นึกถึงสิ่งที่คุ้นเคย
วันเสาร์ที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ (๑๙.๐๐ - ๒๐.๓๐ น.)
บ้านแก้วเรือนทองของคุณยาย สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย-ปรับใจ
เมื่อเราบูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไป ให้ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานทุกๆ คน
ให้นั่งขัดสมาธิ
โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย
ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ
ค่อนลูก อย่าถึงกับให้ปิดสนิท หลับตาพอสบายๆ คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ
อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา
ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทำใจให้ว่างๆ
นึกถึงบุญ ความดี
แล้วสมมติว่า
ภายในร่างกายของเราเป็นที่โล่งๆ ว่างๆ ปราศจากอวัยวะภายใน ไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต
หัวใจ เป็นต้น
สมมติให้เป็นที่โล่งๆ
ว่างๆ กลวงๆ กลวงภายใน เหมือนร่างกายของเราทำด้วยลูกโป่ง ที่เขาอัดลมเข้าไป กลวงๆ
อย่างนั้นนะลูกนะ กลวงคล้ายๆ ท่อแก้วใสๆ
ให้เป็นทางไหลผ่านของกระแสธารแห่งความบริสุทธิ์ ความดีงาม บุญบารมี ๓๐ ทัศ
ที่เราได้สั่งสมอบรมมาตั้งแต่ปฐมชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
สร้างบารมีเรื่อยมานับภพนับชาติไม่ถ้วน มาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
รวมกับอานุภาพอันไม่มีประมาณของพระรัตนตรัย
ของพุทธรัตนะ ของธรรมรัตนะ ของสังฆรัตนะ และพระคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาลของบิดามารดา
ครูบาอาจารย์ หรือพระอุปัชฌาย์อาจารย์ รวมเป็นกระแสธารแห่งความบริสุทธิ์
ไหลผ่านกลางกายของเรา ที่กลวงเหมือนท่อแก้วใสๆ
ขจัดสิ่งที่เป็นมลทินในใจให้หมดสิ้นไป
ตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความหงุดหงิด งุ่นง่าน ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ โงก ง่วง
ซึมเซา ง่วงเหงาหาวนอน นิวรณ์ทั้ง ๕ อุปกิเลสทั้งหลาย วิบัติ บาปศักดิ์สิทธิ์
วิบากกรรม วิบากมาร อุปสรรคต่างๆ นานาในชีวิต ทุกข์ โศก โรค ภัย ความขัดสน ยากจน
ความไม่สมหวังใดๆ ให้ละลายหายสูญไปให้หมด
ให้เหลือแต่ความบริสุทธิ์ที่ผุดเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เป็นดวงใสๆ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย ไม่มีขีดข่วน ไม่มีไฝฝ้า
กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ
อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
ปรากฏเกิดขึ้นที่ ศูนย์กลางกายฐานที่
๗
ตำแหน่งศูนย์กลางกายฐานที่
๗
ผู้ที่ยังไม่รู้จักว่า
ฐานที่ ๗ อยู่ที่ตรงไหน ก็ให้สมมติว่า
หยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท
จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม ให้สมมติเอานิ้วชี้กับนิ้วกลาง มาวางซ้อนกัน
แล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสอง สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ความบริสุทธิ์เบื้องต้นที่เป็นดวงใสๆ
คล้ายเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์
อย่างเล็กขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
อย่างใหญ่ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน บังเกิดขึ้นที่ตรงนี้นะจ๊ะ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ นี้ จะเห็นได้ชัดเจน ต่อเมื่อใจหยุดนิ่งได้สนิทสมบูรณ์แล้วร้อยเปอร์เซ็นต์
เพราะฉะนั้นเมื่อใจยังหยุดนิ่งไม่สนิท เราก็ยังเห็นไม่ชัด จะจำง่ายๆ ว่า
อยู่ตรงกลางท้อง ในตำแหน่งที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือก็ได้ หรือจะจำง่ายๆ
กว่านั้นก็คือ อยู่ตรงกลางท้อง
เพราะฉะนั้น ดวงใสๆ ดังกล่าว จำง่ายๆ ว่า
ตั้งอยู่ตรงกลางท้อง ตำแหน่งที่เรามีความมั่นใจว่า ตรงนี้คือ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ถ้านึกตรงนี้แล้วสบายใจ
มีความพึงพอใจ ก็สมมติว่า ความบริสุทธิ์เป็นดวงใสๆ เกิดขึ้นที่ตรงนี้
ให้เอาใจที่แวบไปแวบมา มาหยุดนิ่งๆ อยู่ที่กลางดวงใสๆ ให้ตรึกนึกถึงดวงใส
เอาใจหยุดไปที่จุดกึ่งกลางของดวงใสๆ อย่างสบายๆ ทำอย่างนี้ เรื่อยไป
แต่ถ้าว่าตอนช่วงไหนที่เราเผลอ
อดแวบไปคิดถึงเรื่องที่เราคุ้นเคย หรือของที่เรารักไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ช่างมัน
พอรู้สึกตัวก็ค่อยๆ ประคองใจ มาหยุดนิ่งใหม่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ที่กลางดวงใสๆ
ทำกันอย่างนี้แหละ แวบไปก็ช่างมัน พอรู้ตัวก็ดึงกลับมาใหม่ ประคองใจกันไปอย่างนี้
นึกถึงสิ่งที่คุ้นเคยเป็นบริกรรมนิมิตก็ได้
ตรึก
ก็คือ การนึกถึงดวงใสๆ อย่างสบายๆ คล้ายๆ กับเรานึกสิ่งที่เราคุ้นเคย อย่างเช่น ถ้าใครคุ้นกับทุเรียน
เพราะว่าขายทุเรียน ก็นึกเอาทุเรียนตั้งไว้กลางท้อง เราจะนึกได้ง่าย
ถ้าคุ้นกับเงาะ ก็เอาเงาะมาตั้งไว้กลางท้อง ถ้าคุ้นกับมังคุด ก็เอามังคุดตั้งไว้
ถ้าคุ้นกับส้มโอ ก็เอาส้มโอมาตั้งไว้ ถ้าคุ้นกับส้มเขียวหวาน
ก็เอาส้มเขียวหวานมาตั้งไว้ ถ้าคุ้นกับซาลาเปา เพราะขายซาลาเปา ก็เอามาตั้งไว้
คุ้นกับพริกไทย ก็เอาพริกไทยมาตั้งไว้ ถ้าคุ้นกับไข่มุก เพราะเราขายไข่มุก
ก็เอาไข่มุกมาตั้งไว้ตรงนี้
คือ
เราคุ้นเคยกับสิ่งไหนมันก็จะนึกได้ง่าย ถ้าคุ้นเคยกับเพชร เพราะขายเพชร
ก็เอาเพชรมาตั้งไว้ให้ใสๆ นึกถึงดวงแก้วก็นึกอย่างนี้นะ นึกง่ายๆ อย่างนี้แหละ
ไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ ทำใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส
ไร้กังวลในทุกสิ่ง
บริกรรมภาวนา
ถ้าหากเราทำอย่างนั้นแล้วยังอดฟุ้งไม่ได้
ก็ต้องประกอบบริกรรมภาวนา โดยไม่ต้องใช้กำลัง ภาวนาในใจว่า สัมมาอะระหังๆๆ ภาวนาสัมมาอะระหังไป
ใจก็ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ตรงกลางดวงใสๆ ภาวนาอย่างนี้เรื่อยไป
จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง
เวลาใจหยุดนิ่งจะทิ้งคำภาวนาไปเอง
จะมีอาการคล้ายๆ กับว่าเราลืมคำภาวนาไป ถ้าใจไม่ฟุ้ง หรือมีความรู้สึกว่า
ไม่อยากจะภาวนา อยากจะเอาใจหยุดนิ่งๆ อยู่ที่กลางดวงใสๆ อย่างนี้อย่างเดียว
ถ้าเกิดอาการหรือความรู้สึกอย่างนี้ ก็ไม่ต้องย้อนกลับมาภาวนาใหม่
ให้หยุดนิ่งที่กลางดวงใสๆ ที่มีให้เราเห็นเท่าไร เราก็ดูไปแค่นั้นก่อน หยุดนิ่งเฉยๆ
ให้ใจใสๆ ทำอย่างนี้ แค่นี้เท่านั้นนะ
ไม่ช้าใจก็จะหยุดนิ่ง
พอถูกส่วนเข้า เดี๋ยวเราก็จะเข้าถึงแสงสว่างภายใน
เป็นแสงแก้ว แล้วเดี๋ยวก็จะเข้าถึงแหล่งกำเนิดของแสง เป็นดวงใสๆ
แล้วเดี๋ยวก็จะเข้าถึงกายภายใน ตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม
กายอรูปพรหม แล้วจะเข้าถึงกายธรรม กายองค์พระ เห็นพระแก้วใสๆ ยิ่งกว่าเพชรใสๆ
เกตุดอกบัวตูม แล้วเดี๋ยวก็จะเห็นองค์พระในองค์พระ องค์พระในองค์พระ
เห็นตามเข้าไปเรื่อยๆ แล้วก็ตามเห็น เห็นอะไรก็ตามเห็นเข้าไป
เห็นองค์พระเราก็ตามเห็นท่านเข้าไปเรื่อยๆ องค์พระในองค์พระ องค์พระในองค์พระ
ก็จะผุดเกิดขึ้นมาในภายหลัง
ให้ทำอย่างนี้นะ
ให้ใจใสๆ เมื่อเข้าใจดีแล้ว ต่อจากนี้ไปต่างคนต่างทำกันไปเงียบๆ นะลูกนะ
วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2565