ความสำคัญของฐานที่ ๗
วันอาทิตย์ที่ ๕ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๕๕๓ (๑๓.๓๐ -
๑๕.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย ปรับใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกาย
ทั้งเนื้อทั้งตัวให้มีความรู้สึกว่า สบาย
ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี อย่าให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมันตึง
หรือว่าเกร็ง ต้องผ่อนคลาย
ทำใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์
ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง
นึกถึงบุญ
แล้วก็นึกถึงบุญที่เราทำผ่านมา โดยเฉพาะบุญที่เราได้มาสวดมนต์
เจริญสมาธิภาวนา และก็ประกอบพิธีบูชาข้าวพระ ถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน แด่ภิกษุสามเณรผู้ประพฤติธรรม
รวมทุกบุญเป็นดวงบุญใสๆ ติดอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของเรา เป็นดวงบุญใสๆ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วใสๆ เหมือนกับเพชรใสๆ
ที่ต้องแสงสว่าง เหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แต่ว่าใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ให้นึกถึงดวงบุญนี้
อย่างเบาๆ สบายๆ แล้วก็ผ่อนคลาย ใจเย็นๆ
วางใจ
นำใจมาหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ
อยู่ที่กลางดวงบุญใสๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้ทำใจหยุดในหยุด นิ่งในนิ่ง นิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ผ่อนคลาย ใจเย็นๆ ฝึกตรงนี้ให้คล่อง ให้ชำนาญ
ในตำแหน่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
การไปเกิดมาเกิด
เริ่มต้นที่ฐานที่ ๗
ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เป็นตำแหน่งที่สำคัญสำหรับชีวิตของเรา เพราะตอนเรามาเกิดก็เริ่มต้นที่ตรงนี้
ตรงฐานที่ ๗ ของบิดา ตอนเราเป็นกายละเอียด เราเข้าทางปากช่องจมูกของบิดา หญิงซ้าย ชายขวา และก็ไปที่หัวตา
ตรงตำแหน่งที่น้ำตาไหล แล้วก็ไปกลางกั๊กศีรษะ เป็นฐานที่ ๓ แล้วก็เลื่อนมาเพดานปาก
ช่องปากที่อาหารสำลัก เป็นฐานที่ ๔ แล้วก็เลื่อนมาที่ปากช่องคอเหนือลูกกระเดือก เป็นฐานที่
๕ แล้วก็เลื่อนไประดับเดียวกับสะดือของเรา เรียกว่า ฐานที่ ๖ แล้วก็ถอยหลังยกสูงขึ้นมา
๒ นิ้วมือ เรียกว่า ฐานที่ ๗ เราเป็นกายละเอียด เราก็มาอยู่ที่ฐานที่ ๗ ของบิดาอย่างนี้
แล้วก็ดึงดูดให้ไปหามารดา
เพื่อประกอบธาตุธรรมส่วนหยาบห่อหุ้มกายละเอียดของเราเอาไว้ พอดึงดูดถูกส่วน ก็เคลื่อนจากฐานที่ ๗ ของบิดา ไปฐานที่
๖, ๕, ๔, ๓, ๒, ๑ ของบิดา แล้วก็เข้าทางปากช่องจมูกของมารดา
ไปตามฐานต่างๆ ไปอยู่ที่ฐานที่ ๗ ของมารดา ในเวลาเดียวกันกับที่ธาตุหยาบประกอบธาตุธรรมกันห่อหุ้มกายละเอียด
ใจของเราก็อยู่ที่ฐานที่ ๗ ด้วย และก็เคลื่อนออกจากครรภ์มารดามา
ตอนนี้เรามาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว
ชีวิตเดินทางไปสู่ความตาย ความตายก็เริ่มต้นจากตรงฐานที่ ๗ ของตัวเรา จะใจใสใจหมองก็ตรงนี้
ภาพบุญหรือบาปเกิดขึ้นก็ตรงนี้ คตินิมิตมืดหรือสว่างก็ตรงนี้ เพราะฉะนั้นฐานที่ ๗
นี้สำคัญสำหรับชีวิตของเรามากๆ ทั้งเกิด ดับ หลับ ตื่น ก็ตรงนี้ จะมีความสุข
ความบริสุทธิ์ ความรู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในธรรมก็ตรงนี้
เพราะฉะนั้น
หมั่นฝึกใจให้มาหยุดนิ่ง อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้ได้ตลอดเวลา ทั้งนั่ง นอน
ยืน เดิน ทุกกิจวัตรกิจกรรม เวลาทำมาหากินก็แบ่งออกไปข้างนอกสักครึ่งหนึ่ง
อีกครึ่งก็ชำเลืองดูศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ จนชำนาญ แล้วมันก็จะได้เกื้อกูลกัน เราก็จะมีความสุขในทุกสถานที่
ทุกหนทุกแห่ง จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ก็จะจากโลกนี้ไปอย่างผู้ที่มีชัยชนะ
อยู่ก็อยู่แบบผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แบบบัณฑิต แบบนักปราชญ์ในกาลก่อน
เขาก็อยู่กันอย่างนี้ จะดับทุกข์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะก็ตรงนี้
ฐานที่ ๗ แหล่งทับทวีบุญ
แม้จะทับทวีบุญของเราจากน้อยให้มามาก
จากมากให้มาเยอะๆ ก็ตรงนี้ บุญเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิตของเรา
ถ้าเราทำถูกหลักวิชชา บุญน้อยก็มาก บุญมากก็เยอะ ความสุขความสำเร็จของเราก็จะเยอะ ฐานที่
๗ ตรงนี้ มีความสำคัญมาก
เพราะฉะนั้น
ให้ลูกทุกคนนึกถึงบุญเอาไว้ให้ดีนะ เป็นดวงบุญใสๆ
ติดอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แล้วก็ทำใจให้หยุดในหยุด นิ่งในนิ่ง นุ่มๆ เบาๆ
สบายๆ ให้ใจใสๆ ใจเย็นๆ
ยิ่งหยุดยิ่งนิ่งใจก็ยิ่งถูกกลั่นให้บริสุทธิ์
ธาตุหยาบในตัวของเราก็จะถูกกลั่นตามไปด้วย
ปัญหาหรืออุปสรรคของชีวิต ทุกข์โศกโรคภัย ก็จะถูกกลั่นออกไปด้วย ถูกขจัดออกไปด้วย สิ่งที่เป็นมลทินอะไรต่างๆ
ของใจเรา หนักก็จะเป็นเบา เบาก็จะหาย ร้ายก็จะกลายเป็นดี จะมีสิ่งดีๆ
มาหาเราอย่างง่ายๆ
ถ้าเราทำอย่างถูกหลักวิชชา
จะเจอแต่คนดี จะได้แต่งานดี จะได้เงินเยอะๆ ดีๆ อย่างเย็นๆ และก็ได้ความสบายใจ
ความสุขกายสุขใจ คน งาน เงิน ความสบายใจก็จะบังเกิดขึ้น เมื่อใจของเราใสๆ ใจเย็นๆ
ใจหยุดใจนิ่งอยู่กลางดวงบุญใสๆ ต้องทำอย่างนี้นะ
ไม่ว่าเราจะไปทำหน้าที่เป็นผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตร
ไปตามผู้มีบุญนี่เขามาร่วมโครงการบุญทุกๆ
โครงการ เช่น โครงการอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน โครงการบวชพระธรรมทายาท
เราก็จะไปเจอแต่ผู้มีบุญมีบารมีที่อินทรีย์แก่กล้า ได้เข้ามาบวชมาสู่โครงการนี้
ต่างก็จะได้เกื้อกูลกัน ได้บุญได้บารมีไปด้วยกันทั้งสองฝ่ายแล้วก็จะได้อย่างง่ายๆ เพราะฉะนั้นตรงนี้สำคัญนะ
ฐานที่
๗ ที่หยุดใจของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย
ยิ่งหยุดยิ่งนิ่ง
ใจก็ยิ่งดิ่งเข้าไปสู่ภายใน กระทั่งไปถึงพระธรรมกายซึ่งเป็นตัวของเรา ที่จะพ้นจากการบังคับบัญชาของพญามาร
ค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระอรหันตสาวกทั้งหลาย ท่านก็กลั่นจิตกลั่นใจของท่าน
ด้วยการนำใจมาหยุดนิ่งอยู่ตรงนี้ จนกระทั่งเข้าถึงกายธรรม ตั้งแต่กายธรรมโคตรภู
กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกทาคามี กายธรรมพระอนาคามี และก็กายธรรมพระอรหันต์ เป็นพระอริยบุคคล จนกระทั่งหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในภพ ๓ ที่เวียนเกิดเวียนตายอย่างไม่รู้และไม่ปลอดภัยในชีวิต
ก็จะหลุดรอดไปสู่อายตนนิพพานได้
ถ้าจะมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรมก็จะอยู่อย่างเป็นสุข
แม้ยังตกเป็นเชลยที่พญามารยังบังคับบัญชาได้อยู่แต่ก็มีทางออก
จึงเปลี่ยนจากเชลยธรรมดาเป็นเชลยกิตติมศักดิ์
ที่นำใจมาหยุดอยู่ในตำแหน่งของผู้รู้เก่าแก่ที่เดินทางไปก่อนหน้านี้ แล้วเราก็จะได้เดินทางตามรอยมหาปูชนียาจารย์
ที่ท่านมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม เพราะภารกิจของท่านมาเพื่อปราบมาร
ถ้าเพื่อไปสู่อายตนนิพพานแบบภาคโปรดก็ไปได้อย่างง่ายๆ
นานแล้ว แต่ไม่ใช่ภารกิจพิเศษของท่าน แล้วก็ไม่ใช่มโนปณิธานอย่างนั้น แต่ก็จะอยู่อย่างเป็นสุขและก็ปลอดภัยในชีวิตที่ยังเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
จะท่องอยู่แค่ ๒ ภพภูมิ คือ มนุษย์กับดุสิตบุรี สวรรค์ชั้นดุสิต วงบุญพิเศษ เขตบรมโพธิสัตว์
ฉะนั้น ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ตรงนี้สำคัญนะ ต้องหมั่นศึกษา หมั่นฝึกฝน จนกระทั่งมีประสบการณ์ภายใน ให้คล่อง ให้ชำนาญ
แล้วก็ไปแนะนำกันต่อ ขยายความสว่างออกไปสู่เพื่อนมนุษย์ทุกเชื้อชาติ
ศาสนา และเผ่าพันธุ์ไปทั่วโลก นี่ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ฉะนั้นอันดับแรก เราก็ต้องจุดใจของเราให้สว่างเสียก่อน
แล้วจึงไปขยายความสว่างให้กับเพื่อนมนุษย์
เพราะฉะนั้น ในช่วงนี้
ให้ลูกทุกคนประกอบความเพียรให้กลั่นกล้าอย่างถูกหลักวิชชา ประคองใจไปเรื่อยๆ ด้วยการบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ
สัมมาอะระหังๆๆ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2565