ที่มาของพระพุทธรูป
วันอาทิตย์ที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ (๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น.)
สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไป ให้ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ
หลับตาค่อนลูกพอสบายๆ คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา
อย่ากดลูกนัยน์ตา
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเรา ให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น
ให้สะอาด บริสุทธิ์ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด
ให้ปล่อย ให้วาง ทำใจให้ว่างๆ
วางใจ
แล้วก็น้อมนำใจ ที่คิดแวบไปแวบมา
ในเรื่องราวอะไรต่างๆ เหล่านั้น มาหยุด นิ่งๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า หยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒
เส้น เส้นหนึ่งขึงจากสะดือทะลุไปด้านหลัง อีกเส้นหนึ่ง ขึงจากด้านขวาทะลุไปด้านซ้าย
ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม
เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ โดยสมมติเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางมาวางซ้อนกัน แล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสอง
สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่
๗
เส้นทางพระนิพพาน
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นที่พระพุทธเจ้า
พระอรหันต์ ท่านเสด็จไปสู่อายตนนิพพาน โดยมีจุดเริ่มต้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ตรงนี้ คือท่านจะเอาใจของท่านมาหยุดนิ่งๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ โดยทิ้งเรื่องราวต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับคน สัตว์ สิ่งของ ท่านปลด ปล่อย วางหมด ไม่ผูกพัน ไม่ยึดมั่น
ถือมั่นกับสิ่งใดๆ เลย ในโลกนี้หรือโลกไหน ใจท่านก็จะมาหยุดนิ่งๆ อยู่ที่ตรงนี้
พอถูกส่วนเข้า
ใจก็จะตกศูนย์เข้าไปข้างใน แล้วก็จะมีดวงธรรมลอยขึ้นมาอยู่ที่ฐานที่ ๗ อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวันหรือใหญ่กว่านั้น
ตามกำลังบารมีของแต่ละคน หรือบางทีเท่ากับฟองไข่แดงของไก่
จะขนาดไหนก็ตาม
พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านเรียก ธรรมดวงนี้ว่า ดวงธัมมานุปัสนาสติปัฏฐาน หรือดวงปฐมมรรค พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเริ่มต้นตรงนี้
ตรงดวงปฐมมรรค เริ่มต้นหยุดนิ่งเรื่อยไปเลย ในกลางดวงธรรมที่ชัดใสแจ่ม
ใจหยุดอย่างเดียว ไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้เลย
เพราะว่าใจท่านไม่ผูกพันกับอะไรแล้ว นิ่งอย่างเดียว หยุดกับนิ่งอย่างเดียว
พอถูกส่วนดวงธัมมานุปัสนาสติปัฏฐานก็ขยาย
พอขยายก็จะมีธรรมดวงใหม่เกิดขึ้นในกลางนั้น กลมรอบตัวเหมือนกัน แต่ว่าใสกว่า
สว่างกว่า เขาเรียกว่า ดวงศีล
ท่านก็หยุดอยู่ในกลางดวงศีล
ดวงศีลก็ขยายส่วนออก ก็เข้าถึง ดวงสมาธิ
กลมรอบตัวเหมือนกัน แต่ว่าใสกว่า สว่างกว่า
ท่านก็หยุดอยู่ในกลางดวงสมาธิ
พอถูกส่วนมันก็จะขยายออกไป แล้วก็เข้าถึงดวงปัญญา
เป็นดวงกลมใสๆ เกิดขึ้นแบบเดียวกัน แต่ใสกว่า สว่างกว่า
พอหยุดเข้าไปในกลางดวงปัญญา
ถูกส่วนดวงปัญญาขยายออก ก็เข้าถึงดวงวิมุตติ
กลมรอบตัวเหมือนกัน แต่ใสกว่า บริสุทธิ์กว่า สว่างกว่า
ท่านก็หยุดอยู่ในกลางดวงวิมุตติ
พอถูกส่วนดวงวิมุตติก็ขยายกว้างออกไป แล้วก็เข้าถึง ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
กลมรอบตัวเหมือนกัน แต่ใสบริสุทธิ์ สว่างกว่า
ธรรม ๖ ดวงนี้เป็นหนึ่งชุด
เป็นเครื่องกลั่นใจให้ใส ให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น และก็เชื่อมต่อระหว่างกายหนึ่งมาถึงอีกกายหนึ่ง
ขึ้นในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ พอหยุดถูกส่วนก็เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด
หน้าตาลักษณะเหมือนตัวเรา ท่านหญิงเหมือนท่านหญิง ท่านชายเหมือนท่านชาย
อยู่ในท่านั่งสมาธิ หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา
ท่านก็หยุดนิ่งเรื่อยไป
ในกลางกายมนุษย์ละเอียด ก็จะเห็นดวงธรรมอีกชุดหนึ่ง ผุดเกิดขึ้นมาในทำนองเดียวกัน
แล้วก็จะเข้าถึง กายทิพย์หยาบ ที่มันหยาบกว่ากายทิพย์ละเอียด
ถึงเรียกว่า กายทิพย์หยาบ ลักษณะกายสวยงามกว่ากายมนุษย์ละเอียด
มีเครื่องประดับติดตัว เป็นกายของสุคติภูมิ เวลาจะไปสู่สุคติโลกสวรรค์ต้องมีกายนี้
เขาใช้กายนี้ มีหยาบ มีละเอียด แต่ลักษณะกายเหมือนกัน ต่างแต่บริสุทธิ์กว่า ใสกว่า
แล้วก็เชื่อมกันด้วยดวงธรรมหนึ่งชุด ดังกล่าวนั้น
ในกลางกายทิพย์ละเอียด ก็มีธรรม ๑ ชุด
อีกชุดหนึ่ง ซึ่งเชื่อมถึง กายอรูปพรหมหยาบ
ที่มีลักษณะแตกต่างจากกายทิพย์ ก็มีเครื่องประดับที่ประณีตขึ้น สงบขึ้น
อยู่ในท่าทำสมาธิเหมือนกัน ทุกกายจะหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา
ในกลางกายรูปพรหมหยาบ
พอหยุดนิ่งถูกส่วน ก็เข้าถึงดวงธรรมอีกชุดหนึ่ง และก็เข้าถึง กายรูปพรหมละเอียด เข้าไปทำนองอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
โดยหยุดนิ่งอย่างเดียว
แล้วก็จะเข้าไปถึง กายอรูปพรหมหยาบ-ละเอียด
เข้าถึง กายธรรมโคตรภูหยาบ-ละเอียด
เข้าถึง กายธรรมโสดาบันหยาบ-ละเอียด
เข้าถึง กายธรรมพระสกิทาคามีหยาบ-ละเอียด
เข้าถึง
กายธรรมพระอนาคามีหยาบ ละเอียด
แล้วก็เข้าถึง กายธรรมพระอรหัตหยาบ-ละเอียด
กายที่เป็นเป้าหมายก็คือ กายธรรมพระอรหัตผล หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา ซึ่งเป็นกายสุดท้าย
ที่พ้นจากการบังคับบัญชาของกิเลสอาสวะ เป็นกายที่หลุดพ้น กายนี้จะสวยงามมาก
เหมือนกันตั้งแต่กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี
กายธรรมพระอรหัต
ลักษณะเหมือนกัน
ต่างแต่ขนาดหน้าตัก ความใส ความบริสุทธิ์ต่างกัน คือ กายท่านจะประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ
มีเกตุดอกบัวตูมเหมือนดอกบัวสัตตบงกฎตั้งอยู่บนจอมกระหม่อมที่เป็นลักษณะพิเศษของกายมหาบุรุษ
มีเส้นพระศก หรือเส้นผมขดเวียนเป็นทักษิณาวรรต หมุนขวาตามเข็มนาฬิกา
เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ สวยงามมากทีเดียว อยู่ในท่าทำสมาธิ
กายท่านจะบริสุทธิ์ใสเป็นแก้ว ที่เราจำลองออกมาเป็นพุทธปฏิมากร
พระพุทธรูปถอดแบบจากพระธรรมกายภายใน
เราจะเห็นว่า พระพุทธรูป
พยายามถอดแบบกายนี้ออกมา เพื่อจะบอกให้มนุษย์ทั้งหลายรู้ว่า กายนี้คือ กายตรัสรู้ธรรม
คือตัวจริงของความหมายของคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเข้าถึงกายนี้
มีลักษณะอย่างนี้ คือ เกตุดอกบัวตูม เหมือนพระพุทธรูปบางยุค ที่มีเกตุดอกบัวตูม อย่างเช่นยุคเชียงแสน
นั่นคือการถอดแบบของพระธรรมกายในตัว ซึ่งเป็นตัวพุทธรัตนะ ออกมาให้มนุษย์ผู้มีปัญญาได้รู้จักว่า
นี้คือกายตรัสรู้ธรรมที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน
แล้วเราเรียกกายนี้ว่า กายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หรือที่เรารู้จักในนามว่าพระพุทธรูป
คือ รูปลักษณะของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว ผู้พ้นแล้ว เป็นเกตุดอกบัวตูม
แต่ว่าช่างเขาไม่ได้ไปเห็น ก็จินตนาการเอาตามที่ได้ศึกษาจากตำรับตำรา
ดังนั้นพระพุทธรูปจึงมีลักษณะคล้ายๆ อย่างนี้
แต่ก็ยังไม่ได้ลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ แต่ให้รู้ว่า จำลองมาเป็นอย่างนี้
ต่อมาผู้ที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพระพุทธรูปถอดแบบออกมาจากภายในกายมนุษย์
กลับปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพระเกตุเป็นเปลวเพลิง เป็นอะไรต่ออะไร แล้วก็แปลเป็นปริศนาธรรมว่า
หมายถึง สัญญลักษณ์แห่งปัญญาอะไรต่างๆ ก็จินตนาการกันไปตามความเข้าใจ แล้วต่อมาก็มีปางนั้น
ปางนี้ เพื่อเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอะไรต่างๆ เหล่านั้นกันไป แต่ความเป็นจริงแล้วต้องเกตุดอกบัวตูม
กายเนื้อของเจ้าชายสิทธัตถะ
หรือพระสมณโคดม ท่านไม่มีเกตุดอกบัวตูม แต่มีจอมกระหม่อม ลักษณะมหาบุรุษ เพราะฉะนั้นพระพุทธรูปที่มีเกตุดอกบัวตูมตั้งอยู่บนจอมกระหม่อม
หมายเอาพระในตัวนี่แหละ พระธรรมกาย หรือตัวพุทธรัตนะ กายตรัสรู้ธรรม ผู้รู้
ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว
พระพุทธเจ้าก็หยุดนิ่งอย่างเดียว
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเดินตามรอยนี้
คือ หยุดกับนิ่งอย่างเดียว ไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ แล้วก็เห็นไปตามลำดับ
เห็นชัดยิ่งกว่าลืมตาเห็น เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต
เห็นธรรมในธรรม เห็นไปตามลำดับจนกระทั่งถึงกายธรรมอรหัตตสัมมาสัมพุทธเจ้า
คือพระธรรมกายที่มีปรากฏอยู่ในตัวพระองค์
กายธรรมนี้มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนในโลก
ทุกเชื้อชาติ ศาสนา และเผ่าพันธุ์ แต่ว่าไม่มีใครรู้ และไม่เฉลียวใจว่า มีอยู่ในตัว
ที่ไหนมีมนุษย์ ที่นั่นก็มีกายธรรม
เข้าถึงกายธรรมได้เมื่อไร
เราก็จะเปลี่ยนแปลงจากผู้ไม่รู้ มาเป็นผู้รู้
ผู้ที่ยังหลับอยู่กับกิเลสก็เป็นผู้ตื่นขึ้นมา ผู้ที่มีความทุกข์ระทมโศกเศร้าเสียใจ
ร่ำพิไรรำพันอะไรต่างๆ ก็จะเบิกบาน ใจจะขยาย จะมีความสุขมากทีเดียว
เมื่อเข้าถึงกายนี้
โชคดีที่เป็นชาวพุทธ
วันนี้เรามาวัดทุกๆ วันอาทิตย์
ในฐานะเราเป็นชาวพุทธ คือ ผู้รู้ คืออยู่ในเชื้อสาย มีสายบุญของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว
ที่เรียกว่า ชาวพุทธ
เราจึงได้มาใช้วันเวลาในการปฏิบัติธรรมเป็นพุทธบูชา คือ
มีความเคารพเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นนักเรียนที่ดี
ที่จะทำตามคำสอนของท่าน ที่เรียกว่า ปฏิบัติบูชา
เพื่อที่จะได้เข้าถึงสิ่งที่มีอยู่ในตัวของเรา เป็นพยานในการตรัสรู้ธรรม แล้วก็จะทำให้เราเป็นผู้ที่มีหลักของชีวิต
มีที่พึ่งที่ระลึกภายใน เพราะการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
ทันทีที่เข้าถึง
ทุกข์ทั้งหลายก็ดับไป ความสุขที่ไม่มีประมาณก็จะบังเกิดขึ้นกับเรา
อย่างที่หาไม่ได้จากวัตถุ หรือจากที่ไหนๆ ในโลก นอกจากในพระธรรมกายของเรา
ความสุขอันไม่มีประมาณ
ที่เกิดจากใจหยุดใจนิ่ง ในกลางพุทธรัตนะนั้นยิ่งใหญ่ไพศาลนัก แล้วเราก็จะเปลี่ยนจากผู้ไม่รู้
มาเป็นผู้รู้ รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ด้วยธรรมจักขุและญาณทัสสนะของพระธรรมกาย
ธรรมจักขุที่มีดวงตา ทำให้เห็นได้รอบตัวในเวลาเดียวกัน และก็มีญาณทัสสนะ
เห็นถึงไหนก็รู้ถึงนั่น จะน้อมไปในอดีตก็รู้เรื่องอดีต
น้อมเอามาปัจจุบันก็รู้เรื่องปัจจุบัน น้อมไปในอนาคต ก็รู้เรื่องของอนาคต กายธรรมนี่แหละเป็นหลักของชีวิตเพราะฉะนั้น
ทุกวันอาทิตย์เราก็มาปฏิบัติธรรมอย่างนี้ ถูกหลักวิชชา
ก็ให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมกันไป
เรามีบุญมากพอที่จะเข้าถึงธรรม
ถึงพระรัตนตรัยในตัว เหลือแต่ความขยัน ความเพียร แล้วก็ทำให้ถูกหลักวิชชาเท่านั้น
เราก็จะเข้าถึงได้
เมื่อเราเข้าถึงได้แล้ว เราสว่างแล้ว
เดี๋ยวโลกก็จะสว่างตามไปด้วย ด้วยการทำหน้าที่ เป็นกัลยาณมิตรของตัวเรานี่แหละ
โดยถ่ายทอดจากประสบการณ์ภายในจากใจถึงใจของผู้มีบุญที่เข้ามาใกล้ชิดของเรา
บริกรรมนิมิต
เพราะฉะนั้น อยู่ที่ความขยัน
ความเพียร และทำให้ถูกหลักวิชชา หลักวิชชาก็ไม่ได้มีอะไรยาก ก็คือฝึกใจให้หยุดให้นิ่ง
ด้วยการตรึกนึกถึงดวงใส หรือเพชรสักเม็ดหนึ่งใสๆ เอาไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ บริเวณกลางท้อง
เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เราตรึกนึกถึงเพชรเม็ดนั้น ใสๆ หรือองค์พระใสๆ
เพื่อให้ใจอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้นึกคิดอย่างนี้ ต่อเนื่องกันไป อย่าให้เผลอไปนึกเรื่องอื่น
บริกรรมภาวนา
แล้วก็ประคองใจให้หยุดนิ่ง
ด้วยบริกรรมภาวนา ภาวนาในใจ สัมมาอะระหังๆๆ ภาวนาสัมมาอะระหังไป ใจจะต้องไม่ลืมตรึกนึกถึงดวงใส
หยุดอยู่ในกลางดวงใส หรือตรึกนึกถึงพระแก้วใสๆ หยุดอยู่ในกลางพระแก้วใสๆ
อย่างใดอย่างหนึ่ง ทำอย่างนี้แค่นี้เท่านั้น
เมื่อใจหยุดนิ่งถูกส่วน
มันก็จะทิ้งคำภาวนาไป ใจเราไม่อยากจะภาวนาต่อไป อยากจะหยุด จะนิ่งอย่างเดียว
เมื่อเกิดความรู้สึกอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องย้อนกลับมาภาวนาใหม่
ให้รักษาใจหยุดนิ่งอย่างนี้ อย่างเดียวเรื่อยไป
เช้านี้อากาศกำลังสดชื่น เหมาะสมในการที่ลูกผู้มีบุญทุกคน
จะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวกันแล้ว ต่อจากนี้ไปก็ให้ประกอบความเพียรกันไป ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
นะ
วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565