ความลับของชีวิต
วันอาทิตย์ที่
๒๐
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔ (๑๓.๓๐ -
๑๕.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายของเรา
ทั้งเนื้อทั้งตัวให้มีความรู้สึกว่าสบาย ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี ปรับท่านั่งให้ถูกส่วน
ปรับใจ
ทำใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น สะอาด บริสุทธิ์ผ่องใส
ไร้กังวลในทุกสิ่ง ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง
วางใจ
รวมใจกลับเข้าไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
บริกรรมนิมิต
ให้นึกถึงบุญทุกบุญ ที่เราทำผ่านมานับภพนับชาติไม่ถ้วน
มาจนกระทั่งถึงปัจจุบันชาตินี้ มารวมเป็นดวงบุญใสๆ ติดอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว
แต่ว่าใสบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย
สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แต่ว่าใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ให้ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ
อย่างเบาๆ สบายๆ ใจเย็นๆ ทำใจให้หยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
บริกรรมภาวนา
จะประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา สัมมาอะระหัง ไปด้วยก็ได้
โดยให้เสียงของคำภาวนา ดังออกมาจากในกลางท้องของเรา กลางดวงบุญใสๆ ที่อยู่ในกลางท้องของเรา
สัมมาอะระหังๆๆ ประคองใจไปจนกว่าใจจะหยุดนิ่ง พอใจหยุดนิ่งจะทิ้งคำภาวนาไปเอง คือ คำภาวนา
สัมมาอะระหัง จะเลือนหายไป หรือเกิดความรู้สึกว่า เราไม่อยากจะภาวนาอีกต่อไป
ถ้ารู้สึกอย่างนี้ เราก็หยุดใจนิ่งอย่างเดียว เฉยๆ
เมื่อใดใจฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น เราจึงย้อนกลับมาภาวนา
สัมมาอะระหัง ใหม่ ประคองใจกันไปอย่างนี้ไปเรื่อยๆ พร้อมกับผ่อนคลาย หลับตาเบาๆ
พริ้มๆ อย่างสบายๆ ใจเย็นๆ
การนึกภาพ
นึกภาพได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นไปก่อน
จะนึกได้ชัดเจนแค่ ๕ เปอร์เซ็นต์ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ก็ไม่เป็นไร ให้รักษาระดับของใจที่ดูอย่างเฉยๆ
ได้ อย่างไม่รำคาญใจ ให้ดูเฉยๆ เรื่อยไป ไม่ต้องไปเน้นภาพ หรือเค้นภาพเพื่อจะให้ชัดได้ดั่งใจของเรา
ถ้าเราไปเน้น ไปเค้น ใจจะตึง ร่างกายจะเครียด
จิตจะหยาบ ผิดวิธีนะจ๊ะ วิธีที่ถูกคือ ต้องหยุดนิ่งเบาๆ เฉยๆ แม้ภาพจะรัวๆ รางๆ ก็ตาม
หรือไม่มีภาพก็ตาม ให้ทำใจว่างๆ นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ไปเรื่อยๆ ประคองใจไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวใจจะค่อยๆ ละเอียดไปเอง จะค่อยๆ นุ่มนวล นิ่งแน่น นิ่งได้นานๆ นิ่งอย่างนุ่มๆ
นานๆ
สภาวธรรมภายใน
เมื่อใจนิ่งแล้ว เราจะรู้สึกปลอดโปร่ง โล่ง
เบาสบาย ร่างกายของเราจะค่อยๆ กลืนไปกับบรรยากาศ ความรู้สึกที่ร่างกายจะค่อยๆ
หายไป เหมือนไม่มีร่างกาย เราก็ทำเฉยๆ นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ใจเย็นๆ ต่อไป นิ่งอย่างเดียว
ไม่ต้องไปทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ มีอะไรให้ดูก็ดูไป ดูไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ
โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น
เมื่อถึงสภาวะที่ใจโล่งแล้ว ใจโล่ง ตัวโล่ง
ว่างๆ ให้นิ่งอย่างเดียว ทำเฉยๆ เดี๋ยวใจจะเคลื่อนเข้าไปสู่ภายในเอง จะเห็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวของเรา
ซึ่งรอคอยเรามานาน ด้วยอาการที่สงบนิ่งอยู่ภายใน ไม่ว่าจะเป็นดวงธรรม กายในกาย
เขานั่งคอยเราอยู่ข้างในแล้ว เราแค่ทำใจให้หยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ แค่นั้น ใจจะค่อยๆ ละเอียด ค่อยๆ บริสุทธิ์ จนเห็นความบริสุทธิ์ได้เป็นดวงใสๆ
เห็นแสงแห่งความบริสุทธิ์ได้ เป็นแสงใสๆ เย็นๆ
แสงสว่างส่องทางชีวิตที่แท้จริงให้กับตัวของเราก็จะสว่างขึ้น
จะเห็นภาพภายในที่มาพร้อมกับความสุขอันไม่มีประมาณ ความสุข
ความบริสุทธิ์ของใจที่เกลี้ยงๆ ใจจะหยุดนิ่ง จะสบายอย่างที่เราไม่เคยเป็น และละเอียดลุ่มลึกไปเรื่อยๆ
เป็นความสุขที่เป็นอยู่ได้ในตัวของตัวเอง โดยไม่จำเป็นจะต้องอาศัยสิ่งภายนอก
สิ่งภายนอกก็มีแค่เท่าที่จำเป็นเท่านั้น แค่หล่อเลี้ยงสังขาร ไม่ว่าจะเป็นอาหาร
เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค อะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นต้น จะมีในระดับเท่าที่จำเป็น
พอดีๆ
ความลับของชีวิต
เมื่อใจเข้าถึงความสุขภายใน
จะเห็นคุณค่าของการเกิดมาเป็นมนุษย์ จะหวงแหนทุกอนุวินาทีเอาไว้เพื่อทำใจหยุดใจนิ่ง
เอาไว้เพื่อเดินทางเข้าไปสู่ภายใน ได้ศึกษาเรียนรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
ความลับของชีวิตจะถูกเปิดเผยขึ้นทีละน้อย เมื่อใจเราหยุดนิ่งเคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน
เห็นเป็นชั้นๆ เรื่อยๆ ไปเลย เห็นดวง เห็นกายสลับกันไปอย่างนี้ เข้าไปเรื่อยๆ เป็นชั้นๆ
เข้าไป
จะนำมาซึ่งความแจ่มแจ้งของชีวิต ความสุข
ความเพลิดเพลิน อารมณ์บันเทิงเกิดขึ้นตลอดเส้นทาง จนกระทั่งเข้าไปถึงพระธรรมกายในตัว
เห็นองค์พระชัดใส แจ่ม กระจ่างกลางกาย สวยงามมาก เกตุดอกบัวตูมใส เป็นกายแก้ว
กายที่ใสๆ เป็นกายตัวจริงของเรา กายเดิมแท้จะเป็นแก้วใสๆ
ไม่ได้เป็นเนื้อเป็นหนังอย่างที่เราเป็นในปัจจุบัน ไม่ได้แตกต่างเหมือนอย่างที่เราเห็นด้วยตาเนื้อ
เป็นกายแก้วที่สวย สว่าง มีอานุภาพแห่งการเห็นแจ้งและรู้แจ้ง
มีอานุภาพที่จะศึกษาวิชชาตั้งแต่วิชชา ๓ วิชชา ๘ วิชชาธรรมกาย เป็นต้น
เมื่อเข้าถึงกายธรรม
จะศึกษาเรียนรู้เรื่องราวของชีวิตของเราในปางก่อน ย้อนหลังไปตั้งแต่ก่อนมาเกิดมาจากไหน
มาอย่างไร มองไปเห็นไป เป็นเรื่องเป็นราวต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ
ยิ่งฝึกฝน ทำซ้ำๆ
จนชำนาญ ก็จะเห็นเรื่องราวต่อเนื่องไป เห็นเรื่องราวทั้งของตัวเอง ของผู้อื่น
เรื่องราวของภพภูมิต่างๆ วัตถุประสงค์ของชีวิต เกิดมาทำไม
อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต จะเห็นเป็นภาพเป็นเรื่องเป็นราว
เหมือนดูภาพยนตร์ส่วนตัวและส่วนรวม โดยมีจอเหมือนอวกาศโล่งๆ
ดูไปด้วยความสนุกสนานบุญบันเทิง
บางช่วงก็สลดใจในชีวิตที่ผ่านมา
ที่ถูกพญามารบังคับบัญชาให้ทำบาปอกุศลกรรม แล้วก็มีวิบากกรรมรองรับ บางช่วงจะมีปีติสุขหล่อเลี้ยงใจ
แต่ความสลดใจนั้นไม่ได้หมายถึงความทุกข์ใจ
สลดใจที่มีอารมณ์บันเทิงปนอยู่เป็นหลัก แต่จะสลดใจว่า เราแพ้พญามารเขา ถูกเขาบังคับบัญชา แต่ภาพที่เห็น ณ ตอนนั้น ใจจะเป็นสุข สุขปนสลด
เกิดธรรมสังเวช
ความไม่ประมาทในชีวิตจะเกิดขึ้น ความมุ่งมั่นที่จะไปสู่จุดหมายปลายทางของชีวิตจะหนักแน่นขึ้น
จะทำให้เราดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง ด้วยความสมัครใจ ด้วยความสุข สมัครใจที่จะดำเนินชีวิตให้ถูกต้องตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย มีชัยชนะ มีความสุข
ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับใจที่หยุดนิ่งดังกล่าวนี้เอง
เราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเราได้
จากผู้ไม่มีความรู้อะไรเลย ไปสู่ผู้ที่มีความรู้แจ้ง สามารถศึกษาเรียนรู้ได้ด้วยตัวของเราเอง ข้อมูลอะไรต่างๆ ของสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลาย อยู่ตรงกลางใจที่หยุดนิ่ง ยิ่งหยุดยิ่งนิ่ง ยิ่งดิ่งไม่หยุด ไม่ยั้ง เข้าไปสู่ภายในด้วยความสุข
เบิกบาน แช่มชื่น ใจจะใสๆ ทำให้ธาตุในตัวบริสุทธิ์ กายก็บริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์จะขยายออกมาสู่ภายนอก
เพราะฉะนั้น ให้ลูกทุกคนใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ประคองใจให้หยุดนิ่ง
นุ่มๆ เบาๆ ด้วยการตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ หรือตรึกนึกถึงองค์พระใสๆ
หยุดอยู่ในกลางองค์พระใสๆ อย่างเบาๆ สบายๆ ใจเย็นๆ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
นะจ๊ะ
วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2565