ชีวิตในโลกหล้า ลวงตา
เห็นทุกข์เป็นสุขพา โศกสิ้น
ดั่งเหยื่อที่ล่อปลา ติดเบ็ด
แสบเผ็ดเดือดร้อนดิ้น กว่าได้เห็นธรรม
ตะวันธรรม
คนเราเกิดมาทำไม
วันอาทิตย์ที่
๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
Link ไฟล์เสียงนำนั่งสมาธิใน youtube
ง่ายแต่ลึก 2 |EP.1| : คนเราเกิดมาทำไม/ในตัวเรามีองค์พระ
เมื่อเราสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกัน ทุก ๆ คนนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวา
ทับมือซ้าย
ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ
หลับตาของเราเบา ๆ ค่อนลูก พอสบาย ๆ
คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับตาพริ้ม ๆ
พอสบาย ๆ แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบานให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส
ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลดปล่อยวาง
คลายความผูกพันจากคน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน บ้านช่อง การศึกษาเล่าเรียน
เรื่องครอบครัว หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้
ให้ปลดปล่อยวาง
คลายความผูกพันจากทุกสิ่ง
โดยพิจารณาไปตามความเป็นจริงของสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้หรือโลกอื่น
เพราะสภาพความเป็นจริงนั้น ทุกสิ่งล้วนไปสู่จุดสลายทั้งสิ้น เมื่อเกิดขึ้น
ตั้งอยู่ แล้วก็เสื่อมสลายไป จะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ตึกรามบ้านช่อง ต้นหมากรากไม้
ภูเขาเลากา แม้แต่โลกใบนี้ซึ่งเป็นที่รองรับของสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลาย
สักวันหนึ่งก็ต้องล่มสลายไปหมดด้วยกัปพินาศ
โลกซึ่งเป็นที่รองรับของหมู่สัตว์ยังเป็นเช่นนี้
สรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลายก็ต้องเสื่อมสลายหายไป นี่คือความจริงแท้ของสรรพสัตว์
สรรพสิ่งทั้งหลาย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้เป็นพระบรมศาสดาผู้มีอานุภาพมาก สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ
ทรงอภิญญาพร้อมบริบูรณ์ พระองค์ก็ยังดับขันธปรินิพพาน
เหลือแต่คำสอนที่เป็นสิ่งแทนพระองค์เท่านั้น
พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ไม่ได้สั่งสอนผู้ใด
มีอานุภาพเหาะเหินเดินอากาศได้ยังต้องดับขันธปรินิพพาน
พระอรหันตสาวกของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้บรรลุมรรคผลนิพพานตามพระองค์ มีฤทธิ์ มีอานุภาพมากก็ยังต้องดับขันธปรินิพพาน
พระเจ้าจักรพรรดิผู้มีอานุภาพปกครองโลกทั้ง ๔ หรือทวีปทั้ง ๔ ทิศ รอบเขาพระสุเมรุ
ซึ่งเป็นที่ตั้งของสวรรค์
ชั้นจาตุมหาราชิกาและดาวดึงส์ก็ยังต้องเสื่อมสลายจากโลกนี้ไป
พระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี
(สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร ผู้มุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม ท่านก็ยังต้องจากโลกนี้ไป
คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง
ผู้เชี่ยวชาญในวิชชาธรรมกายจนได้รับยกย่องจากพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ
ว่าเป็นหนึ่งไม่มีสอง ก็ยังจากโลกนี้ไป
บรรพบุรุษของเราก็เช่นเดียวกันก็จากโลกนี้ไป ต่างก็ไม่ได้เอาอะไรไปได้ทั้งสิ้น
นอกจากบุญและบาปที่ได้กระทำเอาไว้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
นับประสาอะไรกับตัวของเราซึ่งยังไม่มีอานุภาพประดุจพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
หรือพระอรหันต์ทั้งหลายทำไมจะไม่จากโลกนี้ไป
เราก็ต้องจากไปโดยที่ไม่ได้เอาวัตถุสิ่งของอะไรไปเลย
ลาภยศสรรเสริญอะไรก็ไม่ได้เอาไป
มีแต่บุญและบาปที่เราได้กระทำเอาไว้ด้วยกายด้วยวาจาด้วยใจเท่านั้นติดตัวไป
เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้อย่างจำกัด
ทุกเพศ ทุกวัยมีเวลาแห่งชีวิตช่วงสั้นๆ เพราะความตายไม่มีนิมิตหมาย
จะตายเมื่อไรเราไม่ทราบ แต่ที่ทราบคือ ทุกคนล้วนตายหมด
ฉะนั้นเราก็ต้องมาพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของการมาเกิดเป็นมนุษย์ว่า
เราเกิดมาทำไม อะไรคือวัตถุประสงค์ของชีวิต
ซึ่งก็ได้ข้อสรุปตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง
แสวงบุญ สร้างบารมี
นี่คือวัตถุประสงค์หลักของชีวิต
เราก็ต้องนำมาพิจารณา มาใคร่ครวญ จะได้มีสติปัญญา รู้จักสอนตัวเองว่า
อะไรคืองานหลัก อะไรคืองานรองเราจะพบว่า
การทำพระนิพพานให้แจ้ง
แสวงบุญ สร้างบารมีนั้นเป็นงานหลักของชีวิต ส่วนการทำมาหากินเป็นเรื่องรองลงมา
ความสนุกสนานเพลิดเพลิน เพื่อผ่อนคลาย ก็เป็นเรื่องรองลงมาอีกตามลำดับ
เมื่อเราจับหลักของชีวิตได้อย่างนี้แล้ว
วันเวลาที่เหลืออยู่ก่อนที่เราจะจากโลกนี้ไปก็จะต้องสั่งสมบุญบารมีให้มากๆ
เพื่อความสุขและความสำเร็จในชีวิตของตัวเราเองตั้งแต่เป็นปุถุชนจนกระทั่งเป็นพระอริยเจ้า
โดยเฉพาะเราจะมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม
เพราะฉะนั้นเป้าหมายหลักของเราก็ต้องสั่งสมบุญบารมีให้มากๆ
เพราะว่าเมื่อถึงวาระสุดท้าย บุญเท่านั้นจะเป็นที่พึ่งให้กับตัวเรา
ที่จะนำเราไปสู่เทวโลก ไปสู่สวรรค์ชั้นดุสิต หรือที่เราคุ้นเคยว่า ดุสิตบุรี
วงบุญพิเศษ เขตบรมโพธิสัตว์
บุญเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสั่งสมเอาไว้ด้วยตัวของเราเอง
จะทำแทนกันไม่ได้ คนอื่นทำได้อย่างมากก็อุทิศบุญให้กับเราเมื่อเราละจากโลกนี้ไป และเราต้องอยู่ในภูมิที่รับได้
ถ้าไปอยู่มหานรกบุญที่เขาอุทิศไปให้ก็ยังรับไม่ได้
แปลว่าเราก็ต้องพึ่งตัวของเราเอง อัตตา หิ อัตตโน นาโถ เอาตัวของเรานี่แหละ
สั่งสมความดีด้วยตัวของเราเอง จนกระทั่งความดีบังเกิดขึ้นในตัว กลั่นเป็นบุญ
เป็นกุศล เป็นบารมีเป็นดวงบุญใสๆนั่นแหละ จะทำให้ใจเราผ่องใส คตินิมิตสว่าง
แล้วก็จากโลกนี้ไปสู่เทวโลกอย่างสง่างาม
หลวงพ่อธัมมชโย
จริง พระอริยเจ้า ดีจริง
อย่าง ยิ่งกว่าทุกสิ่ง แน่แท้
ตั้ง ต้นแต่หยุดนิ่ง ตรงศูนย์ กลางกาย
ใจ หยุดสนิทแล้ จึ่งได้ของจริง
ตะวันธรรม
ในตัวเรามีองค์พระ
วันอาทิตย์ที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ให้ทุกคนรวมใจมาหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา
ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒
เส้นนำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท
จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒นิ้วมือ เรียกว่า
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หรือจำง่ายๆ ว่า อยู่ในบริเวณกลางท้อง
ในระดับที่เรามั่นใจว่า เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒นิ้วมือ ตรงนี้แหละเรียกว่า
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งเป็นที่เกิด ที่ดับที่หลับ ที่ตื่นของตัวเรา มาเกิด ไปเกิด
หลับตรงนี้ตื่นตรงนี้ อีกทั้งที่สำคัญคือเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน
ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในโลกในชีวิตของเรา
การเกิดมาแต่ละครั้งถ้ายังไม่รู้จักตำแหน่งที่ตั้งของใจตรงนี้
ก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานของชีวิตไม่ได้
เพราะฉะนั้น
ตำแหน่งที่ตั้งของใจตรงนี้จึงเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่ทุกคนจะต้องเอาใจใส่
จะต้องเอาใจมาตั้งไว้ตรงนี้ มาวางตรงนี้ มาหยุดอยู่ที่ตรงนี้ให้ได้
โดยให้กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ
เป็นเครื่องหมายว่า ตรงนี้คือฐานที่ ๗ เอาใจมาอยู่ตรงนี้ อย่าไปอยู่ที่อื่น
อยู่ที่อื่นไม่เกิดประโยชน์อันใด มีแต่จะนำความทุกข์เข้ามาเผาลนจิตใจของเรา กำหนดบริกรรมนิมิตเป็นเพชรสักเม็ดหนึ่งที่ใสบริสุทธิ์
กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ ขนาดไหนก็ได้
ให้ใสบริสุทธิ์ประดุจเพชรที่ปราศจากมลทิน ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว
สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แต่ว่าใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ คือ
ไม่จ้าตา ไม่แสบตา
ให้ตรึกนึกถึงดวงใส
เอาใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ
ว่าสัมมา อะระหัง ให้เสียงคำภาวนาดังออกมาจากในกลางท้องของเรา
เหมือนมาจากแหล่งแห่งความบริสุทธิ์ แหล่งแห่งอานุภาพอันไม่มีประมาณ
พร้อมกับตรึกนึกถึงดวงใส เอาใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ
ประคองใจอย่างนี้ไปจนกว่าใจจะหยุดนิ่ง
เมื่อใจหยุดนิ่ง
จะทิ้งคำภาวนาไปเอง คือหมดความจำเป็นแล้ว เหมือนเรือที่ส่งเราถึงฝั่งแล้ว
เราก็เดินต่อไปโดยไม่ต้องแบกเรือไปด้วย เราจะมีอาการคล้ายๆ ไม่อยากจะภาวนาต่อไป
หรือคำภาวนานั้นเลือนไป ถ้าเกิดอาการอย่างนี้เราก็ไม่ต้องภาวนาต่อไป
เพราะคำภาวนานั้นส่งเราถึงฝั่งแห่งการหยุดนิ่งแล้วในระดับหนึ่ง
หลังจากนั้นเราก็นิ่งอย่างเดียว ให้ใจหยุดในหยุด นิ่งในนิ่งลงไป อย่างสบายๆ
รสแห่งธรรม
พระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี
(สดจนฺทสโร)ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย พระผู้ปราบมาร ท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า “หยุดเป็นตัวสำเร็จ
ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์” คือ
ทำให้เราหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะไปเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
เพราะหยุดกับนิ่งอย่างเดียว ไม่ต้องทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้
เมื่อ “สัมมาอะระหัง”
ส่งถึงฝั่งแห่งการหยุดนิ่งแล้ว เราก็หยุดในหยุด นิ่งในนิ่ง นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
ใจเย็นๆนิ่งอย่างเดียว พอถูกส่วนคือได้จังหวะของมัน ก็จะตกศูนย์วูบลงไป
เหมือนตกสุญญากาศอย่างนั้น
พอตกศูนย์ถึงจุดอิ่มตัวแล้วก็จะมีดวงใสๆ
ปรากฏเกิดขึ้นมา แตกต่างจากดวงที่เรากำหนดเป็นบริกรรมนิมิต
ที่เป็นแลนด์มาร์กของใจเรา จะเป็นดวงใสๆ อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
อย่างใหญ่ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือใหญ่กว่านั้นจะลอยขึ้นมา
ดวงใสๆ
นั้นจะมาพร้อมกับความสุขอันยิ่งใหญ่ที่เราไม่เคยเจอมาก่อนเลย
มาพร้อมกับความบริสุทธิ์ที่ทำให้เรามีความรู้สึกว่าเราบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น
เกลี้ยงเกลาขึ้น ใจมันจะใสๆ มาพร้อมกับดวงปัญญา
คือการเข้าใจในการดำเนินชีวิตให้ถูกต้องและดีงาม
เข้าใจเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตได้
มาทั้งความรักและปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลายอย่างแท้จริงโดยไม่ปรารถนาสิ่งใด
มาพร้อมกับความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ เป็นตัวของเราเอง เป็นอิสระจากเครื่องพันธนาการของชีวิต
ความรู้สึกอย่างนี้เราจะไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต
ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งมาพบดวงใสๆ นี้
มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้เราเกิดความพึงพอใจกับสิ่งนี้มาก
เพราะว่าให้ความสมปรารถนาความสมหวังของชีวิต ที่เราปรารถนาความสุขนั้นได้อย่างเต็มอิ่มทีเดียว
จนไม่ปรารถนาสิ่งใดอีก ความรู้สึกที่เป็นตัวของตัวเองนี้
เป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่แม้อยู่ตามลำพังก็เป็นสุขได้
แม้ว่าจะไม่มีวัตถุอะไรต่างๆ ที่ชาวโลกเขาแสวงหากัน
แค่เพียงดำรงชีวิตอยู่ได้ก็มีความสุขได้ด้วยตัวของตัวเอง
เป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ มีความปีติภาคภูมิใจอิ่มอกอิ่มใจอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูกทีเดียว
ดวงนี้แหละ
พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ท่านเรียกว่า ดวงปฐมมรรค หรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เป็นความบริสุทธิ์เบื้องต้นของใจเรา เป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน
แล้วก็เป็นเครื่องยืนยันว่าเราจะต้องไปถึงอายตนนิพพานอย่างแน่นอนเมื่อธรรมดวงนี้ปรากฏเกิดขึ้น
ในดวงธรรมมีตถาคต
เมื่อใดเห็นธรรมดวงนี้ไม่ช้าก็จะเห็นพระตถาคต
พระตถาคตคือพระธรรมกาย ซึ่งอยู่ภายในตัวของเราเอง
และภายในตัวของมนุษย์ทุกๆ คนในโลก แต่เขาไม่รู้ว่ามีอยู่
คำว่า “พระตถาคตเจ้า” จะใช้เมื่อพระบรมโพธิสัตว์หรืออดีตเจ้าชายสิทธัตถะออกบวชและได้บรรลุธรรม
ได้เข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับพระธรรมกายในตัวนั่นแหละจึงจะใช้คำว่า
พระตถาคตเจ้า พระตถาคตเจ้านี้ก็มีอยู่ในตัวของเราและในตัวของทุกคนในโลก
แต่ต้องเห็นธรรมดวงแรกนี้ก่อน ที่เรียกว่า “ปฐมมรรค”
เป็นดวงธรรมใสบริสุทธิ์ที่บังเกิดขึ้นในกลางกาย
เห็นธรรมเมื่อใดก็จะเห็นพระตถาคตเจ้า
คือพระธรรมกายในไม่ช้าเมื่อใจหยุดนิ่งอยู่ในกลางดวงธรรมนี้
หยุดนิ่งไปตามลำดับอย่างเดียวก็จะเห็นไปเอง คือหยุดอย่างเดียว
มีหน้าที่ดูอย่างเดียว เหมือนเรานั่งรถไป ดูทิวทัศน์ไป ดูอย่างเดียว
ทิวทัศน์นั้นมีอยู่แล้ว ดูไปก็เรียนรู้ไป เข้าใจไป จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง
นี่ก็เช่นเดียวกัน ให้ดูอย่างเดียว
การดูอย่างเดียวก็คือการทำใจให้หยุดนิ่งนั่นเอง
เพราะฉะนั้นหยุดนิ่งอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง นี่ก็เช่นเดียวกัน
ดูอย่างเดียว การดูอย่างเดียวก็คือการทำใจให้หยุดนิ่งนั่นเอง
หยุดนิ่งอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง ให้ลูกทุกคนหยุดใจนิ่ง ๆ
นุ่ม ๆ เบา ๆ ตรึกนึกถึงดวงใส ให้ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใส ๆ
พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา สัมมาอะระหังๆ ๆ นี้ไปเรื่อย ๆ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบ
ๆ
หลวงพ่อธัมมชโย
วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2565