การบรรลุธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
วันอาทิตย์ที่ ๒๒
เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ (๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น.)
งานบุญพิธีถวายสังฆทาน ๒๐,๐๐๐ วัดทั่วประเทศ ในวันคุ้มครองโลก ณ ห้องแก้วสารพัดนึก
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ
ค่อนลูกพอสบายๆ คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา
ให้หลับตาพอสบายๆ แล้วก็ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดีนะจ๊ะ
ปรับใจ
ปรับท่านั่งของเราให้ถูกส่วนจะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย
ปรับท่านั่งให้ดี แล้วก็ปล่อยวาง คลายความผูกพันจากทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน
สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงานบ้านช่อง การศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัว หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันจากทุกๆ สิ่ง แล้วทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง
วันนี้เป็นวันที่สำคัญ
เราจะได้มาเอาบุญใหญ่จาก ๒ บิ๊กบุญ คือ บุญถวายมหาสังฆทาน ๒๐,๐๐๐ กว่าวัดทั่วประเทศ
ที่พระสังฆาธิการท่านมีเมตตามาเป็นเนื้อนาบุญให้กับพวกเรา ทั้งๆ ที่ท่านก็มีศาสนกิจมากมาย
บิ๊กบุญที่ ๒ คือ การหล่อรูปเหมือนพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระผู้ปราบมาร ด้วยทองคำ ๒
บิ๊กบุญนี้จึงเป็นบุญใหญ่ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ดังนั้น
ทั้งวันในวันนี้ลูกทุกคนจะต้องรักษากาย วาจา ใจ ของเราให้ใส ให้สะอาด
ให้บริสุทธิ์ปราศจากเรื่องกังวลใดๆ ทั้งสิ้น ปราศจากความขุ่นข้องหมองใจใดๆ ทั้งสิ้น
เพื่อบุญของเราจะได้ไม่หกไม่หล่น เพราะกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ไม่ใช่ของง่าย
เมื่อวันนี้มาถึงจะต้องตักตวงบุญให้เต็มที่นะลูกนะ
วางใจ
ให้รวมใจกลับเข้าไปสู่ภายใน
ไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเราในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า
เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท
จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม โดยสมมติว่า เราเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกัน
แล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสอง เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ประมาณนี้
เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุด
ความสำคัญของศูนย์กลางกายฐานที่
๗
สำหรับชีวิตของเราที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
มาพบพระพุทธศาสนา จะต้องรู้จักตำแหน่งนี้ให้ดี เพราะว่านอกจากเป็นตำแหน่งที่เป็นที่มาเกิด
เป็นที่ไปเกิด หรือที่ดับ คือที่ตายของเรา เป็นที่หลับ
เวลาเราหลับใจก็มาอยู่ที่ตรงนี้ แล้วก็เป็นที่ตื่น เกิด ดับ หลับ
ตื่นอยู่ที่ตรงนี้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ทั่วไป
ไม่ใช่เฉพาะเราอย่างเดียว
แต่ที่สำคัญกว่านี้ก็คือ
เป็นตำแหน่งเดียวกับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ไม่มีเว้นเลยแม้แต่พระองค์เดียว
เมื่อท่านสร้างบารมีได้เต็มเปี่ยมแล้ว บารมีจะส่งผลให้ท่านบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
การบรรลุธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พอถึงวันสำคัญของชีวิตท่าน
ใจท่านก็จะไม่ผูกพันต่อสิ่งใดเลย ท่านจะทิ้งทุกอย่างปล่อยวางทุกสิ่ง
แม้กระทั่งชีวิต อันเนื้อเลือดจะแห้งเหือดหายไป เหลือแต่กระดูกหนังช่างมัน
ถ้าไม่บรรลุพบหนทางที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานของชีวิต ก็จะไม่ลุกจากที่
จะยอมตาย แปลว่า ใจท่านไม่ผูกพันกับอะไรทั้งสิ้นเลย ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง
ธรรมชาติของใจที่ปล่อยวางได้อย่างนี้
ไม่ยึดมั่นถือมั่นผูกพันในสิ่งที่ไม่เป็นสาระแก่นสารของชีวิต ใจจะกลับมาหยุดนิ่งอยู่ตรงนี้
หยุดนิ่งไปเอง มาอยู่ตำแหน่งตรงนี้เอง ใจท่านจะหยุดนิ่งอย่างสบายๆ
เพราะไม่ผูกพันกับสิ่งใดๆ ทั้งสิ้นแล้ว จนกระทั่งใจถูกส่วน
พอใจถูกส่วนก็จะตกศูนย์กลับเข้าไปสู่ภายใน
เหมือนหล่นจากที่สูงลงไป เคลื่อนเข้าไปข้างใน ตกศูนย์ลงไป แล้วก็มีดวงธรรมลอยขึ้นมา
เป็นดวงธรรมที่มีอยู่ดั้งเดิมอยู่แล้ว แต่ถูกบดบังเอาไว้ พญามารดึงตรึงใจไปติดกับความทะยานอยากที่ไม่ได้ประกอบไปด้วยประโยชน์
ไม่ได้ประกอบไปด้วยดวงปัญญา ในเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ เป็นต้น
ด้วยความทะยานอยากใจจึงไม่หยุดนิ่ง เมื่อไม่หยุดก็ไม่ตกศูนย์
เพราะฉะนั้น
ใจของมหาบุรุษทั้งหลาย บรมโพธิสัตว์ เมื่อหยุดนิ่งถูกส่วนก็ตกศูนย์
แล้วก็มีดวงธรรมลอยขึ้นมาเป็นดวงใสๆ ใสประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย
จะใสกลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือยิ่งกว่านี้ แต่ว่าใสเย็นไม่จ้าตา
ไม่แสบตา คล้ายๆ พระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ แต่ใสเย็นละมุนละไมยิ่งกว่านั้น
อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวันหรือใหญ่กว่านี้ แล้วแต่กำลังบารมีที่สั่งสมมาไม่เท่ากัน
จะเป็นดวงใสๆ ปรากฏเกิดขึ้นเป็นธรรมดวงแรก ที่ท่านเรียกว่า
ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ของเราเรียกว่า ดวงปฐมมรรค
คือ ธรรมดวงแรกที่จะทำให้การเดินทางเข้าไปสู่เส้นทางพระอริยเจ้าที่เรียกว่า อริยมรรค
บังเกิดขึ้นได้
ธรรมดวงนี้ปรากฏเกิดขึ้นกับบรมโพธิสัตว์
นิ่ง สว่างไสวเจิดจ้า มาพร้อมกับความสุขความบริสุทธิ์ที่ไม่มีประมาณ ใจของท่านยังยิ่งแน่นอย่างนั้นไปเรื่อยๆ
นิ่งอย่างเดียว นิ่ง นุ่มเบาๆ
จนกระทั่งในที่สุดท่านก็ผ่านกลางธรรมดวงแรกเข้าไป
เห็นธรรมในธรรม คือดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุติ ดวงวิมุติญาณทัสนะ ซ้อนๆ
กันอยู่เป็นชุด ชุดละ ๖ ดวง และเชื่อมกับกายภายในที่มีอยู่ดั้งเดิม เป็นกายในกาย
กายภายในที่อยู่ในกายภายนอก คือ กายเนื้อของเรา และกายภายในที่อยู่ในกายภายใน
เช่น
กายมนุษย์ละเอียด ซ้อนอยู่ในกลาง กายมนุษย์หยาบ
กายทิพย์
ซ้อนอยู่ในกลาง กายมนุษย์ละเอียด
กายรูปพรหม
ซ้อนอยู่ในกลาง กายทิพย์
กายอรูปพรหม
ซ้อนอยู่ในกลาง กายรูปพรหม
กายธรรมโคตรภู
ซ้อนอยู่ในกลาง กายรูปพรหม
กายธรรมโสดาบัน
หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา ซ้อนอยู่ในกลาง กายธรรมโคตรภู
กายธรรมพระสกิทาคามี
หน้าตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา ซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมพระโสดาบัน
กายธรรมพระอนาคามี
หน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา ซ้อนอยู่ในกลาง กายธรรมพระสกิทาคามี
กายธรรมพระอรหัต
หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐วา ซ้อนอยู่ในกลาง กายธรรมพระอนาคามี
กายใหญ่ซ้อนอยู่ในกลางกายเล็ก
ซ้อนได้เพราะละเอียดกว่า บริสุทธิ์กว่า ประณีตกว่า ใสสว่างกว่า ซ้อนๆ กันอยู่เป็นชั้นๆ
เข้าไปตามลำดับ กระทั่งในที่สุดท่านก็ได้บรรลุกายธรรมพระอรหัตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นกายสุดท้าย
ทางมรรคผลนิพพานเขาทำกันแบบนี้
เขาเดินทางกันแบบนี้ เริ่มต้นจากใจที่หยุดนิ่ง นิ่ง นุ่มๆ เบาๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตำแหน่งตรงนี้จึงสำคัญมากๆ ทีเดียว
เมื่อเห็นธรรมดวงแรก ไม่ช้าก็เห็นพระตถาคตเจ้าที่อยู่ภายใน
คือ พระธรรมกาย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับพระวักกลิว่า
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระตถาคตเจ้า ต้องเห็นธรรมดวงแรกดังกล่าวนี้ก่อน
ไม่ช้าก็จะเข้าถึงพระตถาคตเจ้า คือ ธรรมกาย ธมฺมกาโย อหํ อิติปิ ธรรมกาย คือ ตัวจริงของความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วพระองค์ก็มองเห็นตรวจตราดูว่า
มนุษย์ทุกคนในโลกก็มีอย่างนี้ จึงได้นำความรู้ที่พระองค์ได้บรรลุ ธรรมทั้งหลายที่พระองค์บรรลุนี้
มาถ่ายทอดสั่งสอนแก่ผู้มีบุญทั้งหลาย
ผู้ที่ฟังธรรมด้วยความเคารพ
ไตร่ตรองดูด้วยเหตุด้วยผล เห็นแล้วก็ปฏิบัติตามท่าน แล้วบรรลุตามท่านเรียกว่า เป็นพระสาวก
พระสาวก คือ ผู้ที่ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วนำมาไตร่ตรองและปฏิบัติตามจนกระทั่งบรรลุธรรมตามที่พระองค์ได้บรรลุ
พระองค์ทำอย่างไร พระสาวกก็ทำอย่างนั้น
พระองค์บรรลุอย่างไรพระสาวกก็บรรลุกันอย่างนั้น สิ่งนี้จึงได้ตกทอดเรื่อยมาจนกระทั่งถึงเราในปัจจุบันนี้
หล่อรูปเหมือนหลวงปู่
พระผู้ปราบมาร
วันนี้เป็นวันสำคัญ
ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธจะต้องดำเนินตามรอยตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อีกทั้งวันนี้เป็นวันสำคัญที่จะได้หล่อรูปเหมือนพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระผู้ปราบมาร
ที่ท่านได้สละชีวิตในกลางพรรษาที่ ๑๒ จนได้บรรลุธรรมกาย เป็นพยานในการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้หวนกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง
แล้วนำมาถ่ายทอดจนกระทั่งตกทอดถึงพวกเราในวันนี้
วันนี้จึงเป็นวันที่สำคัญทีเดียว
ให้ลูกทุกคนรวมใจให้หยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ดังกล่าว
เวลาที่เหลืออยู่นี้ ให้ตรึกนึกถึงดวงใสๆ ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ
หรือเราจะนึกถึงภาพพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย พระผู้ปราบมาร ไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ในกลางกาย กลางท้องของเราก็ได้
วันนี้เป็นวันที่จะหล่อรูปเหมือนของท่าน
ให้นึกถึงท่านอย่างเบาๆ สบายๆ ให้ได้ตลอดเวลาที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ ด้วยบริกรรมภาวนาว่า สัมมาอะระหัง ๆๆ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
นะจ๊ะ
ค่อยๆ
ประคองใจให้หยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ให้ใจใสๆ ใจเย็นๆ ประคองใจไปเบาๆ ต้องเบาๆ
ต้องผ่อนคลาย ต้องใจใสๆ ใจเย็นๆ
แล้วเราก็นึกน้อมเอาปัจจัยไทยธรรมที่เราได้นำมาร่วมบุญถวายมหาสังฆทาน ๒๐,๐๐๐
กว่าวัดทั่วประเทศก็ดี มาหล่อหลวงปู่ พระผู้ปราบมารก็ดี น้อมไว้กลางกายนะลูกนะ
ให้ใจนิ่งๆ นุ่มๆ เราจะต้องเอาบุญละเอียดชั้นหนึ่งก่อน
เพราะกว่าจะหาทรัพย์มาได้นี้มันลำบาก
จะต้องน้อมไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย
ที่ท่านดับขันธปรินิพพานนานมาแล้ว ถอดขันธ์ต่างๆ ออกเหลือแต่ธรรมขันธ์ของธรรมกายปรากฏอยู่นับพระองค์ไม่ถ้วนแล้วก็นึกน้อมไว้ในกลางกายให้ใจนิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
เราจะได้นึกอาราธนาในใจ
นึกถึงมหาปูชนียาจารย์ทุกท่าน มีพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระผู้ปราบมาร คุณยายอาจารย์
มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เป็นต้น และทีมงานพระเดชพระคุณหลวงปู่ที่ท่านเชี่ยวชาญในวิชชาธรรมกาย
อาราธนาให้ท่านน้อมนำไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า
พอเรานึกถึงท่าน ท่านก็นึกถึงเรา ท่านจะรวบเอาเราทั้งหมด ทั้งไทยธรรมไปไว้ในกลางพระธรรมกายของท่านที่ใหญ่โตมากๆ
ท่านจะนิ่งในนิ่งเข้าไปเรื่อยๆ
พอนิ่งมันก็จะวื้ดเข้าไปเลย ไปสว่างไสวอยู่ในอายตนนิพพานต่อๆ กันไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งสุดรู้สุดญาณของท่าน ไปต่อๆ กันเข้าไปเรื่อยๆ บุญก็เกิดขึ้นมากมายทีเดียวในกลางกายของเรา
ให้ใจเรานิ่งๆ นุ่มๆ ให้ใจใสๆ ไปเรื่อยๆ ให้นิ่งไปเรื่อยๆ
วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2565