ทุกๆ สิ่งมีอยู่แล้วในกลางกาย
แม้อารมณ์สบายที่กำลังแสวงหา
แค่ทำใจหยุดนิ่งนิ่งเดี๋ยวก็มา
เชื่อเถิดหนามันเหลือเชื่อแต่เป็นจริง
ตะวันธรรม
อุปสรรคและหลักวิชชาในการปฏิบัติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙
Link ไฟล์เสียงนำนั่งสมาธิใน youtube
ง่ายแต่ลึก 3 |EP.11| : อุปสรรคและหลักวิชชาในการปฏิบัติธรรม
ถ้าใครคุ้นเคยกับภาพองค์พระแก้วขาวใส
เราจะนึกถึงพระแก้วขาวใสแทนดวงใสๆ ก็ได้ โดยมีวัตถุประสงค์เดียวกันคือ
เพื่อให้ใจหยุดใจนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งเป็นต้นทางที่จะไปสู่อายตนนิพพาน ประคองใจกันไปอย่างนี้
ภาวนาไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ แต่อย่ากดลูกนัยน์ตาไปดู
ถ้าเริ่มรู้สึกว่าหัวคิ้วจะย่น ตึงหน้าผาก ศีรษะ
ก็ให้รีบเผยอเปลือกตาขึ้นมาสักนิดหนึ่ง ปรือๆ ตา แล้วก็รักษาเปลือกตาในระดับนั้น
แล้วเริ่มต้นใหม่อย่างง่ายๆ
อุปสรรคหลัก
๒ ประการ
ส่วนมากจะมีอุปสรรคหลักอยู่ ๒ ประการ คือ ฟุ้ง กับ ตั้งใจมากเกินไป
สองอย่างนี้จะเป็นหลักมากกว่าการหลับ หรือความลังเลสงสัย
อะไรต่างๆ เหล่านั้น
ฟุ้ง เพราะใจเราคุ้นเคยกับการคิด คิดในสิ่งที่เราคุ้น
คุ้นจนเคยจนชิน เพราะฉะนั้นใจมักจะไปสู่สิ่งนั้นเรื่อยๆ
วิธีแก้ฟุ้ง คือ เราต้องบริกรรมภาวนา สัมมาอะระหัง
เรื่อยไป หรือเผยอเปลือกตาขึ้นมาสักนิดหนึ่ง พอหายฟุ้งเราก็เริ่มต้นใหม่
อุปสรรคอีกอย่างคือ ตั้งใจมากเกินไป
คือพอรู้ว่าเห็นธรรมะแล้วดี มีความสุข
เป็นอุปกรณ์ในการศึกษาเรื่องราวความจริงของชีวิตได้
ได้ยินคนนั้นคนนี้เขาเข้าถึงกัน เลยอยากเข้าถึงบ้าง แต่อยากมากเกินไป ตั้งใจเกินไป
ก็จะทำให้เกิดอาการเกร็ง ตึง
เกร็ง สังเกตดูสภาพใจมันจะทึบ ตื้อ นิ่งๆ แต่ไม่ฟุ้ง
แต่ก็ไม่มีความสุข มันตื้อๆ ตันๆ นิ้วที่เราวางไว้บนหน้าตักมันจะกระดก ไหล่จะยก
ท้องจะเกร็ง แล้วจะท้อใจ เพราะเบื่อต้องพยายามนั่งนิ่ง เพื่อจะให้ได้สมาธิ
อย่างนี้ไม่ถูกหลักวิชชา
แต่ถ้าเรานั่งนิ่ง นุ่ม เบา
แล้วเกิดความสบายแม้ยังไม่ได้เห็นภาพอะไร ก็ไม่เป็นทุกข์ใจ ยังคงรักษาใจนิ่งๆ
นุ่มๆ อย่างนั้นไปเรื่อยๆ แล้วก็มีความรู้สึกว่า เวลามันผ่านไปเร็วเหลือเกินหรือมีบางส่วนของร่างกายเราหายไป
มือหาย ขาหาย ตัวหาย เป็นต้น นี่ก็แปลว่าเรานั่งได้ถูกหลักวิชชาแล้ว ถูกต้องแล้ว
พอถึงตรงนั้นก็ให้นิ่งเฉยๆ ต่อไป อย่าลืมตา อย่าขยับตัว
แล้วก็ไม่ต้องกลัวอะไร บางครั้งกลัวตัวยืดบ้าง ย่อบ้างใหญ่บ้าง พองขยายบ้าง
หล่นไปบ้าง เหมือนตกจากที่สูงบ้างก็อย่าลืมตา อย่าขยับตัว ไม่ต้องกลัวอะไร
ภาพสุดท้ายของหยุดแรกคือดวงใส
บางทีนั่งไปก็มีภาพต่างๆ เกิดขึ้น เป็นภาพวิวทิวทัศน์บ้าง
เป็นภาพอะไรต่างๆ ที่เราคุ้นเคยบ้าง แต่ว่าไม่ได้เป็นดวงใสๆ หรือองค์พระใสๆ
ก็อย่าไปรำคาญใจ ให้ดูไปเฉยๆ เดี๋ยวภาพเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนไปเอง
ภาพสุดท้ายเมื่อใจหยุดนิ่งในเบื้องต้นก็จะเป็นดวงใสๆ
อย่างเล็กขนาดดวงดาวในอากาศ
อย่างกลางขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
อย่างใหญ่ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือใหญ่กว่านั้น
เป็นต้น
และหลังจากใจหยุดแล้ว ภาพสุดท้ายในเบื้องต้นเมื่อใจหยุดแรกมันจะเกิดอย่างนี้
เพราะฉะนั้นภาพอะไรต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาดังกล่าวนั้น ให้ดูไปเฉยๆ จะภาพน่ารัก
น่าเกลียด น่าชัง ไม่อยากได้ ก็อย่าไปยินดียินร้าย ภาพสวยสดงดงามก็อย่าไปยินดี
ภาพที่ดูไม่งามก็อย่าไปยินร้าย อย่าไปตกอกตกใจ อย่าไปเข้าใจผิดว่า มีมารมา
มีอะไรต่างๆ มาทดลองเรา หรือภาพกรรมภาพเวรอะไรต่างๆ ก็อย่าไปคิด
คือใจตอนช่วงนั้นอย่าไปคิดเรื่องอะไรทั้งสิ้น ดูเฉยๆ
ไม่ว่าภาพที่น่าดู หรือไม่น่าดู น่าดูก็ไม่ยินดี ภาพไม่น่าดูก็ไม่ยินร้าย
ทำใจนิ่งเฉยๆ ทำหน้าที่เป็นผู้ดูที่ดี ที่ไม่กำกับ เหมือนผู้เจนโลกที่เห็นการเกิดขึ้นตั้งอยู่และเสื่อมสลายไปของชีวิตของสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลายตลอดระยะกาลเวลาที่ผ่านมาด้วยใจที่เป็นปกติ
เราก็ทำใจให้เป็นปกติ ไม่เห็น
ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เป็นปกติ เห็นแล้วแต่มันคนละภาพกับที่เราอยากได้
ก็ยังคงเป็นปกติ เป็นภาพที่ดีสวยๆ งามๆ เป็นภาพเทพบุตร
เทพธิดาก็อย่าไปเข้าใจผิดว่า เราไปสวรรค์แล้ว ก็ดูไปเฉยๆ อย่าไปยินดีอะไร
แม้เป็นภาพอะไรที่ใกล้เคียงกับดวงธรรมหรือองค์พระก็เฉยๆ เป็นภาพที่ไม่ดี
ดูแล้วน่าเกลียดไม่น่าดูก็ดูเฉยๆ อีกเหมือนกัน อย่าไปยินร้าย ทำอย่างนี้แค่นี้เท่านั้น
ลูกทุกคนก็จะกำความสำเร็จที่จะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
การมีภาพเกิดขึ้นภายในใจ
ไม่ว่าเป็นภาพน่ารักน่าชังแปลว่าเรามีสมาธิมาในระดับหนึ่งแล้ว
ถ้าจิตบริสุทธิ์ก็จะเป็นภาพที่สวยงาม
ถ้าบางส่วนของจิตยังไม่บริสุทธิ์ก็จะเป็นภาพที่ไม่สวยงาม ซึ่งก็เป็นเหมือนกระจกเงาส่องสะท้อนให้เราเห็นว่า
ใจเราบริสุทธิ์เพียงไหน
เรามีหน้าที่หยุดกับนิ่งดูไปเฉยๆ อย่างนี้เท่านั้น
เดี๋ยวภาพที่น่ารักน่าชังเหล่านั้นมันก็จะเปลี่ยนไปเป็นภาพที่สดใสสว่างไสว
ที่จะนำใจให้ตั้งมั่นเป็นหนึ่ง เป็นเอกัคคตา มีอารมณ์ดี อารมณ์เดียว แล้วก็อารมณ์สบาย
สงัดจากกาม จากบาปอกุศลธรรมและความเห็นถูกมันจะเกิดขึ้นมาเอง
เพราะฉะนั้น ในจุดเบื้องต้นของหยุดแรก
ภาพสุดท้ายจะเป็นดวงใสๆ และหลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของหยุดในหยุดหยุดสอง หยุดสาม
หยุดสี่ หยุดห้า กระทั่งนับหยุดไม่ถ้วนเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นไปตามลำดับ
รู้หลักวิธี
นั่งลำพังก็ไม่กลัว
นี่คือสิ่งที่ลูกทุกคนจะต้องศึกษาเรียนรู้เอาไว้ให้ดี
เพื่อที่ว่าเวลานั่งตามลำพังจะได้มั่นใจ ไม่กลัวบ้าอย่างที่เขาเล่าลือกัน
ไม่กลัวที่จะเห็นในสิ่งที่น่ากลัว ไม่กลัวที่เขาบอกว่านั่งแล้วจะตาย ไปแล้วไม่กลับ
หรืออะไรยิ่งกว่านั้น เราจะได้มั่นใจ ถ้าเราได้ศึกษาเรียนรู้เอาไว้
เหมือนหมองูที่จะจับงูเห่า งูจงอาง จะต้องศึกษาเรียนรู้ธรรมชาติของงูพิษ
อสรพิษนั้นซึ่งใครๆ ในโลกก็กลัว แต่หมองูรู้วิธี เขาก็ไม่กลัว
เขาจะจับงูนั้นได้อย่างสบายๆ เพราะรู้วิธีการ
นี่ก็เช่นเดียวกัน ถ้าลูกทุกคนรู้วิธีการอย่างนี้แล้ว
ความรู้สึกว่านั่งสมาธิแล้วจะเกิดโทษมันก็จะหมดไป
ตรงข้ามสมาธินี่แหละจะทำให้เกิดคุณประโยชน์กับเรา
เพราะจะเป็นจุดเชื่อมโยงใจของเรากับศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ให้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง ซึ่งเป็นรากฐานแหล่งกำเนิดแห่งความคิด
คำพูดและการกระทำที่ดี
นำมาซึ่งความสุขความสำเร็จในชีวิตและในธุรกิจการงานกับการสร้างบารมีของเรา
โลกจะเกิดสันติสุขได้ ต้องเริ่มต้นจากที่เราก่อน
ชีวิตในครอบครัวจะเกิดความผาสุกไม่ขัดแย้งกัน ก็เริ่มต้นที่หยุดแรกของใจเราก่อน
แล้วจึงจะขยายไปสู่สมาชิกภายในบ้าน เพื่อนบ้าน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ประเทศ
ประเทศเพื่อนบ้าน นานาชาติ แล้วก็ทั่วโลก
ทุกสิ่งที่ดีดังกล่าวนั้นเริ่มต้นจากเราทั้งสิ้น
เริ่มต้นจากหยุดแรกที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ทั้งสิ้น ซึ่งเราไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง
ได้เรียนรู้มาก่อน นี่แหละเป็นสิ่งที่สำคัญ ประหยัดสุด ประโยชน์สูงในการสร้างสันติสุขหรือสันติภาพให้เกิดขึ้นแก่โลกใบนี้
วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2565