อานุภาพหยุดเป็นตัวสำเร็จ
วันจันทร์ที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๕ (๑๙.๐๐ - ๒๑.๐๐ น.)
สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย
เมื่อเราบูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไป ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตัก พอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตานะจ๊ะ
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ให้ปล่อย
ให้วาง ทำใจให้ว่างๆ
คราวนี้เราก็มาสมมติว่า
ภายในร่างกายของเรา ปราศจากอวัยวะ
ไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น สมมติให้เป็นที่ โล่งๆ ว่างๆ เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง กลวงภายใน คล้ายๆ
ท่อแก้ว ท่อเพชรใสๆ
วางใจ
คราวนี้เราก็มานึกถึงคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงปู่
ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ที่ท่านสรุปคำสอนเอาไว้ว่า หยุดเป็นตัวสำเร็จ
คือ ใจของเราปกติมันไม่หยุด
มันวิ่งไปในอารมณ์ต่างๆ คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้สารพัดเรื่อง คน สัตว์
สิ่งของ ตึกรามบ้านช่อง ครอบครัว เป็นต้น มันไม่หยุด ไม่นิ่งเลย
เอาใจที่แวบไปแวบมา
มาหยุดมานิ่งที่ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ตรงนี้ เป็นที่หยุดใจอย่างถาวร
ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ หยุดอย่างเดียว
ไม่ต้องไปทำอย่างอื่นเลย
อานุภาพหยุดเป็นตัวสำเร็จ
หยุดอย่างเดียว
นี่มันน่าอัศจรรย์จริงๆ ไม่มีคำสอนไหนจะวิเศษเท่าคำว่า หยุดเป็นตัวสำเร็จ
คือ ไม่ต้องอ่าน ไม่ต้องท่องจำ ไม่ต้องขีดเขียน ไม่ต้องไปค้นคิด
เขียนก็ไม่เขียน อ่านก็ไม่ต้องอ่าน ฟังก็ไม่ต้องฟังอะไรมาก คิดก็ไม่ต้องคิด หยุดอย่างเดียว
คือ
พอหยุดถูกส่วนเข้า ร่างกายเราจะโปร่ง โล่ง เบา สบาย ตัวจะขยาย แล้วก็หายไปเลย แสงสว่าง
คือ แสงแห่งความบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นแสงแก้วจะเกิดขึ้น เรืองรองเหมือนฟ้าสางๆ แล้วก็สว่างเพิ่มขึ้น เหมือนดวงอาทิตย์ ๗ โมงเช้า
๘ โมง ๙ โมง ๑๐ โมง ๑๑ โมงถึงเที่ยง ไม่มีบ่าย ไม่มีคล้อย สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
หรือยิ่งกว่านี้ คือ ดวงอาทิตย์เที่ยงวัน
๒ ดวงบ้าง ๓ ดวงบ้าง หลายๆ ดวงบ้าง เอาความสว่างทั้งหมดมารวมกัน
แต่เป็นแสงที่เนียนตา ละมุนใจ แสงแห่งความบริสุทธิ์ของใจ ที่ปราศจากนิวรณ์ ปราศจากความหมองของใจ
ใจจะใสๆ
แล้วก็จะเห็นความใสปรากฏเกิดขึ้น
ในกลางแสงสว่างเป็นดวงใสๆ ใสเหมือนเพชร หรือยิ่งกว่านั้น ใหม่ๆ อาจจะใสเหมือนน้ำ เหมือนกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า
เหมือนแก้ว เหมือนเพชร หรือยิ่งกว่าเพชร จะใสๆ
แล้วก็จะเห็นจุดสว่างเล็กๆ เท่ากับปลายเข็มอยู่ในกลางดวงใสๆ แล้วหยุดต่อไปเรื่อยๆ
พอหยุดไปเรื่อยๆ ดวงก็สว่างขยาย ดูนะจ๊ะ ไม่ต้องไปทำอะไรเลย
เดี๋ยวก็จะเห็น
ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
แล้วก็เห็น กายในกาย
กายมนุษย์ละเอียด หน้าตาเหมือนตัวเรา ท่านหญิงเหมือนท่านหญิง
ท่านชายเหมือนท่านชาย นั่งขัดสมาธิเจริญสมาธิภาวนา
หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวเรา แล้วไม่ต้องคิดอีก ไม่ต้องพิจารณา หยุดอย่างเดิม อย่างเดียว
เดี๋ยวกายก็ขยาย เห็นดวงธรรมอีกชุดหนึ่ง
แล้วก็จะเข้าถึง กายทิพย์หยาบ กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหมหยาบ กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหมหยาบ กายอรูปพรหมละเอียด
กายธรรมโคตรภูหยาบ กายธรรมโคตรภูละเอียด
เป็นกายองค์พระ ชัด ใส แจ่ม หยุดอย่างเดียวรู้เรื่องเลย กายนี้เรียกว่า พระธรรมกาย พอหยุดก็เห็น เห็นก็รู้ ทั้งรู้ ทั้งเห็น
เป็นกายผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว
จนกระทั่งเห็นกายธรรมพระโสดาบัน
หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา
กายธรรมพระสกิทาคามี หน้าตัก
๑๐ วา สูง ๑๐ วา
กายธรรมพระอนาคามี หน้าตัก
๑๕ วา สูง ๑๕ วา
กายธรรมพระอรหัต
หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา ใส บริสุทธิ์
เห็นไปตลอดเลย เห็นไปรู้ไปด้วยหยุดอย่างเดียว
ไม่หยุดไม่สว่าง ไม่สว่างก็ไม่เห็น
ไม่เห็นก็ไม่รู้ เห็นไหมจ๊ะ มันเรียงกันอย่างนี้ เห็นเลย
เห็นถึงไหน รู้ถึงนั่น
แล้วก็เห็นกิเลสที่บังคับกายมนุษย์ แล้วก็รู้ด้วย เรียกว่าอะไร อภิชฌา
พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ ลักษณะเป็นอย่างไร
เห็นด้วย รู้ด้วย เป็นอย่างนี้ๆ ไม่ต้องไปพิจารณาอะไร ไม่ต้องไปคิดอะไรเลย
คิดก็คิดไม่ออก เพราะมันอยู่เหนือความนึกคิด หยุดอย่างเดียว
เดี๋ยวก็รู้
อันนี้เรียก โลภะ
โทสะ โมหะ ราคะ
อันนี้ กามราคานุสัย
ปฏิฆานุสัย อวิชชานุสัย
อันนี้ สักกายทิฏฐิ
วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เป็นต้น
เรื่อยไปเลย จนกระทั่งอันนี้เรียก
อวิชชา
เห็นไหมจ๊ะ ไม่ได้คิด
ไม่ได้เขียน ไม่ได้อ่าน ไม่ต้องไปพิจารณาอะไร นิ่งอย่างเดียว เห็นไปเรื่อยๆ รู้ไป
เขาถึงเรียกว่า ตรัสรู้ จนกระทั่งหลุดไปเป็นชั้นๆ เลย หลุดไปเรื่อย เห็น
ขันธ์ ๕ อายตนะ
๑๒ ธาตุ ๑๘ แต่ละอย่างมันมีอยู่อย่างนี้
ขันธ์ ๕ มีอะไรบ้าง ก็เห็นไป เห็นแล้วก็เรียกอย่างนั้นอย่างนี้ มีคุณสมบัติอย่างนี้อย่างนั้น
กระทั่ง อริยสัจ ๔ ก็พิจารณา อันนี้เห็นว่าเป็น ทุกข์ เป็นอย่างนี้ สมุทัย
เหตุให้เกิดทุกข์ ก็เป็นอย่างนี้อย่างนี้ นิโรธ เป็นอย่างนี้ มรรค
เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยเลย
หยุดเป็นตัวสำเร็จ ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์
ถอดกายออกเป็นชั้นๆ ได้เพราะหยุด จะไปนรก ไปสวรรค์ ก็หยุดอย่างเดียว หยุดนิ่งอยู่ในกลางกายธรรม
เมื่อทำเป็นวสี มีความชำนาญแล้วจะโน้มน้าวไปตรงไหนก็ได้ ไปถึงมันก็ไปเห็น เห็นมันก็รู้
ตรงนี้เรียกว่า ยมโลก มีกำแพงอย่างนี้
เป็นอย่างนั้นๆ มองตามไปเรื่อยๆ เห็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ หยุดอย่างเดียว ไม่ได้ทำอะไรเลย ไปถึงสวรรค์ชั้นนี้เป็นอย่างนี้ หยุดเข้าไป ธรรมกายละเอียดขยาย
เราจะดูภพภูมิไหนก็ตั้งภพภูมินั้นเป็นกสิณ เดินสมาบัติในนั้น ก็วืดลงไป หยุดอย่างเดียว ก็ไปรู้ไปเห็น
อ้อ นี่ ชั้นจาตุมหาราชิกา มีมหาราชทั้ง
๔ ปกครองในทิศต่างๆ เราก็มองไป
นี่ชั้นดาวดึงส์ มีท้าวสักกเทวราชจอมเทพ
ปกครอง มีวิมานเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ปราสาทเวชยันต์อย่างนั้นอย่างนี้ มีสวน มีสระ มีธรรมสภา มีอะไร
ก็หยุดอย่างเดียว หยุดต้องให้สนิท
เห็นไหมจ๊ะว่า
อานุภาพของหยุดยิ่งใหญ่มหาศาล พระเดชพระคุณหลวงปู่ของเราผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย จึงสรุปมาว่า
หยุดเป็นตัวสำเร็จ หยุดอย่างเดียวเท่านั้น
ไม่ต้องทำอะไร
เพราะฉะนั้น ตอนนี้มืดสว่างไม่ต้องไปคำนึงถึง หยุดให้เป็นเสียก่อนนะลูกนะ
ฝึกหยุดฝึกนิ่ง ฝึกทุกวัน นั่ง นอน ยืน เดิน
เราก็ฝึกไปอย่างสบายๆ
ลำบากไม่มีทางเห็น ต้องสบาย นั่งแบบเบิร์ดๆ อย่างนั้น
หน้าแบบยิ้มๆ สบายๆ ให้มัน อเลิร์ท อเลิร์ท หน่อย
มีชีวิตชีวา ใจมันหยุด มันนิ่ง ใจใส ถ้าไปนั่งทอดถอนใจ เห็นยาก ถ้านั่งแบบสบายๆ เดี๋ยวมันก็หยุดได้
อยู่เย็นเป็นสุข
ใจชอบสบายนะ เราคงได้ยินคำว่า
อยู่เย็นเป็นสุข ที่ตรงไหนเย็น
ที่ตรงไหนสบาย ที่เป็นสุข ใจชอบอยู่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำให้มันสบาย ให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น หยุดอย่างเดียว เห็นไหมจ๊ะ มันเริ่มง่ายเข้า เราเริ่มหมดความกังวลว่า จะเห็นภาพ
หรือไม่เห็นภาพก็ตาม ไม่คำนึงถึงแล้ว จะฝึกหยุดฝึกนิ่งอย่างเดียว มืดก็หยุด
สว่างก็หยุด เห็นดวงก็หยุด เห็นกายก็หยุด
เห็นองค์พระก็หยุด หยุดๆ เข้าไปเรื่อยๆ ง่ายอย่างนี้นะจ๊ะ ไม่ได้ยากจนกระทั่งมันเหลือวิสัย
แต่ก็ไม่มีทางลัดอื่นใดอยู่ดี ต้องสั่งสมหยุดกับนิ่ง ให้มีชั่วโมงหยุด
ชั่วโมงนิ่ง ชั่วโมงกลาง ให้มันเยอะๆ
ไม่ว่าเราจะทำภารกิจอะไรก็ตาม
ต้องฝึกหยุดฝึกนิ่งใจให้ใสๆ แช่มชื่น เบิกบาน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อะไรก็ตาม
ก็ต้องชุ่มชื่น เบิกบานในทุกสถานการณ์ ใจใสๆ อย่างนี้ จึงจะเป็นตัวสำเร็จ
จับหลักให้ได้นะลูกนะ
จับแล้วก็ฝึกให้ได้ด้วย ให้สม่ำเสมอ รักธรรมะให้มากๆ เพราะธรรมะจะเป็นเพื่อนตายสำหรับเรา อยู่เคียงข้างเราตลอดไป
ไม่ว่าเราจะอยู่ตามลำพัง ในป่า เขา ห้วย
หนอง คลอง บึง ไม่มีเหงา ไม่มีเศร้าสร้อย
ซึม เซ็ง เครียด เบื่อกลุ้ม ไม่มีเลย มีแต่ความสบาย ธรรมะเป็นเพื่อนตายสำหรับเรา
เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก สิ่งอื่นไม่ใช่
นั่งธรรมะสนุกกว่าดูหนังดูละคร
แล้วใครว่า นั่งธรรมะไม่สนุก
สู้ดูหนังดูละครไม่ได้ โอ้
ธรรมะสนุกกว่าดูหนังดูละครอีก พอเราหยุดใจได้ ได้ศึกษาวิชชาธรรมกายแล้ว เราก็มาเรียน วิชชา ๓ เรียน ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ดูหนังดูละครเกี่ยวกับเรื่องตัวของเราเอง
ย้อนยุคไปเลย เหมือนรีวายเทปชีวิต ดูย้อนกลับไป
ยิ่งกว่าดูหนังดูละครในจอทีวี
เราก็ดูชีวิตของเราที่ผ่านมา ซึ่งมันมีประโยชน์มาก ที่จะทำให้เราเข้าใจความจริงของชีวิต พอเข้าใจแล้ว จะเบื่อหน่ายเรื่องที่ไม่เป็นสาระ พอเบื่อหน่ายก็คลายความยึดมั่นถือมั่น พอคลาย ก็หลุดพ้นจากสิ่งที่เคยติดยึด พอหลุดพ้น จิตก็บริสุทธิ์ จิตจะบริสุทธิ์ เป็นกุศลธรรม เกลี้ยงเกลา
พอบริสุทธิ์ก็หยุดนิ่ง พอหยุดก็ดับ
พอดับก็เกิดเป็นดวง เป็นกาย เห็นไหมจ๊ะ มันเรียงกันมา ซึ่งภาษาทางวิชาการเขาใช้คำนี้ว่า
นิพพิทา วิราคะ
วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน
นิพพิทา คือ เบื่อชีวิตที่ไร้สาระ
ที่มันตรึงเอาไว้ ติดกะโหลกกะลา ให้ไปเที่ยวสนุกสนาน เพลิดเพลิน ปล่อยเวลาให้มันเปล่าประโยชน์ บางครั้งก็หัวเราะ บางครั้งก็ร้องไห้ ร้องไห้เพราะว่าลงไปในอบาย
หัวเราะเพราะว่าพ้นแล้ว เห็นแล้วมันเบื่อ
วิราคะ
ก็คลายความผูกพัน ยึดมั่น ถือมั่น ในคน ในสัตว์ ในสิ่งของ ตัวเราของเรา
เป็นต้น
วิมุตติ
ก็หลุดพ้น หลุดออกมาเลย ตอนหลุดใจจะขยาย
วิสุทธิ
จิตบริสุทธิ์เป็นกุศลธรรม เกลี้ยงเกลา ผ่องใส ใจเกลี้ยงๆ โล่งๆ สบายๆ
สันติ
คือ ใจหยุด นิ่ง สงบ ไม่มีความนึกคิดใดๆ
นิพพาน ดับไปเลย วูบ ตกศูนย์ไป เกิดมาเป็นดวงใสๆ
เห็นปฐมมรรคต้นทางที่จะไปนิพพาน เป็นดวงใสๆ
เดี๋ยวก็เห็นกายในกาย กระทั่งเข้าถึงพระธรรมกาย
แล้วก็ข้ามวัฏสงสารได้ด้วยพระธรรมกาย จับหลักให้ได้นะลูกนะ นิพพิทา วิราคะ
วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน
๖ อย่างนี้ จำให้ดี
คืนนี้ก็เช่นเคย
ใครเหนื่อย ใครง่วง ใครเพลีย ใครตึง ก็ปล่อยให้หลับในกลางอู่แห่งทะเลบุญ พอสดชื่นตื่นมาแล้วก็นั่งต่อ ทำต่อ ใครเมื่อยก็ขยับ ใครฟุ้งก็ลืมตา แล้วก็ว่ากันใหม่
ทำอย่างนี้นะลูกนะ ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจ ในการเข้าถึงพระรัตนตรัยทุกๆ คน ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะ
วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2565