เมื่อเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
วันอาทิตย์ที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๘ (๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.)
สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับใจ
- วางใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส แล้วก็หยุดใจไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเราในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
บริกรรมนิมิต
– บริกรรมภาวนา
ให้หยุดใจนิ่งๆ เบาๆ สบายๆ จะตรึกนึกถึงดวงใส เป็นเพชรใสๆ
หรือองค์พระใสๆ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรือจะวางใจหยุดนิ่งอย่างเดียวก็ได้
หยุดใจเบาๆ สบายๆ ค่อยๆ ประคองใจ ด้วยบริกรรมภาวนา สัมมาอะระหังๆๆ ประครองใจให้หยุดให้นิ่งๆ
เบาๆ สบายๆ
ถ้านึกเป็นภาพก็ให้นึกอย่างธรรมดา อย่าไปตั้งใจมากเกินไป นึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคยจะเป็นดวงใสๆ
หรือพระแก้วใสๆ ไม่ชัดเจนก็ไม่เป็นไร นึกเท่าที่เราพอจะนึกได้อย่างสบายๆ
วัตถุประสงค์ที่เราทำอย่างนี้ เราต้องการเพียงเพื่อให้ใจมันหยุดมันนิ่งได้อย่างแท้จริง
อย่างสมบูรณ์ ให้ใจเราอยู่แถวๆ ฐานที่ ๗ ให้หยุดอยู่ที่ตรงนั้น
เพราะว่าพระรัตนตรัยท่านสิงสถิตอยู่ที่ตรงนี้
ลักษณะที่พึ่งที่แท้จริง
พระรัตนตรัยภายในท่านเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของเรา
สิ่งอื่นไม่ใช่ ที่เป็นต้นหมาก รากไม้ ภูเขา เลากา มันยังมีผุมีพัง ต้นไม้ใหญ่ๆ
มนุษย์ก็ยังโค่นเอาไปทำกระดานได้ ภูเขายังถากยังขุดได้ คนสัตว์สิ่งของก็ยังไม่ใช่ที่พึ่งที่ระลึก
เพราะว่ายังมีสภาพที่เปลี่ยนแปลงได้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลาย เพราะฉะนั้นไม่ใช่ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของเรา
สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงนั้น
จะต้องมีสภาพที่คงที่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ไปสู่จุดสลาย ไม่ผุ ไม่พัง
แล้วก็เป็นแหล่งแห่งความสุข เป็นอิสระต่อการถูกบังคับบัญชาของพญามาร ของกิเลสอาสวะ
ที่เราเรียกว่า เป็นตัวตนที่แท้จริง
ที่สำคัญต้องเข้าถึงได้ สัมผัสได้ ไม่เลื่อนลอย เหมือนเทพเจ้า
หรือพระผู้เป็นเจ้าที่มนุษย์สร้างขึ้นมา สมมติขึ้นมาว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เป็นสิ่งสูงสุด เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งอะไรต่างๆ เหล่านั้น
ที่จะสามารถดลบันดาลให้เราสมปรารถนาได้ทุกสิ่ง ถ้าเรามีความเคารพเลื่อมใสเชื่อมั่น
ซึ่งมันไม่มีอยู่จริง
ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
ต้องมีอานุภาพไม่มีประมาณ เป็นแหล่งอานุภาพ
เป็นแหล่งแห่งความบริสุทธิ์
เป็นแหล่งแห่งปัญญา
ความรอบรู้ทั้งหลาย
แหล่งแห่งมหากรุณา
มีความรักและปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง
ไม่มีวันเสื่อมสลาย พ้นจากการบังคับบัญชาของพญามาร
ทุกข์จะดับไปเมื่อเข้าถึงพระภายใน
ถ้าลูกทุกคนได้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวอย่างนี้ได้แล้ว
จึงจะเข้าใจแจ่มแจ้งว่า สิ่งอื่นไม่ใช่อย่างแน่นอน ที่จะเป็นที่พึ่งที่ระลึกในยามที่เรามีความทุกข์ทรมานของชีวิต
ในยามประสบทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากคนที่รัก
ประสบในสิ่งที่ไม่เป็นที่รักหรือปรารถนาสิ่งใดไม่ได้อย่างนั้น
ความโศกเศร้า
เสียใจ คับแค้นใจ ร่ำพิไรรำพันต่างๆ จะหมดสิ้นไป เมื่อเราเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
ความทุกข์ทั้งหลายจะดับไป
เมื่อเราเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว เหมือนคบเพลิงที่เราถือทวนลม ลมที่พัดเปลวเพลิงมากระทบกายเราให้เกิดความเร่าร้อน
แล้วก็พอเจอน้ำก็จะดับไป เพราะฉะนั้นจะดับทุกข์ได้ ดับไฟที่เกิดจากโลภะ โทสะ โมหะ ราคะ
โทสะ โมหะ ดับได้เมื่อเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
ซึ่งมีอยู่หลายระดับชั้น ตั้งแต่พระรัตนตรัยระดับโคตรภูบุคคล
พระรัตนตรัยระดับพระโสดาบัน พระรัตนตรัยระดับพระสกิทาคามี พระรัตนตรัยระดับพระอนาคามี
พระรัตนตรัยระดับพระอรหันต์ พระรัตนตรัยระดับพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า มีอยู่ในตัวของเรา
ไม่เลื่อนลอย ไม่เฟ้อฝัน ไม่เหมือนชายหนุ่มฝันถึงหญิงสาว
หรือหญิงสาวฝันถึงชายหนุ่มที่ไม่เคยเห็นหน้าไม่เคยรู้จักกัน เพราะฉะนั้นเราต้องฝึกใจให้หยุดนิ่งๆ
ให้ได้ ให้เข้าถึงให้ได้ ทุกข์ทั้งหลายจึงจะดับไป
สิ่งที่ควรค่าแก่การระลึกนึกถึง
เป็นสิ่งที่ต้องระลึกนึกถึง พอระลึกนึกถึงแล้วเป็นทางมาแห่งบุญ
และความสุขอันไม่มีประมาณ เราจะอบอุ่นใจ เราจะมีความรู้สึกว่า ปลอดภัยจากอบาย และภัยในสังสารวัฏ
เมื่อเราระลึกนึกถึงพระรัตนตรัย ให้เห็นท่านชัด ใส แจ่มอยู่ตลอดเวลาที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น นั่ง นอน ยืน เดิน ก็เห็นอยู่ตลอดเวลา คือ ที่พึ่งที่ระลึก
ถ้านึกถึงแล้วก็จะมีความสุข ทุกข์ก็ดับไป
จะทำภารกิจการงานอะไรก็มีความสุข ความสุขเป็นรากฐานของความคิดที่ดี พูดดี ทำดี และความสำเร็จในชีวิต
ใจหยุดนิ่งเป็นบ่อเกิดความสุขความสำเร็จที่เราปรารถนา
เราจะแสวงหาคำตอบของชีวิตได้เมื่อใจหยุดนิ่ง จะรู้ว่าเราเกิดมาทำไม
มาจากไหน อะไรคือเป้าหมายของชีวิต และเราจะไปสู่เป้าหมายของชีวิตนั้นได้อย่างไร
ซึ่งคุณสมบัติทั้งหมดนี้มีอยู่ในพระรัตนตรัยเท่านั้น และอยู่ภายในตัวของเรา
ไม่ได้ไปอยู่นอกฟ้า ป่าหิมพานต์ หรือที่ไหน เป็นของจริงที่พิสูจน์ได้ เข้าถึงได้
ด้วยวิธีการทำใจหยุดนิ่ง
ดังนั้น ต้องหมั่นฝึกใจ ให้หยุด ให้นิ่ง ให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวให้ได้
อย่าท้อถอย อย่าประมาท ชะล่าใจ ให้ทำต่อเนื่องกันไปทุกวัน ควบคู่กับภารกิจประจำวันที่เราต้องทำมาหากิน
เพื่อให้ได้ปัจจัยมาหล่อเลี้ยงสังขารและสร้างบารมี ถ้าหากเราทำได้อย่างนี้ คำว่า ทุกข์ทรมาน
ความโศกเศร้า เสียใจ คับแค้นใจ ร่ำพิไรรำพันมันก็จะไม่มีโอกาสได้ช่องบีบบังคับเราให้เป็นไปอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ต้องหมั่นฝึกกันทุกวัน
บริหารเวลาของชีวิตให้ดี เมื่อเราเกิดมาสร้างบารมี ด้วยเวลาที่จำกัดอย่างนี้
ต้องบริหารเวลาให้เป็น ฝึกกันเอาไว้ ถ้าเราทำเป็นแล้วจะหลับตา ลืมตา จะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็จะเห็นชัด
ใส แจ่ม
เราจะหลับอย่างเป็นสุข หลับอยู่ในกลางพระรัตนตรัย
แล้วก็จะตื่นอย่างเป็นสุข ตื่นมาก็จะเห็นพระรัตนตรัยเป็นสิ่งแรก
แล้วก็จะมีชีวิตในแต่ละวันด้วยความสุข มีปีติ เพราะว่ารัตนตรัยท่านอยู่ในตัวของเรา
ใจจะวนเวียนอยู่กับกุศลธรรม
ในยามใดที่เราละจากโลกนี้ไป ท่านก็จะเป็นเพื่อนแท้ของเรา
ที่จะนำเราไปสู่สุคติโลกสวรรค์ จะอยู่เคียงข้างเราตลอดไป ใครจะมาปล้น มาจี้
มาขโมยเอาพระรัตนตรัยของเราไปไม่ได้
เราจะปิดประตูอบาย ไปสวรรค์ เป็นสุขทั้งมีชีวิตอยู่และหลังจากตายแล้ว
จะเป็นที่น่าเคารพนับถือของหมู่เทวดาทั้งหลาย
เพราะความสว่างของกระแสธารแห่งธรรมที่เกิดจากการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวจะแผ่ซ่านไปทุกทิศ
เทวดาที่มีทิพยจักษุท่านก็จะมองเห็น แล้วก็จะโจษจันต่อกันไปว่า บัดนี้สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นอีกแล้ว
เราไม่ควรจะให้คำสรรเสริญของเทวดาสิ้นสุดลงไป
ต้องมีการบังเกิดขึ้นของสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกวันทุกคืน ให้เทวดาได้ชื่นชม
เทวดาจะชื่นชมตรงนี้ได้โดยไม่ขาดเลยเมื่อเราได้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว เพราะฉะนั้นก็ต้องหมั่นฝึกนะ
พระรัตนตรัยในตัวยิ่งผ่านกาลเวลา ยิ่งสุกใส
ยิ่งสว่างไสวเพิ่มขึ้น เหมือนเพชรเหมือนพลอยที่ผ่านกาลเวลาอย่างนั้น
ส่วนกายหยาบที่เราอาศัยสร้างบารมีและทรัพย์ทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้
ทั้งมีวิญญาณครอง หรือไม่มีวิญญาณครอง ยิ่งผ่านกาลเวลาไปเท่าไร มันก็ยิ่งผุ
ยิ่งพัง ยิ่งเสื่อมสลายไป ซึ่งเราเห็นความเลื่อมสลายไปได้ทุกวันจากร่างกายของเรา
เมื่อเราส่องกระจกเราได้เห็นกายหยาบที่เราอาศัยสร้างบารมีของเรานี้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
เสื่อมสลาย ผุพังกันอยู่ทุกวัน
เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องปฏิบัติธรรมะควบคู่กันไปด้วย
อย่าให้สังขารเสื่อมไปอย่างเดียว ระหว่างที่มีการเสื่อมภายนอกของสังขาร ภายในตัวของเราต้องเจริญขึ้นด้วยความสว่างไสวของพระรัตนตรัย
เรียนรู้ความจริงของชีวิต
มีสิ่งที่เราจะต้องศึกษาเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตยังมีอีกมาก แต่ว่าเราต้องมีอุปกรณ์ในการศึกษา
ความรู้ภายในที่มีขอบเขต จะศึกษาได้ก็ด้วยพระรัตนตรัยในตัวเท่านั้น
เพราะท่านมีธรรมจักขุ เห็นได้รอบตัว ทุกทิศทุกทางในเวลาเดียวกัน และก็มีญาณทัสสนะ
เห็นถึงไหนก็รู้แจ้งถึงนั่น จะศึกษาเรื่องราวอะไรต่างๆ อีกมาก
ยังมีสิ่งที่เป็นความลับของชีวิตที่ปกปิดเรามานานอีกมาก เรื่องภพชาติ
ภพภูมิที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสเอาไว้ ภพสามก็ดี ๓๑ ภูมิก็ดี
เรายังไม่รู้แจ้ง ยังไม่เห็นแจ้ง เพราะฉะนั้นเรายังมีข้อสงสัยอยู่ในใจอีกเยอะ แต่
ความสงสัยจะสิ้นไปต่อเมื่อเราเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
พระรัตนตรัยที่มีธรรมจักขุ ญาณ ปัญญา วิชชาแล้วก็แสงสว่าง
จะทำให้ความลับเหล่านั้นถูกเปิดเผยออกมาด้วยตัวของเราเอง ความสงสัยก็จะค่อยๆ
บรรเทาไปเรื่อยๆ หายไปทีละเรื่อง สองเรื่อง สามเรื่อง ยังมีสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกมากมาย
แม้อายุเราจะยืนเป็นหมื่นปี ปฏิบัติทุกวันไม่เคยขาดเลยก็ยังไม่สิ้นสุดของความรู้ที่ไม่ซ้ำวิชชากัน
เพราะฉะนั้น ต้องรักการปฏิบัติธรรม
เพราะนี่คือกรณียกิจ เป็นงานที่แท้จริงของเรา เป็นงานหลัก นอกนั้นเป็นงานเสริม
ไปเยี่ยมหมู่ญาติที่ละโลกไปแล้วได้
บรรพบุรุษหมู่ญาติของเรา ซึ่งเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรา
เมื่อละโลกไปแล้วเราได้ขาดช่วงเป็นเวลานานที่จะสื่อสารกับท่าน
เราไม่รู้เลยว่าท่านตายแล้วไปไหน มีความเป็นอยู่อย่างไร
รู้ว่าท่านมีพระคุณต่อเราอย่างนี้ เราจะตอบแทนพระคุณท่านอย่างไรก็ยังเป็นความลับสำหรับเรา
แม้เราเป็นชาวพุทธทราบวิธีการทำบุญ และอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่านเหล่านั้นก็ตาม แต่ว่าสิบปากว่าไม่เท่ากับตาเห็น
หมู่ญาติที่ละโลกไปแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในสุคติ หรือทุคติภพก็ตาม
จะมีความปีติดีใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเราสามารถไปเยี่ยมเยียนได้ นำข่าวบุญไปบอกให้ท่านอนุโมทนาได้
ไม่ว่าท่านจะจากไปยาวนานแค่ไหนก็ตาม จะมีความปีติ
เราไม่ควรจะให้ภพชาติมาบดบังความสัมพันธ์ของเรากับหมู่ญาติเหล่านั้น
ในเมื่อเรามีความสามารถที่จะไปถึงตรงนั้นได้ ถ้าหากเราได้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
หรือพระธรรมกายในตัว
ต้องเป็นทั้งครูและเป็นนักเรียน
เป็นสิ่งที่ลูกทุกคนจะต้องสอนตัวเอง
เราต้องหัดเป็นทั้งครูและก็เป็นนักเรียนอยู่ในตัวของเรา เป็นครูสอนนักเรียนก็คือตัวเรา
ให้หมั่นขยันเพื่อตัวของเรา และผลพลอยได้ก็เกิดขึ้นกับหมู่ญาติและสรรพสัตว์ทั้งหลาย
พระศาสนาก็จะได้มีพยานในการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามีพยานในการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากเข้า
พระพุทธศาสนาก็จะมั่นคง พระพุทธศาสนามั่นคง ความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะขยาย
เป็นที่พึ่งต่อมนุษย์และเทวดาทั้งหลายได้ เพราะฉะนั้น เมื่อเราสว่าง
โลกจึงสว่างด้วย เป็นคำขวัญที่ให้ท่องจำทุกวันทุกคืน
ปล่อยวางได้
ใจก็หยุดนิ่งได้
ดังนั้น การปฏิบัติธรรมสำคัญนะ พยายามฝึกให้ดี วางใจเบาๆ ค่อยๆ
ประคับประคองใจของเราไปเรื่อยๆ
ถ้าใจเราไม่ผูกพันกับสิ่งใดมันจะหยุดนิ่งได้
ไม่ผูกพันตั้งแต่ภายนอก คน สัตว์ สิ่งของ มาถึงตัวของเราเอง คือ ไม่ผูกพันเกี่ยวกับเรื่องร่างกายกระทั่งชีวิต
คือปล่อยได้ คลายความผูกพันตัดใจได้จากสิ่งที่จะต้องผุ ต้องพังไปเป็นธรรมดา
ใจมันก็จะหยุด จะนิ่ง และจะดิ่งเข้าไปสู่ภายในเอง
ต้องฝึกหัดตัดใจอย่างนี้ทุกๆ วัน แล้วใจเราจะใส ใจเราจะบริสุทธิ์
จะสงัดจากกาม จากอกุศลธรรม และก็หยุดนิ่งได้ จะได้ดื่มด่ำความสุขที่แท้จริง ที่ไม่มีอะไรมาเทียบได้
และหาจากที่ไหนไม่ได้นอกจากหยุดกับนิ่ง เราก็จะได้สัมผัสความสุข
ไม่รู้สึกขัดสนเมื่อมีอริยทรัพย์ภายใน
เมื่อเราเกิดมาแสวงหาความสุข เราก็ควรจะต้องปฏิบัติให้เข้าถึงความสุขภายใน
ชีวิตที่ผ่านไปแต่ละวันให้ความสุขที่แท้จริงที่เกิดขึ้น ชีวิตของเราถึงจะมีคุณค่า
ปฏิบัติทุกวันก็จะมีคุณค่าเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เพิ่มเติมเข้าไปทุกวันทุกคืน แม้ทรัพย์ภายนอกน้อย
แต่ความรู้สึกว่าขัดสนนั้นไม่มี เพราะเรามีทรัพย์ภายใน จนกระทั่งเราไม่ต้องการอะไรที่นอกเหนือไปจากนี้
เมื่อเราไม่ต้องการอะไรที่นอกเหนือไปจากนี้ ความรู้สึกว่าขัดสนยากจนมันก็ไม่มี
เราจะนั่ง นอน ยืน เดินอยู่ตรงไหนก็มีความสุข เป็นอิสระ เป็นใหญ่ด้วยตัวของตัวเอง
บุคคลใดพึ่งตัวเองได้ บุคคลนั้นเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ เพราะไม่ต้องไปพึ่งพาคนอื่น
ความรู้สึกว่า เราพึ่งตัวเองได้ หมายถึงพระรัตนตรัยในตัวนั้น
เป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่กว่าการได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
ยิ่งใหญ่กว่าพระราชาที่รบชนะศึก ออกจากแว่นแคว้นที่รบชนะแล้ว ด้วยใจบันเทิงเบิกบาน
ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่นี้จะรู้จักได้ ต่อเมื่อเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
มันยิ่งใหญ่จริงๆ เราจะสงบเสงี่ยม แล้วก็สง่างามในทุกหนทุกแห่ง นั่งตรงไหน
ที่ตรงนั้นก็เป็นอริยะ จะยืน เดิน นอนตรงไหนที่ตรงนั้นก็เป็นอริยะ
อย่าท้อใจ
เพราะฉะนั้น ให้ทำความเข้าใจอย่างนี้ ในยามใดที่ท้อใจ หรือเกียจคร้านที่จะฝึกใจให้หยุดนิ่ง
นึกอย่างนี้แล้ว เราจะได้มีกำลังใจฝึกกันต่อไป
วันนี้มืด ไม่ได้แปลว่า พรุ่งนี้จะมืดต่อไป ความมืดมันก็มีเวลาจำกัดไม่เคยมีความมืด
๒๔ น. เพราะฉะนั้นก็ต้องมีวันสว่างของเราด้วยสักวันหนึ่ง
ฟุ้งวันนี้ ไม่ได้แปลว่า พรุ่งนี้เราจะไม่มีสิทธิ์ในการไม่ฟุ้ง
ไม่เห็นวันนี้ ไม่เข้าถึงธรรมวันนี้ ก็ไม่ได้แปลว่า พรุ่งนี้เราจะไม่สมหวัง
หมั่นฝึกกันไปเรื่อยๆ อย่างนี้ทุกวัน ให้ใจสบายๆ
เพราะฉะนั้น ช่วงนี้อากาศกำลังสดชื่น ทำใจให้หยุดนิ่งก่อน
และก็ตามมาระลึกนึกถึงบุญที่เราได้สั่งสมมาทั้งวัน วันนี้ตั้งแต่เช้าสวดมนต์ไหว้พระ
เจริญภาวนา บูชาข้าวพระ ถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน
กิจกรรมสำคัญภาคบ่าย
อุทิศส่วนกุศล และอธิษฐานจิตตั้งผังสำเร็จ
ภาคบ่ายก็ได้ฟังยอดกัลยาณมิตร
นำเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตมาเปิดเผยเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน
เป็นทางมาแห่งบุญของเรา
เราก็จะเอาบุญเหล่านี้อุทิศส่วนกุศลไปให้บรรพบุรุษ บุพการี
ญาติสนิทมิตรสหายและสัมพันธ์ชนที่ละจากโลกนี้ไปแล้ว กำลังต้องการความช่วยเหลือจากเรา
จะไปอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม จะสุคติ หรือทุคติ ล้วนต้องการบุญทั้งสิ้น เพราะบุญเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต
ในทุคติบุญนี้ก็จะไปช่วยตัดรอนวิบากกรรม ทุกข์มากก็จะเป็นทุกข์น้อย
ทุกข์น้อยก็จะได้พ้นทุกข์ ในสุคติภูมิ สุขน้อยก็จะได้สุขมาก
สุขมากก็มากเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
แล้วคู่กรรมคู่เวรที่เราไปเบียดเบียนเขา ในยามที่อกุศลเข้าสิงจิต
ติดข้ามภพข้ามชาติกันมานับไม่ถ้วน ก็จะได้อาศัยบุญที่เราทำกันในวันนี้อุทิศไปให้เพื่อให้เป็นอโหสิกรรมกัน
หนักเป็นเบา เบาเป็นหาย เราจะได้จากโลกนี้ไปอย่างเป็นผู้ที่ไม่เวร ไม่มีภัยแก่ใครๆ
ทั้งสิ้น ไปด้วยความเบิกบานกลับดุสิตบุรีวงบุญพิเศษ เขตบรมโพธิสัตว์
แล้วก็จะได้แบ่งบุญนี้ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิด
แก่ เจ็บ ตาย เคยเป็นหมู่ญาติของเราทั้งสิ้น ตามวงจรของวัฏฏะ ไปเกิดเป็นพ่อ แม่
ปู่ ย่า ตา ยาย หรือไม่ก็เป็นอะไรกันสักอย่างหนึ่ง
ให้ได้มีส่วนแห่งบุญที่เราได้กระทำกันในวันนี้
รวมทั้งอธิษฐานจิตตั้งเป็นผังสำเร็จที่ดีให้หนาแน่น
สำหรับชีวิตการสร้างบารมีของเรา ในภพภูมิภพชาติต่อๆ กันไป ไม่ให้บกพร่องพลาดพลั้งเหมือนๆ
ชาตินี้ ให้สมบูรณ์ ซึ่งผังดีเดิมนั้นเราก็จะทำให้มันหนาแน่นขึ้น
ผังไม่ดีเราก็จะมาเปลี่ยนผังใหม่ด้วยการอธิษฐานจิต โดยการตามระลึกนึกถึงบุญที่เรากระทำเอาไว้ด้วยดี
เพราะฉะนั้น ช่วงนี้ก็หยุดใจนิ่งๆ อย่างสบาย ปลดปล่อย วางทุกสิ่ง
ทั้งคน สัตว์ สิ่งของรวมทั้งร่างกายของเรา ชีวิตของเรา และก็หยุดนิ่งจากวิธีใด
วิธีหนึ่งที่ได้แนะนำไปแล้วให้ทำวิธีใดวิธีหนึ่งอย่างสบายๆ ต่างคน ต่างทำกันไปเงียบๆ
นะลูกนะ
วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565