สันติภาพโลกเริ่มต้นจากสันติสุขภายใน
วันศุกร์ที่
๑๘
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔ (๐๙.๐๐ -
๑๑.๐๐ น.)
วันมาฆบูชา ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ
พอสบายๆ คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่าไปกดลูกนัยน์ตา
ให้หลับตาพอสบายๆ เหมือนเราปรือๆ ตา ไม่ถึงกับเปลือกตาปิดสนิท ปรือๆ ตานิดๆ
แล้วก็ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั้งเนื้อทั้งตัวของเราให้รู้สึกสบาย
ตั้งแต่กล้ามเนื้อบนใบหน้า ศีรษะ ลำคอ บ่า ไหล่ แขนทั้งสองถึงปลายนิ้วมือให้ผ่อนคลาย
กล้ามเนื้อบริเวณลำตัว ขาทั้งสองถึงปลายนิ้วเท้าให้ผ่อนคลาย ผ่อนคลายทั้งเนื้อทั้งตัว
อย่าให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของเรามันตึง มันเกร็ง หรือมันเครียด
ปรับท่านั่งของเราให้ถูกส่วน ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดีๆ ให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆ
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันจากทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน สัตว์
สิ่งของ ธุรกิจ การงาน บ้านช่อง การศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัว หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้
ให้ปลด ให้ปล่อย
ให้วาง ให้คลายความผูกพัน ทำประหนึ่งว่า เราอยู่คนเดียวในโลก ให้ปลด ให้ปล่อย
ให้วาง ทำใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส
วางใจ
แล้วก็รวมใจกลับเข้าไปหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา
๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม
เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ โดยสมมติว่าเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกัน
และนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสอง สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่
๗
ความสำคัญของฐานที่
๗
ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เป็นตำแหน่งที่หยุดใจของเรา ที่สำคัญมาก เพราะนอกจากจะเป็นที่มาเกิด
เป็นที่ไปเกิด คือ ที่เกิดที่ตายของเราแล้ว ยังเป็นที่หลับและที่ตื่นของตัวเราด้วย
แต่ที่สำคัญศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เป็นตำแหน่งเดียวกับตำแหน่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์
นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน มาหยุดใจ หรือนำใจท่านมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
เมื่อท่านเห็นภัยในวัฏสงสาร ภัยในการเวียนว่ายตายเกิดในภพทั้งสามนี้
เมื่อท่านเห็นทุกข์โทษภัยของชีวิตในสังสารวัฏ
ท่านก็เบื่อหน่ายการเวียนว่ายตายเกิดในภพสามนี้
เพราะว่าชีวิตที่อยู่ในภพทั้งสามนี้ไม่ปลอดภัย เนื่องจากทุกชีวิตตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม
กฎแห่งการกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ
ล้วนมีผลทั้งสิ้น ไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตาม ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
ยังมีกฎของความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และอีกหลายๆ กฎเกณฑ์อีกมากมาย
ที่คอยบังคับบัญชาชีวิตในสังสารวัฏนี้อยู่ อีกทั้งมีธาตุปิดธาตุบังมาบังคับให้เราไม่รู้เรื่องความเป็นจริงเกี่ยวกับเรื่องชีวิตของเรา
ให้ชีวิตของเราเป็นความลับของเรา ของตัวเราเอง
เพราะเห็นภัยในชีวิตของการเวียนว่ายตายเกิดนี้
ท่านก็เบื่อหน่ายคลายความผูกพัน ใจท่านก็ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง
แล้วก็จะมาหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ อยู่ที่ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ ทุกพระองค์เลย
ไม่มีเว้นเลยแม้แต่พระองค์เดียว ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งท่านบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำใจหยุดนิ่งอย่างเดียว ตั้งแต่เบื้องต้นจนเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
สภาวธรรมภายใน
เมื่อใจหยุดนิ่งตรงนี้ได้ถูกส่วนแล้ว
ตรงฐานที่ ๗ ใจของท่านก็จะตกศูนย์กลับเข้าไปสู่ภายใน เหมือนหล่นจากที่สูงไปในกลางอวกาศที่โล่งๆ
แล้วก็จะมีดวงธรรมลอยขึ้นมา ดวงธรรมที่มีอยู่แล้วในตัวของพระองค์ท่าน
และมีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน
จะลอยขึ้นมาเป็นดวงใสๆ
กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว เหมือนฟองสบู่ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วใสบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิเลย สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แต่ว่าใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ
อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
หรือใหญ่กว่านั้น แล้วแต่ตามกำลังบารมีที่มีไม่เท่ากัน แต่ลักษณะของดวงกลมใสๆ
จะเหมือนกัน ความใสบริสุทธิ์อย่างน้อยก็เหมือนน้ำใสๆ เหมือนก้อนน้ำแข็งใสๆ
หรือคล้ายๆ กระจกใสๆ หรือเหมือนเพชรใสๆ หรือใสเกินกว่าความใสใดๆ ในโลก
ธรรมดวงนี้เป็นดวงแรก
ท่านเรียกว่า ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
หรือดวงปฐมมรรค คือ จุดเริ่มต้นที่จะไปสู่อายตนนิพพาน
จุดเริ่มต้นของทางสายกลางภายในที่จะทำให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะได้ ดับทุกข์ได้ เข้าถึงบรมสุขอันเป็นอมตะได้ จะเป็นดวงธรรมใสๆ
โดยมีจุดกึ่งกลางดวงใสๆ นั้นเป็นที่หมาย จะเป็นจุดเล็กๆ เป็นจุดศูนย์กลางที่อยู่ในกลางดวงกลมใสๆ
ไปในแนวดิ่งลงไป เป็นทางสายกลางเล็กๆ ประมาณปลายเข็ม อยู่กลางดวงปฐมมรรคใสๆ
ใจท่านก็นิ่งเรื่อยไปในกลางดวงนั้น
เพราะว่าใจท่านไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดแล้ว นิ่งอย่างเดียว พอถูกส่วนธรรมดวงนั้นก็จะขยายออก
แล้วก็เข้าถึงธรรมดวงถัดไป มีลักษณะกลมรอบตัวเหมือนกัน เรียกว่า ดวงศีล
ในกลางดวงศีลก็จะมีจุดสว่างเล็กๆ
ในทำนองเดียวกัน ขยายส่วนออกมา ที่บริสุทธิ์กว่า สว่างกว่า สุขมากกว่า เรียกว่า ดวงสมาธิ
ในกลางดวงสมาธิ
ท่านนิ่งอย่างเดียว หยุดใจนิ่งอย่างเดียวต่อไป ก็จะเห็นไปในทำนองเดียวกัน
แต่ว่าบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ใสสว่างกว่าเดิม เป็นดวงกลมใสๆ เรียกว่า ดวงปัญญา
ในกลางดวงปัญญาก็จะมีจุดเล็กๆ
ใสๆ เป็นจุดศูนย์กลาง เมื่อหยุดนิ่งถูกส่วนก็จะขยายออก เข้าถึงอีกดวงธรรมหนึ่ง
เรียกว่าดวงวิมุตติ
เมื่อใจท่านหยุดนิ่งอยู่ในกลางดวงวิมุตติ
ธรรมดวงนี้ก็จะขยายออก เข้าถึงอีกธรรม ธรรมอีกดวงหนึ่งที่มีลักษณะกลมรอบตัวเหมือนกัน
แต่ว่าใสบริสุทธิ์กว่าเรียกว่า ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
ทั้งหมด ๖ ดวงนี้
จะซ้อนๆ กันอยู่ภายในซึ่งกันและกัน โดยมีจุดศูนย์กลางกายตำแหน่งเดียวกัน แต่ความละเอียดและบริสุทธิ์ไม่เท่ากัน
ชุดหนึ่งมี ๖ ดวง มีอยู่ทุกคนในโลก เชื่อมให้เข้าถึงกายที่อยู่ภายใน คือ กายมนุษย์ละเอียด
กายมนุษย์ละเอียด
กายมนุษย์ละเอียด ในอิริยาบถของสมาธิ
หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา ท่านหญิงก็เหมือนกับท่านหญิง
ท่านชายก็เหมือนกับท่านชาย ลักษณะอ่อนเยาว์กว่ากายภายนอก อยู่ในวัยเจริญ ในอิริยาบถของสมาธิ
กายนี้มีอยู่แล้วในตัวของเรา ไม่ได้ไปทำให้มันมีขึ้นมา
เมื่อเวลาเรานอนหลับ
แล้วเราฝันไปเห็นเรื่องราวต่างๆ กายนี้แหละออกไปทำหน้าที่ เรียกว่า กายฝัน หรือ กายมนุษย์ละเอียด
เพราะมีลักษณะเหมือนกายมนุษย์หยาบคล้ายๆ กัน ต่างแต่ว่าละเอียดกว่า บริสุทธิ์กว่า
ในอิริยาบถของสมาธิ
เมื่อเราตื่นขึ้นมา
กายนี้ก็จะมาอยู่ตรงนี้ เวลาหลับก็ออกไปทำหน้าที่ฝัน แล้วก็เวลาเราจะไปเกิด หรือตายจากกายมนุษย์หยาบ
กายนี้ก็จะออกไปทำหน้าที่ไปเกิด
กายนี้มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน
แต่มนุษย์ทุกคนไม่รู้ว่ามีอยู่ เมื่อเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดนี้แล้ว ก็จะได้รับความรู้เพิ่มเติมขึ้นว่า
แต่เดิมเราเคยเข้าใจว่า กายมนุษย์หยาบภายนอกเป็นตัวจริงของเรา เป็นตัวเรา
แต่เมื่อเราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดนี้ ความเข้าใจก็เพิ่มขึ้นว่า กายมนุษย์หยาบภายนอกเหมือนบ้านเรือนให้กายมนุษย์ละเอียดภายใน
ชีวิตภายในนี้ได้อาศัยอยู่เพื่อสร้างบารมี
กายภายใน
จะมีกายต่างๆ
ที่ซ้อนๆ กันอยู่ข้างใน เป็นชั้นๆ เป็นชีวิตภายในที่บริสุทธิ์เพิ่มขึ้น
ละเอียดเพิ่มขึ้น ประเสริฐเพิ่มขึ้น ซ้อนๆ กันอยู่ กายที่ละเอียดกว่าจะซ้อนอยู่ในกลางกายที่หยาบกว่า
กายที่ละเอียดกว่าจะโตใหญ่กว่ากายที่หยาบกว่า
ซ้อนๆ กันอยู่ภายในซึ่งกันและกัน ถึง ๑๘ ชั้น เรียกว่า ๑๘ กาย ที่ซ้อนกันอยู่ภายใน
ในตัวของมนุษย์ทุกคน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านหยุดใจนิ่งอย่างนี้เรื่อยไป
ไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้
แล้วก็เห็นภาพภายในพร้อมกับความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้ง ก็บังเกิดขึ้น
ในกลางกายมนุษย์ละเอียดก็จะมีอีกกายหนึ่งซ้อนอยู่
ที่สวยงามกว่า เรียกว่า กายทิพย์
ในอิริยาบถเดียวกันหมดทุกกาย คือสมาธิ หันหน้าออกไปทางเดียวกันหมดเลย
กายทิพย์ก็จะมีเครื่องประดับที่สวยงามมาก ซ้อนๆ กันอยู่
ในกลางกายทิพย์หยาบ
ก็มีกายทิพย์ละเอียดซ้อนอยู่
ในกลางกายทิพย์ละเอียด
ก็มีกายรูปพรหมซ้อนกันอยู่
ในกลางกายรูปพรหมหยาบ
ก็มีกายรูปพรหมละเอียดซ้อนอยู่ ซึ่งเป็นกายที่สวยงามกว่ากายทิพย์
ในกลางกายรูปพรหมละเอียด
ก็มีกายอรูปพรหมหยาบซ้อนอยู่
ในกลางกายอรูปพรหมหยาบ
ก็มีกายอรูปพรหมละเอียดซ้อนอยู่
จะซ้อนกันเป็นชั้นๆ
อย่างนี้ และเชื่อมด้วยดวงธรรม ๖ ดวง ในทำนองเดียวกัน ต่างแต่ว่าบริสุทธิ์เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
พระธรรมกาย
กายที่สำคัญ คือ กายธรรม
หรือ พระธรรมกาย ที่อยู่ภายใน เป็นกายองค์พระ ที่เราจำลองมาเป็นพระพุทธรูป
ลักษณะท่านสวยงามมาก
ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ มีเกตุเป็นดอกบัวตูม ตั้งอยู่บนจอมกระหม่อม
ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของกายมหาบุรุษ บนพระเศียรที่มีเส้นพระศก
หรือเส้นผมขดเวียนเป็นทักษิณาวัตร หมุนขวาตามเข็มนาฬิกา สวยงามมาก
กายนี้เป็นกายแก้ว
ที่มีธรรมจักขุและมีญาณทัสสนะ เห็นได้รอบตัว รู้ได้รอบตัว ในเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
ทั้งอดีต ทั้งปัจจุบัน และอนาคต เป็นสรณะ
ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของตัวเราและมวลมนุษยชาติ ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลาย
เรียกว่า
กายธรรม หรือ พระธรรมกาย มีตั้งแต่ กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดาบัน
กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี และกายธรรมพระอรหัตต์ ซ้อนๆ
กันอยู่เป็นชั้นๆ
กายธรรมนี้จะเหมือนกันทุกคนในโลก
ไม่ว่ากายภายนอกของแต่ละคนจะแตกต่างกันเพียงใดก็ตาม ในทุกเชื้อชาติ ศาสนา
และเผ่าพันธุ์ แต่สิ่งที่ไม่แตกต่างกันหรือเหมือนกันนั้น
เป็นชีวิตอยู่ภายในของร่างกายมนุษย์ทุกๆ คน
กายธรรมนี้เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของทุกคนในโลก
เป็นกายที่มีแต่ความสุขล้วนๆ ไม่มีความทุกข์เจือปนเลย เป็นอิสรภาพ
เป็นตัวของตัวเอง เป็นสุขที่เป็นนิรันดร มีแต่ความสุข ความบริสุทธิ์ ความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้ง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบรรลุเข้าถึงกายธรรมนี้แหละ
ตั้งแต่กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี
แล้วกระทั่งกายธรรมพระอรหัตตผล อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่โตใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ
บริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย มีแต่สุขอย่างเดียว
กายมนุษย์หยาบ กายมนุษย์ละเอียด
กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหมนั้นมีความแตกต่างกันไป เหมือนกันเพียงกายเดียว คือ กายธรรม
แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนทั่วโลกไม่ค่อยจะรู้จักกัน เพราะว่าใจไปติดอยู่ในเรื่องโลกภายนอก เรื่องธุรกิจการงาน
บ้านช่อง เรื่องอะไรต่ออะไรสารพัด ใจจึงหลุดจากตำแหน่งที่ตั้งดั้งเดิม คือ ศูนย์กลางกายฐานที่
๗
ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ
พระองค์ท่านตรัสรู้ธรรม หลุดจากตรงนี้ไป ชีวิตจึงมีแต่ความทุกข์ทรมาน
ไม่เคยเจอความสุขเลย มีแต่ทุกข์น้อยหรือทุกข์มาก ทุกข์พอทนได้บ้าง ทนไม่ได้บ้าง
แล้วก็หาทางผ่อนคลายความทุกข์ตามรสนิยม หรือความเข้าใจของตัวเอง
สันติภาพโลกเริ่มต้นจากสันติสุขภายใน
ความแตกต่างภายนอกทำให้เกิดความขัดแย้ง
แล้วก็ทะเลาะเบาะแว้งกันตลอด มนุษย์สนใจแต่ความแตกต่างซึ่งกันและกัน แต่ไม่ได้ให้ความสนใจในความไม่แตกต่างกันเลย
เพราะไม่รู้จักว่า ความไม่แตกต่างกันนั้นมีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน คือ พระธรรมกายในตัว
ซึ่งท่านสิงสถิตอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ จะเข้าถึงท่านได้ก็ด้วยการนำใจกลับมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้เท่านั้น
เมื่อมนุษย์เข้าถึงความไม่แตกต่างกันตรงนี้
ความสุข ความบริสุทธิ์ก็เกิดขึ้น
ความรักและปรารถนาดีซึ่งกันและกันก็จะบังเกิดขึ้นในโลก สันติภาพของโลกจะต้องเริ่มต้นจากสันติสุขภายใน
ที่มาจากกายธรรม ซึ่งไม่มีความแตกต่างกันเลย
ต้องเข้าไปถึงกายผู้รู้
ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว ที่มีลักษณะเหมือนกันทุกอย่าง วันใดที่มวลมนุษยชาตินำใจกลับมาหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ตรงนี้ และเข้าถึงกายธรรมดังกล่าว สันติสุขอันไพบูลย์ก็จะบังเกิดขึ้นในโลกนี้
ความรักและการรู้จักแบ่งปันซึ่งกันและกันก็จะบังเกิดขึ้น การแก่งแย่งชิงดีกัน
ทะเลาะเบาะแว้งกันก็จะหมดไป จะเข้าถึงยุคแห่งความเป็นอริยะ
วันนี้ลูกทุกคนผู้มีบุญ
ได้มาชุมนุมกันในมหาสมาคม โดยปรารภเหตุวันมาฆบูชา เช่นเดียวกับเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี
ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประชุมพระอรหันต์สาวกโดยไม่ได้นัดหมาย ๑,๒๕๐ รูป
เพื่อประทานโอวาทปาฏิโมกข์ให้เป็นต้นแบบในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังมวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ก็ให้ลูกทุกคนถือโอกาสในวันนี้
ทำกาย วาจา ใจ ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ด้วยการหยุดใจนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ตรงนี้ หยุดนิ่งอย่างเดียว อย่างสบายๆ ด้วยการกำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ เป็น Landmark ของใจ เป็นเครื่องหมายที่หยุดใจให้รู้ว่า นี่คือ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม
บริกรรมนิมิต
บริกรรมภาวนา
ให้กำหนดเครื่องหมายเป็นดวงใสๆ
หรือเพชรสักเม็ดหนึ่งที่ใสบริสุทธิ์ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว อยู่ในบริเวณกลางท้องของเรา
ที่เรามั่นใจว่าตำแหน่งตรงกับตำแหน่งฐานที่ ๗ อย่างเบาๆ สบายๆ และก็ผ่อนคลาย
พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่ง นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ด้วยบริกรรมภาวนาในใจว่า สัมมาอะระหังๆๆ
ทุกครั้งที่ภาวนา สัมมาอะระหัง
จะต้องไม่ลืมตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ อย่างเบาๆ สบายๆ ใจเย็นๆ
ประคองใจไปจนกว่าใจจะหยุดนิ่ง
เช้านี้อากาศกำลังสดชื่น
แจ่มใส เย็นสบาย เหมาะสมที่ลูกทุกคนผู้มีบุญจะได้ประกอบความเพียรให้กลั่นกล้า
ให้ถูกหลักวิชชา ก็ให้ตั้งใจประคับประคองใจกันไป ตรึกนึกถึงดวงใส
ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา สัมมาอะระหังๆๆ เรื่อยไป
ขอให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจ
ให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2565