ๓ ไปสู่ความอิสระ เป็นตัวของตัวเอง
เป็นอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพิงพึ่งพาสิ่งใดเลย บริบูรณ์มีสุขตลอดเวลา
เป็นบรมสุข สุขอย่างยิ่ง เหมือนดวงอาทิตย์มีแสงสว่างด้วยตัวของตัวเอง
มีพลังอยู่ในตัวอย่างนั้น
ผู้ที่หลุดพ้นแล้ว ก็จะเป็นตัวของตัวเองทำนองนั้น มีความสุขด้วยตัวของตัวเอง
ไม่ต้องพึ่งพิงพึ่งพา คน สัตว์ สิ่งของ ลาภ ยศ สรรเสริญ อำนาจ วาสนา
แต่เป็นอยู่ด้วยตัวเอง แม้อยู่ตามลำพัง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม หลุดพ้นแล้ว
เป็นอิสระแล้วจากภพ ๓ จากกรอบอวิชชาที่เขาบังคับเอาไว้โดยอาสวะ ความโลภ ความโกรธ
ความหลง ใจถูกแช่อิ่มหมักดอง เหมือนผักที่ดองด้วยรสเปรี้ยว รสหวาน รสเค็ม มายาวนาน
นับภพนับชาติไม่ถ้วน จนความโลภ โกรธ หลง คุ้นเคยเป็นเนื้อเดียวกันเลย
คลุกเคล้าปนเป็นกันไปอย่างนั้น
เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ต้องอยู่ในกรอบของภพ ๓
เวียนว่ายตายเกิด ด้วยความไม่รู้ ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย
ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายชีวิต จะไปสู่เป้าหมายชีวิตได้อย่างไร เป็นต้น
ก็จะวนเวียนอยู่อย่างนั้น เวียนเกิด เวียนตาย แล้วก็มีภพภูมิรองรับ
ตกอยู่ภายใต้กฎแห่งการกระทำ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ แล้วก็มีวิบากกรรมรองรับ
มีภพภูมิรองรับ ไปตามการกระทำของตัวที่ขาดสติปัญญา
ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
แล้วชีวิตก็จะตกอยู่ภายใต้สามัญลักษณะ
กฎแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ทุกข์ทรมานตลอด ไม่เป็นตัวของตัวเองตลอดเวลาเลย แล้วก็ยังตกอยู่ใต้กฎอื่นๆ อีกมากมายก่ายกอง
ซึ่งเราจำยอมจะต้องตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เหล่านั้น โดยไม่รู้สาเหตุและต้นเหตุว่า
เป็นเพราะอะไร ทำไมเราจึงต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เช่นนี้
ความไม่รู้นี้แหละจึงทำให้เกิดการแสวงหา
กระทั่งมีผู้รู้บังเกิดขึ้น ด้วยอานุภาพแห่งการสั่งสมความบริสุทธิ์ ความดีงาม
ที่เรียกว่าบารมี ๑๐ ทัศ และ ๓๐ ทัศ
จนกระทั่งในลำดับที่ผู้ที่เขาทำให้เราตกอยู่ในกรอบวิชชานี้กันไม่อยู่
เมื่อกันไม่อยู่ เขาก็หลุดพ้นได้จากความทุกข์ทรมาน เพราะฉะนั้น สัมมาอะระหัง
นี้เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งนัก
เมื่อเรากำหนดบริกรรมนิมิต ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางดวงใส
ก็ต้องประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา สัมมาอะระหัง อย่างนี้เรื่อยไป จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง
อยากอยู่นิ่งเฉยๆ ไม่อยากจะภาวนา สัมมาอะระหัง ต่อไปแล้ว
ก็ให้รักษาใจที่หยุดนิ่งอย่างนั้น
แต่ว่าเมื่อใดใจฟุ้งไปคิดเรื่องอื่นจึงย้อนกลับมาภาวนา สัมมาอะระหัง ใหม่ประคับประคองใจกันไปอย่างนี้นะ
เช้านี้อากาศกำลังสดชื่นแจ่มใส เย็นสบาย
เหมาะสมสำหรับลูกผู้มีบุญทุกคน
จะได้ประกอบความเพียรให้ถูกวัตถุประสงค์ของการมาเกิดเป็นมนุษย์
ก็ให้ตั้งใจประคับประคองกันให้ดี ฝึกหยุด ฝึกนิ่งกันให้ดี
ให้ถูกต้องตามหลักวิชชาอย่างสบายๆ ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจ
ในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกคนต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
หลวงพ่อธัมมชโย
วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2565