เข้าถึงธรรมง่าย ถ้าใจปล่อยวาง
วันอาทิตย์ที่
๘
เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ (๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ ห้องแก้วสารพัดนึก
ปรับกาย
ตั้งใจนั่งหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกาย ทั้งเนื้อทั้งตัวให้รู้สึกสบาย
ปรับท่านั่งให้ถูกส่วน
ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี ให้เลือดลมในตัวเดินได้สะดวก จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย แล้วผ่อนคลาย
ต้องผ่อนคลาย
ต้องสบายๆ อย่าไปตั้งใจจนเกินไป อย่ามองข้ามการปิดเปลือกตา ต้องพอดีๆ ปรือตานิดๆ
อย่าไปบีบเปลือกตา ถ้าเราหลับตาเป็น ร่างกายจะผ่อนคลายไปเอง
ปรับใจด้วยการปล่อยวาง
แล้วทิ้งทุกอย่าง
ปล่อยวางทุกสิ่ง ในเรื่องราวของโลกภายนอก เรื่องคน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจ การงาน บ้านช่อง
การศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัว เราต้องปลด ต้องปล่อย ต้องวางจริงๆ
เข้ามาวัดแล้ว
มาตั้งใจปฏิบัติธรรมแล้ว ต้องทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่งจริงๆ ทำใจให้เกลี้ยงๆ
เหมือนไม่เคยเจอสิ่งเหล่านั้นมาก่อนเลย ใจต้องเกลี้ยงๆ ถึงจะกลับเข้าไปสู่ภายในได้อย่างง่ายๆ
ต้องฝึกบ่อยๆ ฝึกซ้ำๆ จะได้เกิดความคุ้นเคย แล้วชินไปในที่สุด
ต้องปล่อยวาง
เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นตายแล้วเอาไปไม่ได้จริงๆ เป็นแค่เครื่องอาศัยชั่วคราว พึ่งพาซึ่งกันและกัน
เราเกิดมาเพื่อหยุดนิ่ง
(ทำพระนิพพานให้แจ้ง)
ชีวิตจริงๆ
ของเราคือหยุดกับนิ่งเท่านั้น ที่เราเกิดมาแต่ละครั้งนี้ เพื่อทำใจให้หยุดให้นิ่ง
แต่ชีวิตจำเป็นจะต้องมีปัจจัย ๔ เพื่อหล่อเลี้ยงประคับประคองสังขารให้เป็นอยู่ได้เพื่อจะได้มาทำใจหยุดนิ่ง
เรามีเท่าที่จำเป็น เกินกว่านั้นก็เอามาสร้างบารมี
เอาบุญติดตัวไปในภพชาติเบื้องหน้า เปลี่ยนโลกียทรัพย์ให้เป็นอริยทรัพย์
เราต้องจับหลักของชีวิตให้ได้ว่า เราเกิดมาทำไม
อะไรคือเป้าหมายชีวิต และจะไปสู่เป้าหมายของชีวิตนั้นได้อย่างไร ตรงนี้สำคัญ
โดยศึกษาต้นแบบ
คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ถ้าพูดถึงการมีสิ่งภายนอก ท่านมีมากกว่าเราเยอะแยะ
แต่ท่านทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่งเลย ทั้งเรื่องรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อำนาจ วาสนา บริวารอะไรต่างๆ ในทางโลก ที่ชาวโลกจะพึงมี
ท่านมีมากกว่าใคร แต่ไม่อาลัยอาวรณ์ในสิ่งเหล่านั้นเลย กลับปลีกวิเวก เพื่อมาทำใจหยุดนิ่งแสวงหาหนทางพ้นทุกข์
เพราะชีวิตเป็นทุกข์
ทุกข์ที่เราเห็นได้ชัดเจน
ได้แก่ ทุกข์จากความแก่ ความเจ็บ ความตาย เราก็เห็นของคนอื่นเขา การพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก
ประสบสิ่งที่ไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
สิ่งแวดล้อมต่างๆ เหล่านั้นเป็นความทุกข์ทรมานของชีวิตทั้งนั้น
จะดับทุกข์ได้ต้องปล่อยวาง
อย่างน้อยค่อยๆ ปล่อยวางในช่วงที่เราจะได้เจริญสมาธิภาวนา ฝึกหัดปล่อยวางทีละเล็กทีละน้อย
ใจจะได้หยุดนิ่ง จะได้เข้าถึงเป้าหมายของชีวิต คือ การทำพระนิพพานให้แจ้ง
ตรงนี้สำคัญ การทำพระนิพพานให้แจ้ง หนทางไปสู่พระนิพพานอยู่ในตัวเรา ซึ่งเราได้ศึกษาเรียนรู้กันมาในระดับหนึ่งแล้ว
โดยเริ่มต้นหยุดใจที่กลางกาย ใจต้องหยุดให้ได้
ฝึกหยุดแรกให้ได้
หยุดแรกสำคัญมาก
ฝึกใจหยุดแรกให้ได้ ซึ่งเราต้องต่อสู้กับเรื่อง ความฟุ้งเป็นหลัก
ความง่วง ความอะไรต่างๆ เป็นเรื่องถัดๆ มา ความฟุ้งเป็นเพราะจิตของเราคุ้นเคยกับการนึกคิดในเรื่องภายนอก
จะยากตรงนี้นิดหนึ่ง แต่ยากไม่มาก ยากพอสู้ สู้ไม่ยาก แต่ต้องรู้หลักวิชชา
· การปล่อยวางช่วยได้เยอะ ฝึกให้ติดเป็นอุปนิสัย
· การผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ
· และนึกถึงสิ่งที่ทำให้ใจเราบริสุทธิ์สูงส่ง เช่น
เรื่องพระรัตนตรัย เรื่องพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
· หรือง่ายที่สุด คือ นึกถึงบุญที่เราได้สั่งสมมา
โดยเริ่มต้นจากบุญที่เรานึกครั้งใดก็เป็นปลื้มปีติสุขทุกครั้ง เริ่มต้นจากตรงนี้ก่อน
เวลาเราอยู่ตามลำพังที่บ้านก็นึกถึงเรื่องบุญ
บุญอะไรก็ได้ที่เรานึกทีไรปลื้มปีติสุขทุกครั้ง พอนึกภาพเหล่านั้นก็เกิดขึ้น ใจเราจะผ่องใส
บริสุทธิ์ พอใจผ่องใสก็จะนิ่งตั้งมั่นอยู่ภายใน แล้วมันจะไปดึงดูดบุญทุกๆ บุญที่เราทำผ่านมา
ที่นึกได้บ้าง นึกไม่ได้บ้าง จนกระทั่งถึงบุญข้ามภพข้ามชาติ จะดึงดูดมาซ้อนเป็นดวงบุญใสๆ
ติดอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
จะใสอย่างน้อยเหมือนน้ำใสๆ
หรือใสเหมือนกระจกใสๆ หรือใสเหมือนเพชรที่ต้องแสงใสๆ แต่ว่าเนียนตาละมุนใจ จะใสๆ
กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว งามไม่มีที่ติ จะสว่างเหมือนพระอาทิตย์ยามเที่ยงวันหรือยิ่งกว่านี้ ทั้งสว่าง ทั้งใส
ที่ทำให้เราเบิกบานใจ มีความสุข คือ กายจะเบา เหมือนจะเหาะจะลอยได้ ใจจะเบาละมุน นุ่มนวล
สุขในระดับที่ไม่อยากได้อะไรเลยที่เป็นวัตถุภายนอก อยากนิ่งๆ นุ่มๆ เฉยๆ อยู่ในกลางดวงใสๆ
อย่างนี้อย่างเดียว
อานิสงส์ของการปล่อยวาง
การที่ไม่อยากได้อะไรภายนอกนี่แหละ
ทำให้นิ่งนุ่มได้นานขึ้น ใจจะหลุดจากกายหยาบไปสู่ที่โล่งๆ ว่างๆ คล้ายๆ กลางอวกาศที่มีดวงใสๆ
ลอยอยู่ ยิ่งดู ยิ่งเพลิน ยิ่งมีปีติสุข แต่เป็นสุขที่ไม่ได้ตื่นเต้นแบบชาวโลกเข้าใจ
หรือที่เคยเจอ สุขแบบอิ่มๆ เฉยๆ ซึ่งเป็นเรื่องอัศจรรย์ใจทีเดียวว่า เฉยแล้วจะมีสุขได้อย่างไร
แล้วมันมาคู่กันได้อย่างไร ตรงนี้แหละที่จินตนาการไม่ออก ถ้าเข้าไปไม่ถึงในจุดนี้
มันสุขเฉยๆ จริงๆ คือใจมันนิ่ง ภาษาธรรมะเขาเรียกว่า อุเบกขา มันจะเกลี้ยงๆ กลางๆ
สุข อุเบกขา
ทำให้ใจเรายิ่งนิ่ง ยิ่งนุ่มๆ soft soft เบาๆ ละมุนละไมนานขึ้น จนถึงระดับที่ดวงที่เราเห็นห่างๆ
เคลื่อนเข้ามาใกล้ๆ เหมือนเราไปเอง และดวงมาเอง คือ เราเคลื่อนเข้าหาดวงโดยที่เราไม่รู้สึกตัวเลย
และดวงเคลื่อนมาหาเรา ไปเองมาเองอย่างนั้น ถ้าใจเราวางนิ่งถูกส่วน
ลูกๆ
ทุกคนทดลองนิ่งๆ นุ่มๆ นานๆ วางเบาๆ ต้องเบาๆ เดี๋ยวจะเคลื่อนเข้าไป
เราไปเองแล้วดวงมาเอง แล้วมาบรรจบกัน คือ เราจะเข้าไปอยู่ในกลางดวงนั้นเลย ใสบริสุทธิ์
มีความสุขมากทีเดียว
ภาวิตา
พหุลีกตา ทำบ่อยๆ เนืองๆ
ทำตรงนี้ให้คล่อง
ให้ชำนาญ ฝึกให้ซ้ำๆ ๆ ภาษาธรรมะเขาเรียกว่า ภาวิตา พหุลีกตา ทำบ่อยๆ เนืองๆ
จนกระทั่งติดใจ ใจติดแน่น นิ่งแน่นอย่างนุ่มนวล ให้รู้จักคำว่า นุ่มนวลและนิ่งแน่น
แน่นที่ไม่ได้อึดอัด นิ่งแน่นสนิทติดกันไปเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นดวงใสๆ เกลี้ยงๆ
ความเบิกบานก็เกิดขึ้น
พอเราคล่อง
เราชำนาญ เรานิ่ง ฝึกซ้ำๆ ๆ จะผ่านขั้นตอนนี้ไปเรื่อยๆ เข้าไปถึงสิ่งที่เราเคยได้ยินได้ฟังมา
มันจะเคลื่อนเข้าไปเอง หรือสิ่งนั้นเคลื่อนเข้ามา จนถึงจุดไปเองมาเอง นิ่ง
ความรู้สึกเรายิ่งหนาแน่นขึ้น อะไรๆ ก็ไม่อยากได้ มันเฉยๆ มันอยากอยู่ตรงนี้
พระที่ท่านปลีกวิเวกไปตามป่าตามเขา
ท่านนิ่งอย่างนี้อย่างเดียว ท่านถึงอยู่ได้ มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นสุข คือ ธรรมดวงนี้ทำให้ท่านอยู่เป็นสุขในระดับที่ไม่ต้องการอะไรอีกเลย
อยู่ตามลำพังได้ ทั้งๆ ที่เครื่องอำนวยความสะดวกไม่พร้อม แต่ก็ไม่ได้คำนึงถึง
เห็นดวงภายใน
ใจจะนิ่งแน่นอย่างนุ่มนวล
นิ่งเข้าไปเรื่อยๆ อยากศึกษาเรียนรู้เพิ่มขึ้น คือความรู้จะเพิ่มขึ้นไปเองเมื่อเรานิ่ง
ที่เขาเรียกว่า ภาวนามยปัญญา
เป็นความรู้ที่เกิดจากการเห็นแจ้ง ความรู้นี้เขาเรียกว่า รู้แจ้ง จะเห็นเป็นภาพ
เช่น ภาพดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุติ วิมุติญาณทัสนะ ที่เราได้ยินได้ฟังมาบ่อยๆ
จะเกิดขึ้นด้วยการเห็นแจ้งเป็นดวง
ดวงธรรมมาพร้อมกับความสุข
เป็นเครื่องอยู่เป็นสุข คือ อยู่ในดวงแล้วจะเป็นสุข แล้วรู้แจ้งว่า ดวงนี้ เรียกว่า
ดวงศีล
ทำไมถึงเรียกว่า ดวงศีล เราจะเข้าใจ จะแจ่มแจ้งเมื่อใจเราบริสุทธิ์จากสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอน
ตั้งแต่ให้เว้นจากการฆ่า การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การพูดปด การเว้นจากการสูบ
การเสพสิ่งมึนเมา เป็นต้น จะเห็นดวงศีล
ยิ่งบริสุทธิ์เพิ่มขึ้นดวงศีลยิ่งบริสุทธิ์เพิ่มในระดับเป็น
อธิศีล คือ เป็นศีลที่ยิ่งกว่าปกติที่เห็นได้
เข้าถึงได้ สัมผัสได้ แจ่มแจ้ง แล้วนำไปสู่พระนิพพาน ซึ่งเราจะเห็นดวงสมาธิ
ดวงปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ เห็นเอง มันจะไปเองมาเอง
เมื่อใจหยุดนิ่งแน่นอย่างนุ่มนวล
หลังจากที่เราทิ้งทุกอย่างปล่อยวางทุกสิ่งแล้ว
จะทำให้เราเข้าใจเพิ่มขึ้นด้วยว่า
อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ไม่เป็นสาระแก่นสาร คืออย่าไปผูกพันมากเกินไป
เอาพอดีๆ พอเป็นเครื่องอาศัย ถึงเวลาก็ตัดใจทิ้งเลย ใจจะได้นิ่งกลับเข้ามาสู่ภายในกระทั่งเคลื่อนเข้าไปถึงกายที่อยู่ข้างใน
เห็นกายในกาย
เมื่อเราหลุดจากกายหยาบไปแล้ว
จะเห็นตัวเองชัด ตั้งแต่เห็นห่างๆ เห็นใกล้ๆ กระทั่งกลืนเป็นเนื้อเดียวกันไปเลย จะเห็นเป็นชั้นๆ
เข้าไปเรื่อยๆ ความเข้าใจจะเพิ่มขึ้นไป เข้าใจเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
เป้าหมายของชีวิต ความหมายของชีวิตเพิ่มขึ้น มันจะนิ่งอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนไปถึงกายธรรม กายที่สำคัญที่สุด กายองค์พระใสๆ สว่าง สวยงามมาก
ชีวิต
๒๐๐ เปอร์เซ็นต์
ต้องฝึกซ้ำๆ ๆ ๆ ทุกวันทุกคืน ทั้งวันทั้งคืน ควบคู่กับการทำมาหากิน
ถ้าเราฝึกบ่อยๆ จะคล่อง คือ แม้ข้างนอกเคลื่อนไหว แต่ข้างในหยุดนิ่ง เช่น ถ้าเข้าถึงองค์พระ
จะเห็นองค์พระอยู่ภายใน แม้เราลืมตาทำกิจวัตรอะไรต่างๆ ทำมาค้าขายก็ยังเห็นอยู่ ชัดบ้าง
ชัดน้อยบ้าง ชัดมากบ้าง หรือชัดตลอดบ้าง ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน
ชีวิตของเราเป็นชีวิต
๒๐๐ เปอร์เซ็นต์ ที่แม้ยังข้องเกี่ยวอยู่กับโลก แต่ไม่ติดข้อง
ไม่เหมือนปลาอยู่ในข้อง ใจจะมีที่พึ่งอยู่ภายใน เวลาเราปล่อยวาง มันนิ่ง วึบเข้าไปข้างใน
องค์พระชัดใสแจ่มกระจ่างทีเดียว
พอถึงกายธรรมจะได้ศึกษาเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตที่จริงแท้ว่า
จริงๆ คืออะไร จะได้แจ่มแจ้งกว่าทุกๆ กายที่ผ่านมา เพราะมี ธัมมจักขุ ที่เห็นได้รอบตัวทุกทิศทุกทาง
น่าอัศจรรย์จริงๆ แจ่มแจ้งทีเดียว
ต้องฝึกให้ได้อย่างนี้
ฝึกไปเรื่อยๆ เวลาที่เหลืออยู่นี้ลูกลองฝึกดูนะจ๊ะ วางใจนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
เอาให้เข้าถึงยกชั้นกันเลย เดี๋ยวเราจะได้ศึกษาวิชชาธรรมกายร่วมกันได้
วิธีแก้กดลูกนัยน์ตา
ต้องสบายๆ
ต้องผ่อนคลาย ต้องใจเย็นๆ อย่าตั้งใจเกินไป ปรับให้พอดีๆ ถ้าเราเริ่มรู้สึกว่า
เรากดลูกนัยน์ตาไปดู ต้องพร้อมเสมอสำหรับการเริ่มต้นใหม่ คือ เผยอเปลือกตาขึ้นมานิดหนึ่ง
ปรือๆ แล้วเอาใหม่ ลองฝึกไปเรื่อยๆ ฝึกซ้ำๆ ๆ
ฝึกกันไปอย่างนี้
สักวันเราต้องยกชั้นให้ได้ในห้องนี้ ต้องเข้าถึงให้ได้ ขอให้ทำให้ถูกหลักวิชชา ทำอย่างง่ายๆ
ต้องง่ายๆ
ทำง่ายมากก็ได้ง่ายมาก ทำยากมากก็ได้ยากมาก
ไม่ว่าจะเป็น โลกียทรัพย์ หรือว่า อริยทรัพย์
ค่อยๆ
วางใจกันไป ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2565