การตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มีนาคม
พ.ศ. ๒๕๔๖ (๙.๓๐ - ๑๑.๐๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย
ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตานะ
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น
ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส
ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด
ปล่อย วาง ทำใจให้ว่างๆ
แล้วก็มาสมมติว่า ภายในร่างกายของเรานั้นปราศจากอวัยวะ สมมติว่าไม่มีปอด ตับ
ม้าม ไต หัวใจ
เป็นต้น ให้เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง
กลวงภายใน คล้ายๆ ท่อแก้ว
ท่อเพชร ใสๆ สมมติให้เป็นปล่อง เป็นช่อง
เป็นโพรง เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ กลวงภายใน
คล้ายๆ ท่อแก้ว ท่อเพชร
ใสๆ
พระรัตนตรัย ที่พึ่งที่แท้จริง
วันนี้ เราได้มาประชุมพร้อมกันเพื่อที่จะทำกิจอันยิ่งใหญ่ ซึ่งมีความสำคัญต่อชีวิตของเราเป็นอย่างยิ่ง คือ กิจในการที่จะแสวงหาพระรัตนตรัยในตัวของเรา ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด สิ่งอื่นไม่ใช่ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง มีพระรัตนตรัยนี่แหละเป็นที่พึ่งที่ระลึก คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และก็สังฆรัตนะ ๓ อย่างนี้เท่านั้นแหละ เป็นที่พึ่งที่ทำให้เราได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง
ได้เข้าถึงความบริสุทธิ์ภายใน ได้มีปัญญาอันบริสุทธิ์
ทำให้เราได้รู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต และพระรัตนตรัยนี้ยังเป็นที่พึ่งให้เราพ้นภัยในอบาย และภัยในวัฎสงสาร
พุทธรัตนะ ก็คือ
พระธรรมกายในตัว
ธรรมรัตนะ
ก็คือ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย
สังฆรัตนะ
ก็คือ พระธรรมกายละเอียด ที่อยู่ในกลางธรรมรัตนะ ธรรมรัตนะก็อยู่ในกลางพุทธรัตนะ
ทั้ง ๓ อย่างนี้ จะแยกจากกันไม่ได้ อยู่ภายในตัวของเรานี่แหละ
เข้าถึงท่านได้เมื่อไร ความสุขที่แท้จริงก็จะพรั่งพรูออกมาเลย เป็นความสุขที่พูดไม่ออก
บอกไม่ถูก เพราะว่ามันแตกต่างจากความสุขที่เราเคยเจอ ไม่ว่าจะเป็นความสุขที่เกิดจากอะไรก็ตาม ที่เราได้เห็น
ได้ยิน ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัส และก็ได้นึกคิด สู้ความสุขที่เข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ นี้ไม่ได้เลย นี่เป็นกิจที่เราจะต้องทำนะ เป็นงานที่แท้จริงของเรา คือ
งานหยุดงานนิ่งนี่แหละที่เข้าถึงพระรัตนตรัย
วิธีเข้าถึงที่พึ่งภายใน
วิธีที่จะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว พระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี
(สด จฺนทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ท่านได้สั่งสอนเอาไว้ว่า
จะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวนั้น จะต้องหยุดใจของเราให้ได้ ใจที่แวบไปแวบมาคิดไปในเรื่องราวต่างๆ นั้น
นำกลับมาหยุดนิ่งอยู่ภายใน ซึ่งมีทางเดินของใจทั้งหมด
๗ ฐาน
ฐานที่ ๑ อยู่ที่ปากช่องจมูก ท่านหญิงอยู่ข้างซ้าย ท่านชายอยู่ข้างขวา
ฐานที่ ๒ อยู่ที่เพลาตา ที่หัวตาตรงน้ำตาไหล ท่านหญิงอยู่ข้างซ้าย ท่านชายก็อยู่ข้างขวา
ฐานที่ ๓ อยู่ที่กลางกั๊กศีรษะ ในระดับเดียวกับหัวตาของเรา
ฐานที่ ๔ อยู่ที่เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก
ฐานที่ ๕ อยู่ที่ปากช่องคอ เหนือลูกกระเดือก
ฐานที่ ๖ อยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับเดียวกับสะดือ
โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่งให้เส้นด้ายทั้ง
๒ ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็มตรงนี้แหละเรียกว่า ศูนย์กลางกาย ฐานที่ ๖ ถูกกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์หยาบ
ใสบริสุทธิ์ โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่
ธรรมดวงนี้สำคัญมาก ถ้าเราไม่มีธรรมดวงนี้ เรามาเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้ ธรรมดวงนี้ ถ้าผ่องใส ไม่เศร้าหมอง ชีวิตก็รุ่งเรือง ถ้าหากว่าเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ชีวิตก็ร่วงโรย ถ้าธรรมดวงนี้ดับ ชีวิตของเราก็จะดับไปด้วย
ดวงธรรมนี้สำคัญนะ และเป็นเครื่องยืนยันว่า ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติธรรมะกันอย่างจริงจัง สม่ำเสมอ
ถูกหลักวิชาแล้วล่ะก็ จะต้องเข้าถึงธรรมกันอย่างแน่นอน เพราะธรรมดวงนี้มีอยู่ทุกๆ คน มีอยู่ในกลางกายของเรานี่แหละ ทุกชาติ
ทุกภาษา ทุกศาสนา ทุกเผ่าพันธุ์
มีธรรมดวงนี้ทุกคน ไม่มีเว้นเลย
ฐานที่ ๗ อยู่เหนือจากฐานที่ ๖ ขึ้นไป ๒ นิ้วมือ โดยสมมติว่า เราเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางมาวางซ้อนกัน แล้วก็นำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสอง
สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือตรงนี้ เรียกว่าฐานที่
๗ จำง่าย ๆ ว่าอยู่ในกลางท้องในระดับที่เหนือจากฐานที่
๖ ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือเหนือจากสะดือขึ้นมา ๒
นิ้วมือ อยู่กลางกาย
ทุกฐานนั้นสำคัญมาก เป็นทางไปเกิดมาเกิดของสัตว์โลกและตัวเราด้วย แต่ฐานที่ ๗ สำคัญที่สุด เพราะเป็นที่เกิด ที่ดับ
ที่หลับ ที่ตื่น และที่สำคัญก็คือ เป็นที่สิงสถิตของพระรัตนตรัยดังกล่าว ของพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ
และสังฆรัตนะ
ทำไมต้องนึกนิมิต
วิธีที่จะเข้าถึงพระรัตนตรัยนั้น
เราจะต้องเอาใจของเรา มาหยุดมานิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ถ้าเรามีความมั่นใจว่า เราจะหยุดตรงนี้ได้ ใจไม่ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น
เราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปนึกถึงภาพอะไรให้มาเป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา แต่ถ้าหากเราไม่มั่นใจ หรือยังไม่แน่ใจ ท่านให้กำหนดนิมิตขึ้นมาให้เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเราที่ฐานที่
๗ ตรงนี้
ซึ่งได้แนะนำกันมาอย่างต่อเนื่องว่า
ให้จำภาพองค์พระที่นั่งเจริญสมาธิภาวนาอยู่ในกลางดวงแก้ว ซึ่งได้ปรากฏอยู่บนจอทีวี ให้จำภาพนั้นเอาไว้ให้ดี และก็น้อมมาตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นบริกรรมนิมิต ที่ยึด ที่เกาะของใจเรา
แต่บริกรรมนิมิตที่เป็นองค์พระนี้ ยังไม่ใช่พระรัตนตรัยภายในตัวจริงนะ เป็นแค่บริกรรมนิมิตที่ยึดที่เกาะของใจ เพื่อให้ใจหยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ จะได้ไม่แวบไปในสิ่งที่เราคุ้นเคย ในเรื่องคน
สัตว์ สิ่งของ การทำมาหากิน
การครองเรือน
การศึกษาเล่าเรียนอะไรต่างๆ เหล่านั้นเป็นต้น
ใจมันจะแวบไปอย่างนั้น เพราะมันคุ้นเคย ซึ่งที่แวบออกจากฐานที่ ๗ ตรงนี้ มันจะทำให้เราไม่เจอพระรัตนตรัย จะห่างไกลพระรัตนตรัย เมื่อห่างไกลพระรัตนตรัยก็เท่ากับว่าห่างไกลจากแหล่งแห่งความสุขที่แท้จริง
ห่างไกลจากแหล่งแห่งความบริสุทธิ์ ห่างไกลจากแหล่งแห่งความรู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวง
ในเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ห่างไกลจากที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
ใจมันจะแวบไปทางนั้น ออกไปทางตาบ้าง ทางหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ออกไปหมดทุกทิศทุกทาง ตามทวารต่างๆ
เห็นอะไรเราก็มองไปตรงนั้น ได้ยินอะไร มันก็แวบไปในเสียงนั้น ได้กลิ่นก็แวบไปทางกลิ่น ได้ลิ้มรสก็แวบไปทางรสสัมผัส หรือนึกคิดฟุ้งฝันอะไรก็แล้วแต่
มันก็แวบกันไปทางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมมารมณ์ พอแวบไปอย่างนั้นเข้า ใจมันก็ห่างจากพระรัตนตรัย
ซึ่งเป็นทุกสิ่งของชีวิต และท่านก็สิงสถิตอยู่ที่ฐานที่
๗
เพราะฉะนั้น หลักก็มีอยู่ว่า เราก็จะต้องค่อยๆ
ดึงใจออกมาจากสิ่งที่คุ้นเคย มาหยุดมานิ่งอยู่ภายในด้วยการนึกถึงบริกรรมนิมิตดังกล่าว ซึ่งบางท่านถนัดเป็นดวงแก้ว บางท่านถนัดเป็นองค์พระ
บางท่านถนัดอะไรที่นอกเหนือจากนี้ เช่น ภาพพระเดชพระคุณหลวงปู่ คุณยายเป็นต้น แต่ตอนนี้ เรามีภาพที่ปรากฏบนจอ เราจำภาพนี้ติดตาติดใจ ให้น้อมอยู่ภายใน ให้มันอยู่ในกลางตัวของเราเรื่อยๆ
แล้วเราจะเป็นมนุษย์มหัศจรรย์
เมื่อเราจำภาพองค์พระได้ ที่ท่านนั่งเจริญสมาธิภาวนาหันหน้าออกไปทางเดียวกับเรา ในกลางดวงแก้ว
ลักษณะเหมือนเรามองจากด้านบนลงไปด้านล่าง
มองท็อปวิว เห็นปลายเกตุดอกบัวตูม ที่ตั้งอยู่บนจอมกระหม่อมที่ใสๆ
เป็นเพชร แล้วก็ตั้งอยู่บนพระเศียร ซึ่งมีเส้นพระศกหรือเส้นผมขององค์พระขดเวียนเป็นทักษิณาวรรต
หมุนขวาตามเข็มนาฬิกา และตั้งอยู่บนบ่าทั้ง
สอง มีแขนทอดไปข้างหน้า มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักขององค์พระที่ใสเป็นแก้วเป็นเพชร
ขาขวาทับขาซ้าย เหมือนอย่างที่ได้แนะนำให้เรานั่งในท่านั่งที่ถูกต้องนั้น
เราก็จำไว้ให้ดี
ส่วนขนาดก็แล้วแต่เรา เราถนัดขนาดไหน เราก็เอาอย่างนั้น
เล็กก็ได้ ปานกลางก็ได้ ใหญ่ก็ได้ ให้มันพอดีๆ
กับที่ใจเราปรารถนา แล้วเราก็เอาใจมาหยุดนิ่งๆ คือ มาอยู่กับองค์พระ กลางดวงแก้ว
ภาพนี้อย่าให้คลาดจากใจเลย จำไม่ได้ เราก็ลืมตามาดูภาพที่ปรากฏบนจอ จำได้เราก็หลับตานึกไปเรื่อยๆ นึกอย่างสบายๆ
ให้ต่อเนื่องกันไป อย่าให้เผลอ
นึกได้ก็เห็นได้
นึกได้ เดี๋ยวมันก็เห็นได้ แต่ต้องค่อยๆ นึกนะ นึกเป็นต้นทางของการเห็นได้
คือ เราจำภาพ จำให้ดี จำให้ติดตาติดใจ ใหม่ๆ มันก็รัวๆ รางๆ อย่างนั้นไปก่อน ซึ่งเราต้องใจเย็นๆอย่าไปฮึดฮัด เร่งร้อน ไปบีบ
ไปเค้น ไปบังคับ เพื่อให้ใจสงบ เพื่อเค้นให้เห็นภาพ
ไม่ใช่นะจ๊ะ ผิดวิธี ใช้ระบบความจำเอา จำได้แค่ไหน เอาแค่นั้นไปก่อน
จำได้ตรงไหนก็เอาตรงนั้นไปก่อน สมมติว่าเราจำได้แค่เกตุดอกบัวตูมของท่านที่ป้อมๆ
เหมือนกับดอกบัวสัตตบงกช ส่วนอื่นเรานึกไม่ออกเลย เราก็จำภาพตรงนี้เอาไว้ แล้วก็มองไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ อย่าเผลอนะ เดี๋ยวพอถูกส่วนเข้า
ใจมันหยุดมันนิ่งก็จะเห็นไปทั้งองค์เองแหละ
ถ้าจำได้แค่พระเศียร ก็เห็นพระเศียรทั้งหมดเลย เห็นเกตุดอกบัวตูม เห็นจอมกระหม่อม เห็นพระเศียร
แต่องค์ท่านไม่เห็น เราก็มองไปเท่าที่มีให้เห็น
ดูไปเรื่อยๆ สบายๆ พอกำลังเพลินๆ
ถูกส่วนเข้า เดี๋ยววูบเห็นทั้งองค์เอง
หรืออาจจะเห็นส่วนที่มือของท่านวางซ้อนกันบนหน้าตัก ส่วนอื่นมองไม่เห็น ก็ในทำนองเดียวกัน เราก็ดูกันไปเรื่อยๆ
ไม่ต้องกวาดสายตา ดูไปให้ทั่ว ดูเท่าที่มีให้ดูนะลูกนะ
จำให้ดีนะ จะได้ทำได้ทำเป็น เดี๋ยวจะเห็นไปทั้งองค์เลย
เห็นหัวเข่า เราก็ดูแค่หัวเข่า อย่าไปรำคาญว่า เอ๊ะ ทำไมเห็นหัวเข่า แล้วทำไมไม่เห็นทั้งองค์
เอ๊ะ มันถูกหรือเปล่าน๊า กลัวจะผิดหลักวิชชา ไม่ผิดหรอก มีให้ดูแค่ไหนก็ดูกันไปแค่นั้นนะลูกนะ
บริกรรมภาวนา
หรือเราจะประคองใจด้วยคำภาวนา สัมมาอรหัง ไปด้วยก็ได้ ภาวนาไป ประคองใจไป ใจจะได้ไม่ไปฟุ้ง ไปคิดเรื่องอื่น มีแต่องค์พระอยู่ในใจ คล้ายๆ เราเกิดมา เราไม่เคยเจออะไรมาก่อนเลย เจอแต่องค์พระ
และเสียงที่เคยได้ยินก็มีแต่เสียง สัมมาอะระหัง
ได้ยินมาตั้งแต่เกิด เป็นเสียงเดียวเสียงดีเสียงเดียว
ภาวนาไปโดยไม่ต้องใช้กำลัง ถ้าใช้กำลังเขาเรียกว่า
ท่อง ถ้าภาวนามันจะเป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน
ซึ่งเป็นสำนึกลึกๆ เหมือนเสียงบทสวดมนต์ที่เราคุ้นเคย หรือเสียงเพลงที่เราคุ้น
มันจะดังออกมา สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง จะดังออกมาจากในกลางองค์พระเลย
กลางท้อง ดังออกมา เราก็เพลินทีเดียว ตาภายในก็จำภาพที่มีให้เราดูแค่ไหนก็ดูไปแค่นั้น
แถมมีเสียงประคองใจ สัมมาอะระหังไปเรื่อยๆ
เราจะภาวนาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่อยากภาวนา หรือลืมภาวนาไป
แต่ใจไม่ไปฟุ้งคิดเรื่องอื่น อาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เราก็ไม่ต้องย้อนกลับมาภาวนาใหม่ เพราะว่าใจตอนนั้นปรารถนาอยากจะดูอย่างเดียว อยากจะนิ่งอย่างเดียว เราก็นิ่งตามใจไปก่อน เดี๋ยวใจจะตามเราก็หยุด ก็นิ่งไป
ดูไป
ถูกส่วนเอง
แล้วมันจะถูกส่วนเอง ถูกส่วน ใครจะมาทำให้ถูกไม่ได้ มันต้องถูกเอง จะไปกินก๋วยเตี๋ยว กินเต้าฮวย เฉ้าก๊วยอะไร
แล้วให้ใจถูกส่วน มันก็ไม่ถูกส่วน
ถึงเวลาจะถูกส่วน มันถูกเอง จะไปบังคับแค่ไหน มันก็ไม่ถูกส่วน
จะไปบีบไปเค้นก็ไม่ได้ จะระวังตัวแค่ไหน มันก็ไม่ได้
มันต้องเพลินๆ สบายๆ
การเข้าถึงธรรมต้องสบาย
แปลกนะลูกนะ การจะเข้าถึงธรรมภายในมันต้องสบาย
จะได้โลกียทรัพย์ หรืออริยทรัพย์
ทรัพย์ภายนอกภายในเหมือนๆ กัน คือ ต้องสบายใจ พอสบาย เดี๋ยวมันก็จะชัดขึ้นมา หลักมันอยู่ตรงนี้ เป็นเคล็ดลับ
เทคนิคก็ได้ กลเม็ดก็ได้ วิธีการก็ได้
Know
How ก็ได้
จะเรียกอะไรก็แล้วแต่ ต้องทำอย่างนี้ ต้องสบาย
วันพระพุทธเจ้าบรรลุธรรม
สบายตลอดเส้นทาง
ถ้าลำบากผิดวิธีนะลูกนะ ลำบากนี่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราทำมาแล้ว บำเพ็ญทุกรกิริยา บีบเค้นตัวเอง
ทรมานตัวเองปางตายทีเดียวแหละ แล้วก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร
นอกจากความทุกข์ทรมานเสียเวลา อารมณ์ เสียหมด
วันที่พระองค์จะบรรลุมรรคผลนิพพาน ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ วันนั้นท่านสบายๆ นะลูกนะ
วันนั้นนางสุชาดาเอาอาหาร คือ ข้าวมธุปายาส ที่เตรียมอย่างดีจะเอามาบูชายันต์เทวดา เป็นอาหารที่เตรียมไว้ให้เหมาะสมสำหรับเทวดาตามความเข้าใจของตัว
คือ ปรุงอย่างประณีตกว่ามนุษย์ทั่วๆ ไป ใส่ถาดทองมาเลย มาเจอพระมหาบุรุษนั่งอยู่โคนไม้
เข้าไปน้อมถวายท่านทั้งถาดเลย ท่านแบ่งเป็น ๔๙ ก้อน ก้อนละคำ เสวยอย่างสบายอกสบายใจ
อาหารก็รสเลิศ อร่อยที่สุด เสร็จแล้วก็ไปสรงสนานพระวรกาย
ล้างเนื้อล้างตัว ล้างปาก ล้างหน้า ล้างตา ให้มันสดชื่นในแม่น้ำ กายก็สบาย ใจก็เบิกบาน เสี่ยงสัตย์อธิษฐานอีกว่า
วันนี้หากจะได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ให้ถาดทองนี้ลอยทวนกระแสน้ำที่เชียวกราก
ถาดทองก็ลอยทวนน้ำไปด้วยอานุภาพแห่งบารมีธรรมของท่านที่มารวมประชุมกันในวันนั้น
โอ้
เห็นอย่างนั้นแล้วก็ยิ่งสบายใจ กระแสน้ำเชี่ยวกรากอย่างนี้ เรือยังต้องใช้กำลังมากที่จะทวนกันไปได้ แต่ถาดไม่ต้องใช้กำลังเลย มันลอยทวนน้ำได้ เห็นแล้วปลื้ม
สบายอกสบายใจ
มานั่งสมาธิโคนต้นควงไม้พระศรีมหาโพธิ์ แม้จะมีมารมาผจญ ก็สู้กับพญามารด้วยใจที่สบาย ไม่ได้ปริวิตกว่า
มันจะยกทัพมามากแค่ไหน เฉยๆ อยู่ในบุญ นึกถึงบุญบารมี ๓๐ ทัศ ความดีที่ทำมา ไม่ได้นึกถึงกองทัพช้าง กองทัพม้า กองทัพเดินเท้า สมัยที่พระองค์เป็นรัชทายาทที่จะมาต่อสู้ ไม่ได้นึกเลย
ทำใจสบายๆ นึกถึงบุญ พอนึกถึงบุญแล้ว ใจจะสบาย นึกถึงบารมี
บุญบารมีก็ขยายออกมาเลย คลุมรอบตัว
สว่างโพลง ใจก็สบายๆ มองดูพญามารมาเล่นลิเกละคร ดูไป เพลินๆ จนกระทั่งพญามารหมดอารมณ์กลับไป เพราะทำความสะดุ้ง
หรือให้กลุ้มอกกลุ้มใจไม่ได้ก็เลย เก็บความกลุ้มไว้เสียเอง
ส่วนพระมหาบุรุษก็สบายๆ นั่งหยุดกับนิ่งไปเรื่อยๆ ถอดกายออกเป็นชั้นๆ ไปเลย
กายมนุษย์หยาบ เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด
กายมนุษย์ละเอียดเข้าถึงกายทิพย์
กายทิพย์ถึงกายพรหม
ถอดกายพรหมเข้าถึงกายอรูปพรหม
ถอดกายอรูปพรหมเข้าถึงกายธรรม
พอถึงกายธรรมพระโสดาบัน ในยามต้น เห็นเข้า อุทานเลยแหละ
ใครเห็นก็ต้องอุทาน แม้แต่พวกเราเห็นก็จะต้องอุทาน อโห พุทโธ
คล้ายๆ กับว่า อื้อหือ พระพุทธเจ้า กายผู้รู้ กายตรัสรู้ธรรม เป็นอย่างนี้ งามจริง
งามไม่มีที่ติเลย ใสยิ่งกว่าเพชร โอ้โห อโห พุทโธ ก็มองเพลิน ๆ ในกลาง ดวงธรรมรัตนะโผล่ อโห
ธัมโม ธรรมรัตนะเป็นอย่างนี้ มองไปในกลางธรรมรัตนะ ธรรมกายละเอียดผุดขึ้นมาอีกแล้ว อโห
สังโฆ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โอ๋ เป็นอย่างนี้ เบิกบาน สบาย
เห็นไหม สบายกันตั้งแต่ต้นเลย ก็ลองถอดกายได้ มันก็สบายแหละ กายก็สบาย ใจก็สบาย และยิ่งเห็นกายในกายเข้าไปอย่างนี้ มันก็ยิ่งสบายอกสบายใจ
พอถึงกายธรรมก็มองต่อไป โอ้โห พุทโธ
โอ้โห ธัมโม โอ้โห
สังโฆ มองเรื่อยไปเลย หยุดอุทานเป็นระยะๆ
ไป
กระทั่งยามสุดท้าย บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
บรรลุกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
กายโตใหญ่ทีเดียว กิเลสหมดเลย มันไม่ใช่ตัดกิเลสนะ
มันเป็นขจัดกิเลสเกลี้ยงแบบสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ คือกิเลสไม่มีหลงเหลือเลยในทุกกาย
ทั้งกายมนุษย์ กายทิพย์ พรหม อรูปพรหม กายธรรมโคตรภู
กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี กายธรรมพระอรหันตมรรค เกลี้ยงไปเลย
ไม่มีเลย
กิเลสนี้มันมีตัว มีลักษณะ ขจัดเสียเกลี้ยงเลย
ที่มันจะเอาภพ ๓ เข้ามาครอบให้ตรึงอยู่นี่ ไม่มี เห็นเลยหลุดพ้นจาก
Law Of
Gamma กฏแห่งกรรม หลุดเลยพ้นจากไตรลักษณ์ด้วย มันเห็นไตรลักษณ์ ผังไตรลักษณ์มันเป็นยังไง
ลักษณะไตรลักษณ์น่ะ มันอีกอย่างหนึ่ง ลักษณะที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แต่ผังที่เขาบังคับให้เป็นอย่างนี้
เห็นเลย หลุดด้วย หลุดยังไม่พอ
เก็บหมดเสียอีก เกลี้ยงไปเลย แวบ
ด้วยอรหัตมรรค มันแวบหายไปเลย สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ
คือ เศษอย่างเราเผาถ่าน ยังมีขี้เถ้า แต่นี้ไม่มีเศษเลย
แวบเกลี้ยงไปเลย หมดไปเลย ผังที่เอากฎแห่งกรรมมาเห็นลักษณะผังเลย อ้อ ลักษณะผังมันเป็นอย่างงี้
บังคับให้วนไปเวียนมาอยู่ในวัฏสงสาร เดี๋ยวเกิดเป็นนั่นเป็นนี่
เกิดมาแล้วก็บังคับให้สร้างกรรม แล้วก็มีวิบากเวียนกันไปเวียนกันมา เดี๋ยวก็ไปที่สูง เดี๋ยวก็ไปสุคติ เดี๋ยวก็ไปทุคติ วนกันอยู่อย่างนั้นแหละ เห็นตลอดหมด
ผังนี้บังคับมหาบุรุษไม่ได้แล้ว เพราะท่านตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว กายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าสว่างเจิดจ้าทีเดียว
สุขใสเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระมหาบุรุษ มีความสุขมาก เขาเรียกว่า วิมุติสุข คือ หลุดพ้นจากผังมาได้ ความสุขมันขยาย ไม่มีขอบเขต
ไม่มีที่แคบ
อย่างสุขด้วยกาม ผังของกามมันบังคับให้ประเดี๋ยวประด๋าว
และก็มีปัญหาตามมา มีไซด์เอฟเฟค มีผลข้างเคียง โอ้ สุขไม่จริง จะเกิดเป็นมนุษย์ชั้นสูงชั้นไหนก็แล้วแต่
ก็งั้นแหละ เป็นเทวดาก็เป็นแล้ว พรหมหรืออรูปพรหม
เว้นแต่ปัญจสุทธาวาสไม่ได้เป็น เพราะว่าพรหมชั้นนี้เป็นพระอนาคามี
นอกนั้นเป็นกันมาเยอะแยะแล้วในภพ ๓ มันมีข้อจำกัด เห็นด้วยธรรมจักขุของกายอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
กายธรรมกายนี้แหละ
เห็นไหม เกิดเป็นอะไร มันมีข้อจำกัด แล้วมันไม่เที่ยง แม้เป็นภวัคคพรหม คือ พรหมชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ สูงที่สุดในภพ ๓ อ้าว หล่นวูบไปอีกแล้ว พอหมดกำลังของเนวสัญญานาสัญญายตนะ อรูปฌานสมาบัติ
ตุ๊บ ลงไปอีกแล้ว เกิดเป็นมนุษย์ โดนกิเลสบังคับอีกให้สร้างกรรมแล้วก็มีวิบาก
อ้าว วนกันไปวนกันมา เห็นตลอดเลย
วิมุตติสุข
ทีนี้พอหลุดได้ก็เป็นอิสระ วิมุตติสุข
คือ สุขที่ไม่มีขอบเขต เพราะไม่ได้อยู่ในที่คุมขังแล้ว ขยาย เป็นสุขที่ไม่มีประมาณ
มนุษย์ไม่รู้จักหรอกสุข วิมุตติสุข
เทวดาก็ไม่รู้จัก จะไปเกิดเป็นท้าวมหาราชทั้ง ๔ ก็ไม่รู้จัก จะไปเกิดเป็นพระอินทร์ก็ไม่รู้จัก เป็นท้าวยามา
ท้าวสันตดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดีพรหม
อรูปพรหม ไม่รู้จักเลย วิมุตติสุข จะรู้จักได้นี้ต้องกายธรรมอรหัตต์ขึ้นไป อรหัตผล
ยิ่งเป็นกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โอ้ ถึงจะเข้าใจวิมุตติสุขเป็นอย่างนี้
มันสุขจริงๆ หลุดแล้ว ล่อนแล้ว เปลือกกับเนื้อไม่ติดกันเหมือนมะขามล่อนๆ เหมือนเงาะล่อนๆ เนื้อไปทาง เปลือกไปทาง ใจมันล่อนจากกิเลสที่ไม่เหลือเศษแล้ว มีแต่ความบริสุทธิ์สว่างไสว นี่แผนผังชีวิตเป็นอย่างนี้นะลูกนะ
กายมนุษย์หยาบสำคัญมาก
การปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน เราต้องทำให้ได้ เป็นกิจสำคัญที่สุดที่เกิดมาเป็นมนุษย์แต่ละชาติ
เป็นเทวดา พรหม อรูปพรหม มันทำไม่แรงเท่ากายมนุษย์ กายมนุษย์มันแรง แต่ว่านั่งแล้วมันเมื่อย มันไม่ค่อยม่วน เพราะมีเรื่องที่จะต้องให้คิด มันต้องคิด
ต้องพูด ต้องทำสารพัด แต่ว่ามันแรงกว่ากายละเอียด เหมือนปูที่มีกระดอง มันดีกว่าปูที่ไม่มีกระดอง ปูนิ่มมันสู้ปูมีกระดองไม่ได้ มันแข็งแรงนะลูกนะ
ตอนนี้เรามาเป็นกายมนุษย์แล้ว มีความพร้อม แข็งแรงทุกอย่าง เหลือแต่ความเพียรแล้วก็ทำให้ถูกหลักวิชชา
เดี๋ยวเราก็จะเข้าถึงได้
ตอนนี้เราจับหลักได้แล้วว่า ต้องหยุดกับนิ่งอย่างสบายๆ
ยิ่งสบายมันก็ยิ่งหยุด ยิ่งหยุด ยิ่งนิ่งก็ยิ่งสบาย มันเกื้อกูลกันนะลูกนะ สบายก่อน
ยิ่งสบายก็ยิ่งหยุด พอยิ่งหยุดในหยุดก็ยิ่งสบายเกื้อกูลกัน
เริ่มต้นอย่างสบายๆ
ตอนนี้เริ่มต้นอย่างสบายเลย เรื่องความทุกข์ๆ
ร้อนๆ ดีดมันออกไปเสียอย่าไปเอามาใส่ให้มันรกรุงรังในใจเรา เกิดมาเพื่อแสวงหาความสุขเท่านั้นแหละ
หาความสบายเรามานึกถึงความสบายดีกว่า ความสุขด้วยการหยุดกับนิ่งๆ ทำเฉยๆ เดี๋ยวอารมณ์สบายจะมาเอง ทำเฉยๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับความทุกข์ที่เราเคยเจอ
เครื่องกังวล ปัญหาที่เราเคยเจอนะ มนุษย์พันธุ์ต่างดาวที่พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ทำเหมือนกับเราไม่เคยเจอ ทำเหมือนกับราวผู้นิรทุกข์ ทำนิ่งๆ เฉยๆ ดูพระในตัวที่ปรากฏบนจอ จำ ดู
ให้ใจสบายๆ ดูไปเรื่อยๆ นะลูกนะ เข้าใจอย่างนี้ดีแล้ว ต่อจากนี้ไป ต่างคนต่างดูกันไปเรื่อยๆ ฝึกหยุดฝึกนิ่งให้ดีนะ
ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
เช้านี้เลยทุกๆ คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งทำกันไปเงียบๆ นะ
วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2565