ความลับของชีวิต
วันอาทิตย์ที่ ๙
เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ (๑๓.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ ห้องแก้วสารพัดนึก
ปรับกาย
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายของเรานะจ๊ะ
ทั้งเนื้อทั้งตัวให้รู้สึกสบาย ต้องผ่อนคลายให้สบายๆ ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี
ปรับท่านั่งให้ถูกส่วน ให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อยกัน
ปรับใจ
แล้วก็ปล่อยวางทุกสิ่ง
ทิ้งทุกอย่าง ทำใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น
ให้สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด
ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันในทุกๆ สิ่ง
วางใจ
แล้วรวมใจกลับเข้าไปสู่ภายใน
ไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา
ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
กิจของพระอริยเจ้า
ให้ใจของเราไปหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ เราจะได้ทำกิจของพระอริยเจ้า คือกิจที่พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านทำ
ตั้งแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน
ที่ดับขันธปรินิพพานนานมาแล้ว พระอรหันต์ทั้งหลายก็ทำกิจอย่างนี้
และใจของท่านก็มาหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางฐานที่ ๗ นิ่งอย่างเดียว
ตั้งแต่ก่อนบรรลุมรรคผลนิพพาน กระทั่งบรรลุมรรคผลนิพพานแล้วก็นิ่งอยู่อย่างเดียวในตำแหน่งตรงนี้
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ คือที่ตั้งแห่งความสุขสมหวัง
ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เป็นตำแหน่งที่สำคัญมากกว่าตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้นในโลก
แม้ความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เพราะฉะนั้นให้ลูกทุกคนรวมใจมาหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ชีวิตของเราจะได้สมความปรารถนา
สิ่งที่มนุษย์ทุกคนหรือสรรพสัตว์ทั้งหลายปรารถนา
คือเข้าถึงความสุขที่แท้จริง ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า สุขกามานิ
ภูตานิ สัตว์โลกทั้งหลายล้วนปรารถนาความสุขที่แท้จริงทั้งสิ้น
แต่ความสุขที่แท้จริงนั้น เราจะต้องรู้ว่าอยู่ตรงไหน จึงจะแสวงหาได้ถูกต้อง
ที่จะทำให้ความปรารถนาของเราสำเร็จเป็นอัศจรรย์
การที่ลูกทุกคนรู้จักว่า
ที่ตั้งแห่งความสุขสมหวังในชีวิตนั้นอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
จึงถือว่ามีบุญบารมีมากที่ได้สั่งสมกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว
เพราะฉะนั้นวันเวลาที่เหลืออยู่ในโลกนี้ ในช่วงที่เราพอยังมีเรี่ยวมีแรง
ต้องหาให้พบ หาให้เจอ เข้าถึงให้ได้
หยุดเป็นตัวสำเร็จ
ใจหยุดนี่แหละเป็นตัวสำเร็จ
พระเดชพระคุณหลวงปู่ของเราท่านกล่าวเอาไว้ว่า หยุดเป็นตัวสำเร็จ คือ
หยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละ
นิ่งอย่างเดียวไม่ต้องทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ให้ใจนิ่งๆ นุ่มๆ อย่างเบาๆ สบายๆ
ใจใสๆ ใจเย็นๆ
พอถูกส่วน
คือ เราทำถูกวิธีแล้วใจก็จะปรับปรุงจนกระทั่งถูกส่วน ถูกส่วนแล้วจะตกศูนย์เข้าไปสู่ภายใน
เหมือนหล่นจากที่สูง หรือเคลื่อนเข้าไปข้างใน หลุดจากสภาวะหยาบไปสู่สภาวะละเอียด
ปฐมมรรค ต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน
พอถูกส่วนก็ตกศูนย์
แล้วจะมีดวงธรรมลอยขึ้นมาเป็นดวงใสๆ เหมือนกับเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิเลย อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือใหญ่กว่านี้
ตามกำลังบารมีที่ไม่เท่ากัน จะลอยขึ้นมาบังเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้
ธรรมดวงนี้เรียกว่า
ปฐมมรรค หรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นความบริสุทธิ์เบื้องต้น ซึ่งเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน
ไปถึงบรมสุขที่ไม่มีประมาณ คือ อายตนนิพพาน สมดังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่า
นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นบรมสุข
ต้องได้สุขแรกที่เกิดจากใจหยุดนิ่งตกศูนย์เข้าไปสู่ภายในเสียก่อน
แล้วธรรมดวงนี้จะลอยขึ้นมาเป็นดวงใสๆ ดังกล่าว
ใสอย่างน้อยก็เหมือนน้ำใสๆ
บ้าง เหมือนกระจกใสๆ บ้าง เหมือนเพชรใสๆ ที่ต้องแสงบ้าง หรือใสเกินความใสใดๆ ในโลก
จะปรากฏเกิดขึ้นมาเป็นความบริสุทธิ์เบื้องต้นที่มาพร้อมกับความสุข
ที่แตกต่างจากที่เราเคยเจอทางโลก ที่เราเคยคิดว่านั่นคือความสุข
ซึ่งถ้าเอามาเทียบกันแล้วทางโลกแค่ความเพลิน เพลินๆ หมดเวลาของชีวิตไปวันๆ
มีเพลินกับเพลียนั่นแหละ
ดวงธรรมที่เกิดขึ้นนี้มาพร้อมกับความสุข
ความบริสุทธิ์ และความรู้แจ้งก็เกิดขึ้น ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า
ในตัวเรามีหนทางไปสู่อายตนนิพพาน หรือมีหนทางที่จะเข้าถึงความสุข
เข้าถึงที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงที่อยู่ภายในตัวได้
ความรู้แจ้งนี้จะเกิดขึ้นจากการเห็นแจ้งเมื่อใจหยุดนิ่งดีแล้ว
ใจหยุดนิ่งตรงนี้แหละสำคัญ จะดึงดูดให้เราอยากหยุดในหยุด นิ่งในนิ่งเข้าไปเรื่อยๆ
นิ่งอยู่ตรงกลางดวงใสๆ พอถูกส่วนจะขยายออกไปเอง จุดกลางดวงใสๆ จะกลายเป็นดวงใหม่
เรียกว่าดวงศีล พอใจเราหยุดในกลางดวงศีล กลั่นจนกระทั่งธาตุในใจเราบริสุทธิ์เพิ่มขึ้นจะเข้าถึงดวงสมาธิ
พอหยุดนิ่งกลางดวงสมาธิจะเข้าถึงดวงปัญญา ซึ่งจะเป็นดวงธรรมซ้อนๆ
กันอยู่หยุดอยู่ในกลางดวงปัญญาจะเข้าถึงดวงวิมุตติ
กายมนุษย์ละเอียด
หยุดอยู่ในกลางดวงวิมุตก็จะเข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
ชุดหนึ่งมี ๖ ดวง ซ้อนกันอยู่ภายใน เป็นชั้นๆ เข้าไปเรื่อยๆ
ใจของเราต้องหยุดนิ่งแน่นเข้าไปเรื่อยๆ นุ่มๆ แล้วจะเชื่อมเข้าไปถึงกายภายใน คือ
กายมนุษย์ละเอียด หรือนัยหนึ่งเรียกว่ากายฝัน คือกายที่เรานอนหลับแล้วออกไปทำหน้าที่ฝัน
คือ เห็นตัวเองออกไปทำหน้าที่ฝัน แล้วกลับมารายงานกายหยาบ จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
อะไรต่างๆ เหล่านั้น ปกติจะอยู่ตรงนี้
ตรงกลางกายมนุษย์ละเอียดและกลางกายมนุษย์หยาบ
ที่เรียกว่ากายมนุษย์ละเอียด
เพราะว่ามีลักษณะคล้ายๆ กับกายมนุษย์หยาบ แต่สดใสกว่าในอิริยาบถสมาธิ
อีกนัยหนึ่งเรียกว่า กายไปเกิดมาเกิด
ถ้าหมดอายุขัยกายนี้จะออกไปทำหน้าที่แสวงหาที่เกิดใหม่ กายนี้อยู่ในกลางตัวของเรา
เป็นชีวิตที่ละเอียดลึกเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเชื่อมด้วยธรรมทั้ง ๖ ดวงดังกล่าว
เชื่อมต่อกันถึงกายมนุษย์ละเอียดภายใน
เมื่อเราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดภายในแล้ว
เราจะเข้าใจชีวิตเพิ่มขึ้นว่า ความจริงแล้วกายมนุษย์หยาบภายนอก
ที่เราเคยคิดว่าเป็นตัวของเรา เป็นแค่เปลือกภายนอกเหมือนเสื้อผ้า
บ้านเรือนที่อยู่อาศัยของกายมนุษย์ละเอียด
ธรรมกายที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
ยังมีชีวิตที่แท้จริงที่อยู่ภายในที่ประเสริฐเลิศกว่าภายนอกอีกเยอะ
แต่เราไม่เคยเรียนรู้เลย จนกระทั่งใจของเรามาหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ กายจะถูกถอดเป็นชั้นๆๆๆ เข้าไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งเข้าไปถึงกายที่เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก ที่แท้จริงของตัวเรา
เป็นกายเดิมของเราที่เรียกว่า อัตตา เป็นตัวจริง
กายดั้งเดิมตัวจริงจะต้องมีแต่ความสุขที่เป็นอมตะ สุขอย่างเดียว ไม่มีทุกข์เจือเลย
และไม่มีกิจอย่างอื่นที่จะต้องทำเลย นิ่งอย่างเดียวในอิริยาบถสมาธิ
แล้วชีวิตจะสมบูรณ์เต็มเปี่ยม ไม่มีความรู้สึกว่าพร่อง หรือขาดแคลนอะไรเลย
มีแต่สุขล้วนๆ อย่างยั่งยืนทีเดียว เรียกว่ากายธรรม
ลักษณะของกายธรรม
กายดั้งเดิมหรือกายธรรมนี้จะสวยงามมาก
สวยงามกว่ามนุษย์ กว่าเทวดา กว่ากายพรหม กว่าอรูปพรหม
มีเกตุดอกบัวตูมไม่ใหญ่ไม่เล็ก พอดีๆ อยู่บนจอมกระหม่อม บนพระเศียร
ที่เรียงรายด้วยเส้นพระศก หรือเส้นผมที่ขดเวียนเป็นทักษิณาวรรต หมุนขวาตามเข็มนาฬิกา
อยู่บนพระวรกายที่สวยงาม
กายธรรมคือกายอันประเสริฐอันเลิศกว่าทุกๆ
กาย เป็นชีวิตที่ประเสริฐในอิริยาบถสมาธิ ไม่ยืน ไม่เดิน ไม่นอน นั่งอย่างเดียว
แต่มีความสมบูรณ์ในทุกๆ อย่าง แตกต่างจากกายมนุษย์หยาบที่ต้องมีอิริยาบถต่างๆ
เพราะมีทุกขเวทนาเกิดขึ้น ก็ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ มีกิจที่จะต้องทำอย่างอื่นอีกเยอะ
แต่พอถึงกายธรรมแล้ว กิจอย่างอื่นไม่มี นอกจากหยุดนิ่งเข้าไปเรื่อยๆ
นิ่งอย่างเดียว นิ่งในนิ่งเข้าไปเรื่อยๆ
คุณวิเศษของธรรมกาย
เป็นกายที่สมบูรณ์ไปด้วยธรรมจักษุ
มีญาณทัสนะ คือ มีดวงตาที่มีการเห็นที่แตกต่างจากการเห็นของมนุษย์ ของเทวดา พรหม
อรูปพรหม คือ จะเห็นได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต เห็นได้รอบตัว โดยนิ่งอย่างเดียว
ไม่ต้องหันซ้ายหันขวา ก้มเงยอะไรต่างๆ เห็นถึงไหนก็รู้ถึงนั่น เรียกว่าญาณทัสนะ
มีทั้งจักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง
มีความพร้อมที่จะศึกษาเรียนรู้วิชชาที่แท้จริง คือ วิชชา ๓ วิชชา ๘ ประการ เป็นต้น
ตั้งแต่วิชชาแรก
คือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ศึกษาเรียนรู้การเวียนว่ายตายเกิดของตนเอง
การระลึกชาติหนหลัง วิชชาที่ ๒ จุตูปปาตญาณ
การเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลายในภพภูมิต่างๆ และวิชชาที่ ๓ อาสวักขยญาณ
คือ การขจัดกิเลสอาสวะ ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ทรมานของชีวิต
ความไม่รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ความลับของชีวิตของตัวเอง ของสรรพสัตว์
และสรรพสิ่งทั้งหลาย ขจัดกิเลสตัวนี้ที่พญามารบังคับบัญชาอยู่
ให้เวียนว่ายตายเกิดในภพทั้ง ๓ อย่างผู้ไม่รู้
ตั้งแต่ไม่รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้อะไรเลย กระทั่งแม้รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้อะไรเลย
แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงจะหลุดรอดพ้นจากความทุกข์ บดบังเป็นชั้นๆ ไปเรื่อยๆ
เอาความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น มาบังคับบัญชาให้ชีวิตวนเวียนอยู่อย่างนี้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมานับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วนแล้ว
มีผู้ที่บรรลุมรรคผลนิพพานตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตไปได้เยอะ
แต่ยังเหลือตกทอดมาถึงยุคของพวกเราอยู่
ก็แปลว่าเรื่องกิเลสอาสวะไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย เป็นเรื่องลึกซึ้งนัก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกบังเกิดขึ้นนานมากแล้ว
แต่สัตว์โลกก็ยังมีเหลืออยู่จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ วิชชาที่ ๓
นี้จึงไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา จะเรียนรู้ได้เมื่อเข้าถึงพระธรรมกายในตัว
ดังนั้นลูกทุกคนต้องให้ความเอาใจใส่ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มากๆ
เพราะเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตของเราที่เกิดมาเป็นมนุษย์
ต้องทำควบคู่กันไปกับชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ต้องให้ความสำคัญตรงนี้
เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ
ให้ตั้งใจหยุด นิ่ง นุ่ม เบา สบาย
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ประคองใจให้หยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ให้ใจใสๆ ใจเย็นๆ จะประคองใจด้วยบริกรรมภาวนาสัมมาอะระหังไปด้วยก็ได้
จะประคองใจด้วยการประกอบบริกรรมนิมิตเป็นดวงใสๆ หรือองค์พระใสๆ ไปด้วยก็ได้
หรืออยากจะหยุดใจนิ่งอย่างเดียวก็ได้
แล้วแต่จริตอัธยาศัยของแต่ละท่านที่แตกต่างกันไป ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2565