ปรับที่ใจใช่ที่ภาพ/แก้กดลูกนัยน์ตา
วันเสาร์ที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๕ (๑๙.๐๐ - ๒๑.๐๐ น.)
วัดพระธรรมกาย สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย-ปรับใจ
เมื่อเราบูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ทุกคนตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะจ๊ะ
ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายๆ
กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา
อย่ากดลูกนัยน์ตานะจ๊ะ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทำใจให้ว่างๆ นะลูกนะ
ทางเดินของใจ
๗ ฐาน
คราวนี้เราก็สมมติว่า
ภายในร่างกายของเรา ปราศจากอวัยวะ ไม่มีมันสมอง ไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น
ให้สมมติว่า เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง กลวงภายใน คล้ายท่อแก้ว ท่อเพชรใสๆ
คราวนี้ เราก็มาทบทวนหลักวิชชา ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ
ภาษีเจริญ ท่านได้อบรมสั่งสอนมา เราจะต้องให้ความสำคัญตรงนี้นะจ๊ะ ท่านสอนเกี่ยวกับเรื่อง
ทางเดินของใจ ไม่ว่าจะไปเกิดหรือมาเกิด มีทั้งหมด ๗ ฐาน ต้องรู้จัก ต้องทำความคุ้นเคยเอาไว้
ฐานที่ ๑
อยู่ที่ปากช่องจมูก
ท่านหญิงข้างซ้าย ท่านชายข้างขวา
ฐานที่ ๒
อยู่ที่เพลาตา ตรงหัวตาที่น้ำตาไหล
ท่านหญิงข้างซ้าย ท่านชายข้างขวา
ฐานที่ ๓
อยู่ที่กลางกั๊กศีรษะ ในระดับเดียวกับหัวตาของเรา
ฐานที่ ๔
อยู่ที่เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก
ฐานที่ ๕
อยู่ที่ปากช่องคอ เหนือลูกกระเดือก
ฐานที่ ๖
อยู่ในกลางท้อง ระดับเดียวกับสะดือของเรา
สมมติว่า
หยิบเส้นด้าย ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง
จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายเส้นหนึ่ง
ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท
จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม ตรงนี้เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่
๖
ฐานที่
๗
สมมติว่า เอานิ้วชี้กับนิ้วกลางมาวางซ้อนกัน
แล้วก็นำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสอง
สูงขึ้นมาสองนิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่น และเป็นเส้นทางที่จะไปสู่อายตนนิพพาน
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี้ สำคัญนะลูกนะ จำให้ดีทีเดียวว่า อยู่ตรงนี้ ซึ่งจะเห็นได้ชัดต่อเมื่อใจของเราหยุดนิ่งๆ
ถูกส่วนสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อเราเริ่มต้นฝึกฝนใหม่
ใจยังหยุดไม่สนิท ก็จะยังไม่เห็นศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เพราะฉะนั้นจำง่ายๆ ว่า อยู่ตรงกลางท้อง ในตำแหน่งที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒
นิ้วมือ หรือจำง่ายๆ กว่านี้อีก ก็คืออยู่กลางท้อง
ตรงจุดที่เรามีความรู้สึกว่า สบาย จำง่ายๆ แค่นี้พอ
บริกรรมนิมิต
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้
พระเดชพระคุณหลวงปู่ วัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านสอนให้ตรึกนึกถึงดวงใสๆ
คล้ายเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิ โตเท่ากับแก้วตาของเรา
ตรึก
คือ การนึกอย่างสบายๆ ถึงดวงใส ที่กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ ใส
บริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิ โตเท่ากับแก้วตา
บริกรรมภาวนา
แล้วท่านก็ให้ประกอบบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ
พร้อมกับตรึกนึกถึงดวงใส ให้ภาวนาว่า สัมมาอะระหังๆๆ ทุกครั้งที่ภาวนา สัมมาอะระหัง ท่านก็ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใส
ภาวนาอย่างนี้เรื่อยไป กี่สิบ กี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น กี่แสนครั้งก็ได้ จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง แล้วมันก็จะทิ้งคำภาวนาไปเอง จะมีอาการที่คล้ายกับลืมภาวนา คือใจไม่ฟุ้ง หรือเกิดความรู้สึกว่าไม่อยากจะภาวนาต่อ นี่คือสิ่งที่ท่านได้แนะนำเอาไว้ เป็นหลักวิชชาซึ่งต้องจำเอาไว้นะจ๊ะ
นึกถึงสิ่งที่คุ้นเคยเป็นบริกรรมนิมิต
กับอีกวิธีหนึ่ง
ที่ท่านแนะนำนาคในโบสถ์ ซึ่งหลวงพ่อก็ได้แนะนำไปทุกวัน แต่เนื่องจากมีสมาชิกเพิ่มขึ้นทุกวัน ก็จะต้องย้ำเตือนซ้ำๆ บ่อยๆ คนไหนเคยได้ยินแล้วก็อย่าเบื่อนะลูกนะ
เพราะต้องให้โอกาสกับสมาชิกใหม่ของเรา จะได้ไปทำได้ถูกต้อง
ทำเป็นก็จะได้เห็นภาพ
อีกวิธีหนึ่ง
ท่านสอนให้นึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย
ไม่ว่าเราจะคุ้นเกี่ยวกับเรื่องอะไร เรื่องผลหมากรากไม้ เรื่องเพชรนิลจินดา ค้าขายอะไร หรือคุ้นเคยจำเจอยู่กับสิ่งใด เห็นเจนตา ท่านบอกว่าเริ่มต้นจากตรงนั้นก็ได้
เช่น จะนึกถึงซาลาเปาก็ได้ ถ้าเราค้าขายซาลาเปาไส้หวาน ไส้เค็ม
เราก็รู้อยู่ ถ้าค้าขายผลไม้ก็นึกถึงทุเรียน
นึกถึงเงาะ นึกถึงมังคุด ลองกอง มะกรูด มะนาว มะพร้าว ส้มโอ อะไรได้ทั้งนั้น
นึกอย่างสบายๆ หรือจะนึกถึงไข่มุก นึกถึงเพชรถึงพลอย
อะไรก็ได้ที่เราคุ้นเคย
หลวงปู่สอนนาค
นึกปอยผม
เหมือนอย่างท่านสอนนาคที่อยู่ในโบสถ์
ท่านก็ให้นาคนึกถึงปอยผมที่ปลงเมื่อเช้า จำให้ติดตาติดใจ นำมาตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
นาคนั่งอยู่ในท่าคุกเข่าพนมมือ ซึ่งเป็นท่าที่ไม่ถนัด แต่ก็ไม่ขัดต่อการเจริญสมาธิภาวนา พวกเรายังนั่งสบายกว่าด้วยซ้ำไป
ให้นาคนึกถึงปอยผม เอามาตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ในกลางท้อง นาคก็ไม่ได้รู้จักว่า ฐานที่ ๗
มันอยู่ตรงไหน อย่างไร เพราะว่าใจยังไม่หยุด ก็ไม่เห็น ก็สมมติว่าอยู่กลางท้อง นาคก็เลยนึกภาพปอยผมมาตั้งไว้กลางท้อง นึกใหม่ๆ มันก็ไม่ค่อยชัดหรอก มันก็ลัวๆ ลางๆ คุ่มๆ ค่ำๆ ไม่ชัด แต่ก็นึกต่อเนื่องไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ
แม้จะนั่งคุกเข่าพนมมือก็ตาม
จนกระทั่งใจมันหยุดนิ่ง ไม่แวบไปคิดเรื่องอื่น
ปอยผมที่นึกเป็นมโนภาพมันก็ชัดขึ้นมา เปลี่ยนจากการนึกเป็นการเห็นจริงๆ เหมือนซีร็อกหรือก๊อปปี้
หรือจำลองภาพปอยผมเข้าไปไว้ในกลางท้อง เห็นปอยผมเป็นสีดำ โคนชี้ไปทางไหน ปลายชี้ไปทางไหน ชัดเจนทีเดียว
ก็กราบเรียนให้ท่านทราบ ท่านก็แนะนำด้วยวิธีเดิมว่า
ให้เอาใจหยุดกับนิ่งอย่างเดียว
หยุดเรื่อยไป มองเรื่อยไปที่ปอยผมนั้น อย่าไปนึกเรื่องอื่น
ท่านบอกให้นึกอย่างสบายๆ ดูเรื่อยไป
นาคก็ทำตามคำสั่งสอนของท่าน โดยไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น
พอถูกส่วนเข้า
ปอยผมก็เปลี่ยนสี จากสีดำเป็นสีใส ใสเป็นแก้ว ใสเป็นเพชรทีเดียว แต่ก็ยังทรงรูปร่างเดิมเอาไว้ว่า โคนชี้ไปทางไหน
ปลายชี้ไปทางไหน ก็ยังทางเดิมอยู่ ก็ได้กราบเรียนให้ท่านทราบ
ท่านก็แนะนำว่า เอ้า หยุดใจต่อไปอีก
ให้นิ่งๆ ไว้นะ ทำใจเฉยๆ สบายๆ หยุดอยู่กลางปอยผมใสๆ
นาคก็ทำตามไป
พอถูกส่วนเข้าก็ตกศูนย์วูบไปเลย
ภาพปอยผมก็หายไป ตกศูนย์ไปอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๖
แล้วก็ดึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์ โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ ลอยขึ้นมาอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เห็นศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ชัดเจน ศูนย์กลางกายฐานที่
๖ ก็เห็นชัดเจนด้วย แล้วก็เห็นดวงใสๆ
โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ลอยขึ้นมาแทนที่
ใสบริสุทธิ์ทีเดียว ใสเหมือนกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า ใสเหมือนเพชร
ก็กราบเรียนให้ท่านทราบ
ท่านก็บอก เออ ดีแล้ว ต่อจากนี้ไป จะได้มอบผ้ากาสาวพัสตร์ให้ไปครอง แล้วจะได้ประกอบพิธีญัตติจตุตถกรรม
เป็นพระสงฆ์องค์หนึ่งในพระพุทธศาสนา
ให้จำปฐมมรรคนั้นเอาไว้ให้ดี ทำหยุดทำนิ่งไว้กลางดวงนั้น จะได้บรรลุวัตถุประสงค์ของการบวชในคราวนี้
คือ การทำพระนิพพานให้แจ้ง นั่นเอง จะบวชสั้นบวชยาวไม่สำคัญ แม้บวชเพียงวันเดียว
บวชหน้าไฟ ก็ยังจะต้องตั้งเป้าหมายว่า
บวชเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง อย่างนี้ถึงจะถูกวัตถุประสงค์ของการบวช
ไม่ใช่เพื่อวัตถุประสงค์อื่นใดเลย แล้วจะไปสู่พระนิพพานได้
จะทำพระนิพพานให้แจ้งได้นั้น
ต้องได้ปฐมมรรคตรงนี้เสียก่อน เห็นดวงใส โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ เกิดขึ้นตรงศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เอาใจหยุดเรื่อยไป จะเข้ากลางไปสู่ภายในได้ จะไปพบดวงธรรมในดวงธรรม พบกายในกาย กายภายในในกายภายใน แล้วก็จะพบกายธรรม ซึ่งเป็นตัวพุทธรัตนะ จะเข้าถึงธรรมรัตนะ แล้วก็สังฆรัตนะ ได้ชื่อว่า เข้าถึงพระรัตนตรัย ถึงที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง พอหยุดใจต่อไปก็จะไปสู่จุดหมายปลายทาง
คือ ทำพระนิพพานให้แจ้งได้
ท่านก็อบรมสั่งสอนอย่างนี้ ซึ่งนาคเมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม
แล้วในที่สุดก็ได้บรรลุธรรมกาย ได้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
บวชสองชั้น ข้างนอกแบบญัตติจตุตถกรรม ข้างในแบบติสรณคมนูปสัมปทา เข้าถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอยู่ภายใน มีความสุขมาก
ต้องให้โอกาสตัวเอง
ลูกหลวงพ่อทุกคนก็เช่นเดียวกัน มีบุญบารมีที่สั่งสมอบรมมาอย่างดีแล้ว ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์
ใสบริสุทธิ์ โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ก็มีอยู่ วิธีการปฏิบัติ และผู้สอนก็ยังมีอยู่
ถ้าหากให้โอกาสกับตัวเองปฏิบัติธรรมแล้ว ทำให้ถูกวิธี ให้สม่ำเสมอ ต้องเข้าถึงอย่างแน่นอน
และจะฝันในฝันเป็นในที่สุด
เพราะฉะนั้น จะต้องรู้ว่า เรามีบุญ
เรามีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมแล้ว มีทั้งดวงธรรม มีทั้งวิธีการ มีทั้งผู้สอน
กัลยาณมิตร แล้วหลวงพ่อก็อยู่ทั้งคน ก็จะช่วยประคับประคองกันไป ขอให้ให้โอกาสแก่ตัวเองเท่านั้น
ก็จะเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย
แก้กดลูกนัยน์ตา
ทีนี้บางท่านพอนึกถึงนิมิตแล้ว
อดที่จะไปลุ้น ไปเร่ง ไปเพ่ง ไปจ้องด้วยอาการกดลูกนัยน์ตามองลงไปในท้องไม่ได้ ปฏิบัติเมื่อใดก็เป็นอย่างนั้นทุกที
เป็นเดือน เป็นปี เป็นหลายปีมาแล้ว นั่งไม่ได้ผล
จนเกิดความรู้สึกท้อ
อย่าเพิ่งท้อนะลูกนะ
เปลี่ยนวิธีใหม่ เมื่อเรานึกนิมิตแล้ว มันตึง มันมึน ไม่มีความสุข ก็ใช้อีกวิธีหนึ่ง
คือ ไม่ต้องไปนึกถึงนิมิต วางใจของเราให้หยุดนิ่งอยู่ที่กลางท้อง ในตำแหน่งที่เรามั่นใจว่า
เป็นศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ก็ได้ วางเฉยๆ นิ่งๆ จะบริกรรมภาวนา สัมมาอะระหัง
เป็นเพื่อนด้วยก็ได้ หรือจะไม่ภาวนาก็ไม่เป็นไร ไม่ผิดวิธีนะลูกนะ
หรือเมื่อเอาใจมาตั้งไว้กลางกาย
มันก็อดกังวลไม่ได้ อดควานหาศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ไม่ได้ พยายามแก้ไขก็ไม่สำเร็จสักที
เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี เป็นหลายปีมาแล้ว ก็เอาอย่างนี้นะลูกนะ
ถ้าหากเรานึกว่า
ศูนย์กลางกายอยู่ในตัวเรา แล้วมันตึง เปลี่ยนใหม่ นึกว่าตัวเราไปอยู่ในศูนย์กลางกายที่ขยายแล้ว
โตเต็มห้อง โตเต็มสภา โตไปสุดขอบฟ้า ศูนย์กลางกายขยายไปแล้ว กายของเราเป็นองค์พระที่ใสเป็นเพชร
ใสเป็นแก้ว นั่งนิ่งๆ อยู่
ใจนิ่งตรงไหนก็ได้ ที่เรารู้สึกสบาย
อาจจะเป็นฐานที่ ๑ ก็ได้ ฐานที่ ๒ ก็ได้ ฐานที่ ๓, ๔, ๕, ๖, ๗ ก็ได้ ตรงไหนสบาย เราก็เอาใจไปไว้ตรงนั้น แล้วก็สมมติว่า
เรานั่งอยู่ตรงกลางศูนย์กลางกาย เป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่งและสรรพสัตว์ทั้งหลาย อย่างนี้ก็ได้นะลูกนะ
และพอเรานั่งไปแล้ว
มันเกิดง่วงขึ้นมา คือ สังขารของเรามันไม่ไหว
แต่ใจเราสู้ แต่ฝืนไม่ได้ ก็อย่าไปฝืนมัน ปล่อยให้มันหลับไปเลย แต่หลับอยู่ในศูนย์กลางกาย
ไม่ว่าจะภายในตัวหรือตัวเราอยู่ภายในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ก็ได้ หลับไปนิ่งๆ นุ่มๆ ละมุนละไม สบายๆ อย่างนี้ก็ได้นะลูกนะ
แต่พอเรารู้สึกสดชื่น
ตื่นขึ้นมาก็เริ่มต้นใหม่อย่างง่ายๆ ถ้าเมื่อยก็ขยับ อย่าไปฝืนอิริยาบถ แต่ว่าต้องค่อยๆ ขยับ อย่าให้ไปกระทบกระเทือนคนข้างๆ เขา หรือเมื่อยมากกว่านั้น
จะลุกไปเดินเหินก็ได้ ไปบิดเนื้อบิดตัว
ยืดเนื้อยืดตัว พอสดชื่นดีแล้ว กลับมานั่งใหม่
มาเริ่มต้นใหม่
ถ้าฟุ้งก็ภาวนา
สัมมาอะระหัง แต่ภาวนาแล้ว สู้มันไม่ไหว ก็ให้ลืมตาขึ้นมาเลย มาดูรูปคุณยาย
มาดูรูปภาพพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ มาดูดวงแก้ว หรือมาดูองค์พระก็ได้ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ
เดี๋ยวเราก็เห็นดวง เห็นกายภายใน เห็นองค์พระใสๆ
ปรับที่ใจอย่าไปปรับที่ภาพ
ทีนี้ วันนี้มีมาเพิ่มอีกนิดหนึ่ง
คือ บางคนเห็นดวงใส เห็นองค์พระ แล้วก็เห็นกายภายใน บางคนเห็นอย่างนี้เหมือนกัน แต่มันไม่ค่อยชัด ไม่ค่อยใส
ไม่ค่อยสว่าง แล้วก็เข้ากลางไม่ค่อยได้ ก็ให้ใช้วิธีอย่างนี้ จำให้ดีนะลูกนะ
ปรับที่ใจ
อย่าไปปรับที่ภาพ คือ ฝึกใจ ปรับที่ใจให้มันหยุด ให้มันนิ่งๆ พอใจเราหยุดนิ่งถูกส่วนเข้า
เดี๋ยวมันก็ชัด มันก็ใส มันก็สว่างไปเอง ปรับที่ใจ ไม่ใช่ปรับที่ภาพนะลูกนะ แม้มืดก็ปรับที่ใจ
ไม่ต้องไปนึกอะไร
ปรับที่ใจให้นิ่งๆ
เดี๋ยวก็สว่างเอง แม้สว่างแล้ว ก็ปรับใจที่นิ่งๆ
เดี๋ยวก็จะเห็นแหล่งกำเนิดของแสงสว่างเอง
เมื่อเห็นแหล่งกำเนิดของแสงสว่าง
ก็ปรับที่ใจอยู่กลางดวงนั้นต่อไปอีก เดี๋ยวก็เห็นดวงธรรมในดวงธรรม
ปรับที่ใจไปอีก
ในกลางดวงธรรม เดี๋ยวก็เห็นกายในกาย
ปรับที่ใจต่อไปอีก
เดี๋ยวก็เห็นองค์พระ
ปรับที่ใจให้หยุดนิ่งกลางองค์พระ
เดี๋ยวก็เห็นองค์พระในองค์พระต่อๆๆ กันไปอย่างนี้
ปรับที่ใจ
ไม่ใช่ปรับที่ภาพ อย่าลืมนะจ๊ะ
เข้าใจอย่างนี้ดีแล้ว ต่อจากนี้ไป ปรับใจของตัวเรา
ให้หยุด นิ่งๆ นุ่มๆ ละมุนละไม อย่างสบายๆ
พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญและคุณยายอาจารย์ ท่านจะได้ลงมาแก้ไข
กลั่นจิตกลั่นใจของเราให้ใส สะอาด บริสุทธิ์ หยุด นิ่ง ดิ่งเข้าไปสู่ภายใน ให้ลูกทุกคนได้เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้
เพราะฉะนั้นต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะลูกนะ
อธิษฐานจิต
คราวนี้เราก็นึกถึงบุญที่เกิดจากธรรมปฏิบัติในคืนนี้
ซึ่งมีอานิสงส์มาก ยิ่งใหญ่ไพศาล ให้ดลบันดาล ให้กายวาจาใจของเราให้สะอาด
ให้บริสุทธิ์ หลุดพ้นจากวิบัติ บาปศักดิ์สิทธิ์
วิบากกรรม วิบากมาร อุปสรรคต่างๆ นานาในชีวิต ทุกข์โศก โรคภัย สิ่งที่ไม่ดี ให้ละลายหายสูญไปให้หมด
ให้สมบูรณ์ไปด้วยสมบัติอัศจรรย์
ทันใช้สร้างบารมีในชาตินี้ ให้สมบัติไหลมาเทมาทั้งวันทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับทั้งตื่น ทั้งนั่งนอนยืนเดิน
ให้หมดหนี้สิน เหลือกินเหลือใช้ เหลือไว้สร้างบารมี จะประกอบธุรกิจการงานอันใด ก็ให้ประสบความสำเร็จเป็นอัศจรรย์
ถ้าทำมาค้าขาย
ก็ให้ซื้อง่าย ขายคล่อง กำไรงาม เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ถ้าทำงานส่วนตัว ทำงานเอกชน
ทำงานรับราชการ ก็ให้มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ถ้าศึกษาเล่าเรียน ก็ขอให้เป็นบัณฑิต
เป็นนักปราชญ์ แทงตลอดในศาสตร์ความรู้ครูบาอาจารย์ที่ได้สั่งสอน ถ้าครองเรือนก็ให้ครอบครัวอยู่เป็นสุข เป็นครอบครัวแก้ว ครอบครัวธรรมกาย ครอบครัวตัวอย่างของโลก
ให้เป็นที่รักของมนุษย์ ของเทวดาทั้งหลาย
ให้สุขภาพพลานามัยแข็งแรง อย่าเจ็บ อย่าป่วย อย่าไข้ อายุขัยยืนยาวเป็นร้อยปี เหมือนนางมหาอุบาสิกาวิสาขา
จะประพฤติปฏิบัติธรรมก็ให้รู้แจ้ง เห็นแจ้ง แทงตลอดในวิชชาธรรมกาย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ธรรมอันใด ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ
และคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ได้บรรลุ ขอจงบรรลุธรรมนั้น
จะไปทำหน้าที่ผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตร
ก็ให้วาจามีฤทธิ์ มีเดช มีความศักดิ์สิทธิ์ พูดจาให้ชนะใจ ถูกอกถูกใจ
ถูกพระทัยมนุษย์ทุกคน ใครได้ยินได้ฟังให้เกิดความปีติเลื่อมใสในพระรัตนตรัย
และมาสร้างบารมีร่วมกันกับพวกเรา
อัคคีภัย โจรภัย ราชภัย
ภัยทุกชนิดอย่าได้มากล้ำกราย ให้พบปะแต่สิ่งที่ดีงาม ที่จะนำชีวิตไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง
ที่เป็นบรรพชิต
ก็ขอให้รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอด ในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ
ปฏิเวธ จะไปเทศนาสั่งสอนบุคคลใดก็ตาม ให้แสดงธรรมไพเราะ เบื้องต้น ท่ามกลาง
เบื้องปลาย ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ทั้งอรรถและพยัญชนะ ใครได้ยินได้ฟังธรรม ก็ให้มีความรู้สึกปีติเลื่อมใส
ขนพองสยองเกล้า ให้ดีอกดีใจ บรรลุธรรมาพิสมัยกันทุกคน ให้มีกำลังใจไม่มีวันสิ้นสุด
สร้างบารมีให้ได้ตลอดรอดฝั่ง อย่าได้มีอุปสรรคอันใดมาขัดขวาง ให้การสร้างบารมี
ครึ่งๆ กลางๆ ให้บวชให้ได้ตลอดชีวิต อุทิศให้แก่พระบรมศาสดา ความปรารถนาอันใดก็ตาม
ที่ตั้งใจเอาไว้อย่างดี ก็ให้สมปรารถนา
อุทิศส่วนกุศล
ขอบุญนี้จงสำเร็จสัมฤทธิผลส่งไปถึงบรรพบุรุษ
หมู่ญาติ บุพการี ญาติสนิท มิตรสหาย สัมพันธชน ที่ละโลกไปแล้ว จะไปอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม
ขออานุภาพแห่งพระธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ
และคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ได้นำบุญที่เกิดจากธรรมปฏิบัติในคืนนี้ไปให้แก่หมู่ญาติ
ที่มีทุกข์มากก็ขอให้ทุกข์น้อย ที่มีทุกข์น้อยก็ขอให้พ้นทุกข์ ที่มีสุขน้อยก็ให้สุขมาก ที่มีสุขมากแล้วก็ขอให้มากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
ให้นำบุญนี้ไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ
ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ใน ๓๑ ภูมิ ในกำเนิดทั้ง ๔ ในกามภพ รูปภพ
อรูปภพ ตลอดแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล ที่มีทุกข์มากก็ให้ทุกข์น้อย ที่มีทุกข์น้อยก็ให้พ้นทุกข์
ที่มีสุขน้อยก็ให้มีสุขมาก ที่มีสุขมากแล้วก็ให้มากขึ้นไปเรื่อยๆ
เราก็นึกถึงบุญกันอย่างนี้นะจ๊ะ
โชคดีที่เกิดเป็นชาวพุทธ
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สำคัญมาก
เพราะว่ามีการเชื่อมโยงกันระหว่างผู้มีชีวิตอยู่กับผู้ที่ละโลกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษของเรา
ปู่ย่า ตายาย ลุงป้า น้าอา พ่อแม่ พี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหายของเราก็ตาม ละโลกไปแล้ว
จะอยู่ในภพภูมิไหนก็ตาม เราสามารถที่จะเชื่อมโยงได้ด้วยกระแสธารแห่งบุญ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทรงสอนเอาไว้ว่า
เมื่อทำทักษิณาทานในทักขิไณยบุคคล
ย่อมมีอานิสงส์ไม่มีประมาณ
แล้วก็ให้นึกถึงบุญนี้ ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล หรือภาวนา ตั้งจิตให้แน่วแน่
อุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ที่ละโลกไปแล้ว ไม่ว่าจะไปอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม ถ้าเป็นภูมิที่ยังรับบุญไม่ได้
บุญนั้นก็จะรอคอยอยู่ เมื่อพ้นบาปอกุศล เมื่อพ้นจากอบายภูมิแล้ว ก็จะได้มารับผลบุญนี้
ส่วนที่อยู่ในภูมิที่รับได้
ก็สามารถอนุโมทนาสาธุการได้ และยิ่งถ้าเข้าถึงธรรมกาย ได้ศึกษาวิชชาธรรมกายก็ยังสามารถเอาบุญนี้ไปให้บรรพบุรุษบุพการีของเราได้ ไม่ว่าจะไปตกนรก จะเป็นเปรต อสูรกาย
แม้เป็นสัตว์เดรัจฉาน จะเป็นมนุษย์หรืออยู่ในสุคติภูมิก็ตาม สามารถเอาบุญนี้ไปให้ได้
ด้วยอานุภาพของพระธรรมกายที่มีอานุภาพไม่มีประมาณ
ไปจับมือถือแขนกับสัตว์นรกก็ได้ เอาบุญไปให้ได้ ไปสวรรค์ก็เอาบุญไปให้ได้ เปรต
อสูรกายให้ได้หมด
สัตว์เดรัจฉานก็ยังเอาไปให้ได้ ให้กายละเอียดของเขา เมื่อบุญมากหนักเข้า
ไม่ช้าก็จะหมดจากวิบากกรรม เป็นมนุษย์ก็เอาบุญไปให้กายละเอียดได้
หรือไปบอกกายหยาบให้อนุโมทนาบุญได้ จะไปอยู่ในภพภูมิไหนก็เอาไปให้ได้ทั้งนั้น
แต่ศาสนาที่มีคำสอนว่า
ให้เคารพพระเจ้า เบ็ดเสร็จทุกอย่างอยู่ที่ตรงนั้น เบ็ดเสร็จหมด ตายแล้วไปรวมอยู่ที่ตรงนั้น ตรงนี้อันตราย เพราะว่าผู้มีชีวิตอยู่ไม่ทราบเลยว่า
ผู้ตาย ตายแล้วไปอยู่ที่ตรงนั้นจริงหรือเปล่า หรือไปไหน
ในเมื่อกฎแห่งกรรมนั้นเป็นกฎของสากลโลก ไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา และเผ่าพันธุ์ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม
ก็ต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม นรก สวรรค์เป็นของกลาง
อบายภูมิ สุคติภูมิ ก็เป็นของกลางๆ
อันตรายตรงนี้ว่า ผู้ตายจะไม่มีโอกาสได้รับจากผู้ที่มีชีวิตอยู่ในโลก อันตรายมากทีเดียว
ถ้ามีทุกข์ก็จะมีทุกข์มากยาวนาน ถ้ามีสุขก็มีสุขเล็กน้อย
กับสุขพอประมาณเท่านั้น
แทนที่จะสุขยั่งยืนเพิ่มขึ้นไปอีก
เพราะฉะนั้น ใครที่มีหมู่ญาติถูกดึงไปนับถือคำสอนที่นอกเหนือจากพระพุทธศาสนา อันตรายนะลูกนะ รีบไปบอกเขา ไปชักไปชวนไปดึงเขากลับมา กลับจิตกลับใจเสีย อย่าไปเพราะเห็นแก่สนุก อย่าไปเพราะความเพลิน อย่าไปเพราะว่ามันง่าย ไม่ต้องมีอะไรมากมายเหมือนคำสอนในพระพุทธศาสนา หรือจะไปเพราะว่าต้องดำรงชีวิตเพื่อการเอาตัวรอด
ต้องมีปัจจัย ๔ ในการดำรงชีพ
ก็ถูกล่อด้วยปัจจัย ๔ อย่างนี้ ชีวิตมันไม่ง่ายอย่างนั้นนะลูกนะ มันซับซ้อนอย่างยิ่ง
ใครมีหมู่ญาติสนิทมิตรสหายที่เป็นไปอย่างนั้น รีบไปกลับจิตกลับใจเขาเสียนะ
เราจะอยู่ในโลกนี้อีกไม่นาน ชีวิตหลังจากตายแล้ว ไม่มีอุทธรณ์ ฎีกา เราจะได้ไม่ต้องไปพูดว่า รู้อย่างนี้ทำบุญเสียก็ดี ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาไว้ก็ดี รู้อย่างนี้เลื่อมใสในพระรัตนตรัยเสียก็ดี ทำบุญอยู่ในบุญเขตของศาสนาเสียก็ดี พอถึงตอนนั้น แม้ร้องไปว่า รู้อย่างนี้
หรือพูดไป หรือคิดว่า รู้อย่างนี้ ก็หมดสิทธิ์ที่จะแก้ตัวแล้ว
เราเป็นชาวพุทธนี่ โชคดีนะลูกนะ รักษาความโชคดีนี้เอาไว้ให้ดี
วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2565