คุ้มครองโลกอย่างถูกหลักวิชชา
วันศุกร์ที่ ๒๒ เมษายน
พ.ศ. ๒๕๕๔ (๐๙.๐๐ -
๑๑.๐๐ น.)
วันคุ้มครองโลก / ฉลองชัยปิดเจดีย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้ แน่แน่ว ให้มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ
โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวา
จรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตัก พอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ
ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา ให้หลับตาพริ้มๆ
เหมือนเราปรือๆ ตา ไม่ถึงกับเปลือกตาปิดสนิท
แล้วก็ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายของเรา
ตั้งแต่กล้ามเนื้อบนใบหน้า ศีรษะ ลำคอ บ่า ไหล่ แขนทั้งสอง ถึงปลายนิ้วมือ ให้ผ่อนคลาย
กล้ามเนื้อบริเวณลำตัว ขาทั้งสอง ถึงปลายนิ้วเท้า ให้ผ่อนคลาย
ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี ปรับท่านั่งให้ถูกส่วน
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันจากทุกสิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน บ้านช่อง การศึกษาเล่าเรียน
เรื่องครอบครัว หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง
ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง
เพราะวันนี้เราจะมาเอาบุญใหญ่ ฉลองชัย ปิดเจดีย์
ที่เราช่วยกันสถาปนามหาธรรมกายเจดีย์มา โดยใช้ระยะเวลาประมาณ ๑๗ ปี
วันนี้เป็นวันฉลองชัย ที่เราได้กราบอาราธนาพระมหาเถรานุเถระ พระสังฆาธิการ ทั้ง ๓๐,๐๐๐
กว่าวัดทั่วประเทศ อีกทั้งต่างประเทศด้วย ที่ท่านเมตตามาเป็นเนื้อนาบุญให้กับเรา
นอกเหนือจากปกติที่เรากราบอาราธนาท่านมาเป็นเนื้อนาบุญในวันคุ้มครองโลก
เป็นวาระพิเศษที่เราจะต้องร่วมกันฉลองชัยปิดเจดีย์
วันนี้เราจะต้องรักษากาย
วาจา ใจ ของเราให้ใส สะอาด บริสุทธิ์ จะได้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่ที่จะเกิดขึ้น
ซึ่งเราใช้เวลายาวนานด้วยความยากลำบาก
กว่าจะมาถึงวันนี้ บุญของเราต้องไม่หกไม่หล่น ต้องได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วก็จะต้องทับทวีขึ้นไปเรื่อยๆ
วางใจ
ให้ลูกทุกคน
ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง แล้วก็รวมใจกลับไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างเบาๆ สบายๆ
ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ โดยสมมติว่า
เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น แล้วก็นำมาขึงให้ตึง
จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง
ให้เส้นด้ายทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม
เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หรือจำง่ายๆ
ว่าอยู่ในบริเวณกลางท้อง ในระดับที่เรามั่นใจว่า อยู่เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่
๗
ความสำคัญของฐานที่ ๗
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่น
ของตัวเรา
จะมาเกิดไปเกิด ก็ต้องเริ่มต้นจากตรงนี้ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ทั้งของตัวเรา
ของบิดา มารดา รวมเป็นจุดเดียวกันตรงนี้ แม้เราจะละจากโลกนี้ไปแล้ว
ที่ตายของเราหรือที่ดับหมดอายุขัยของเราก็อยู่ที่ตรงนี้ อีกทั้งยังเป็นที่หลับ
หลับก็ตรงนี้ ตื่นก็ตรงนี้ เกิด ดับ หลับ ตื่น อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ตรงนี้นะจ๊ะ
นอกจากนี้ ยังเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน
เป็นทางหลุดทางพ้น จากกิเลสอาสวะ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์
ไม่มีเว้นเลย แม้แต่พระองค์เดียว เมื่อท่านทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง
โดยเห็นภัยในวัฏสงสาร ภัยการเวียนว่ายตายเกิด ว่าชีวิตที่เวียนว่ายตายเกิดนี้ไม่ปลอดภัย
ทั้งจากอบาย และภัยพิบัติต่างๆ เพราะทุกชีวิตตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม
กฎแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และก็กฎเกณฑ์ต่างๆ เป็นต้น มากมายทีเดียว
อีกทั้งยังไม่รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตด้วย
เพราะพญามารเอาธาตุปิดธาตุบังมาบังคับเอาไว้
จึงทำให้เราไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวของเราเอง ตรงนี้เป็นอันตรายสำหรับชีวิต
เมื่อท่านเห็นภัยในวัฏสงสารอย่างนี้
ท่านก็เบื่อหน่าย พอเบื่อหน่ายก็คลายความผูกพัน ใจท่านก็หลุดพ้นจากทุกสิ่งทุกอย่าง
แล้วก็กลับมาหยุดที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้
หยุดนิ่งอย่างเดียวตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งท่านบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันทุกพระองค์เลย
เพราะว่ามรรคผลนิพพานนั้นอยู่ในตัวของท่านและของเรา
แต่เราไม่รู้ว่ามี แต่ท่านปล่อยชีวิตนิ่งอย่างเดียว และก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และด้วยพระมหากรุณาสงสารสัตว์โลกทั้งหลาย
จึงนำความรู้นี้มาสั่งสอนอบรมให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย มีมนุษย์และเทวดาเป็นต้น
ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์
ก็จะได้บรรลุธรรมไปตามส่วนแห่งกำลังบุญของตัว เป็นพระอริยเจ้าก็มากมาย ตั้งแต่เป็นพระโสดาบัน
พระสกิทาคามี เป็นพระอนาคามี และเป็นพระอรหันต์
หรืออย่างน้อยก็เป็นผู้ที่ได้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว โคตรภูบุคคล คือ บุคคลที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งภายใน
พ้นความเป็นปุถุชน แต่ยังไม่เข้าข่ายความเป็นพระอริยเจ้า อยู่ระหว่างกึ่งกลาง
หย่อนลงมาก็เป็น ฌานลาภีบุคคล
ผู้เข้าถึงฌานสมาบัติ ทั้งรูปฌานและอรูปฌาน หย่อนกว่านั้นก็เป็น กัลยาณชน คนดีที่โลกต้องการ
ที่มีศีล ๕ เป็นปกติ มีศีล ๘ ในวันพระ เป็นต้น ก็ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่บังเกิดขึ้นจากภายในของพระองค์
สภาวธรรมภายใน
พระองค์ได้ตรัสคำว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระตถาคต”
ธรรมในเบื้องต้นจะบังเกิดขึ้น เมื่อใจหยุดนิ่ง อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งพอถูกส่วนก็ตกศูนย์กลับเข้าไปสู่ภายใน
แล้วก็มีดวงธรรมลอยขึ้นมา บังเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นดวงกลมๆ
รอบตัวเหมือนดวงแก้ว ใสบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย
อย่างน้อยก็ใสเหมือนน้ำใสๆ
เหมือนน้ำแข็งใสๆ บ้าง เหมือนกระจกคันฉ่องที่ส่องเงาหน้าบ้าง ใสเป็นเพชร
หรือยิ่งกว่านี้ อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ
อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
หรือใหญ่กว่านี้ แล้วแต่ตามกำลังบารมีที่มีไม่เท่ากัน
ปรากฏเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของพระองค์ท่าน
และท่านก็หยุดนิ่งอย่างเดียวในกลางธรรมดวงนี้
ธรรมดวงนี้พระเดชพระคุณหลวงปู่
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านเรียกว่า ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือ ดวงปฐมมรรค คือ มรรค หรือหนทางไปสู่อายตนนิพพาน
ได้บังเกิดขึ้นแล้ว
ปฐมมรรค
คือ ต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน หรือปากประตูสู่อายตนนิพพาน ในเส้นทางสายกลางภายใน ซึ่งเริ่มต้นที่จุดเล็กๆ
ใสๆ กลางดวงปฐมมรรค เป็นแนวดิ่งลงไปภายใน เป็นเส้นทางเอกสายเดียว
เป็นทางเดียวที่จะหลุดรอดพ้นจากเงื้อมมือของพญามาร
ที่เอากิเลสอาสวะมาบังคับบัญชาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้ตกไปเป็นบ่าวเป็นทาสของเขา
ความสุขเกินจินตนาการ จะรู้จักเมื่อใจหยุดนิ่ง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านหยุดนิ่งอย่างนี้
ก็เห็นธรรมเป็นดวงใสๆ ดังกล่าวแล้วพระองค์ก็ดำเนินจิตต่อไป ด้วยการหยุดนิ่งอยู่ในกลางดวงปฐมมรรค
หรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งมาพร้อมกับความสุขอันไม่เคยเจอมาก่อนเลย
ความสุขที่ไม่อาจจินตนาการได้ว่า มันมีลักษณะหรือเป็นอย่างไร เราไม่อาจจะจินตนาการได้
หรือใครไม่อาจจะจินตนาการได้ ได้ยินแต่ชื่อว่า ความสุข จะรู้จักต่อเมื่อใจหยุดนิ่ง
ได้เข้าถึง ภาพต่างๆ เราสามารถจินตนาการได้
แต่ความสุขไม่อาจจะจินตนาการได้ ต้องเข้าถึง
ความสุขนี้มาพร้อมกับดวงปฐมมรรคเท่านั้น
ไม่มาด้วยความคิดคำนึงหรือจินตนาการ จะไปสร้างอย่างไรก็ไม่เจอ และไม่มีภายนอกตัว
มีอยู่ภายในตัวเมื่อใจหยุดนิ่ง สมดังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงตรัสด้วยว่า
นัตถิ สันติปรัง สุขัง สุขยิ่งกว่าการหยุดนิ่งไม่มี
แปลว่า ถ้าไม่หยุดนิ่งแล้ว ไม่มีวันเจอความสุข
ดวงธรรม ๖ ดวง
ดวงปฐมมรรค มาพร้อมกับความสุข
ความบริสุทธิ์ ใจที่เกลี้ยงเกลาจากนิวรณ์ธรรม
จากที่คุ้นเคยกับความผูกพันกับกามฉันทะ ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์
ความโกรธ ขัดเคืองใจ ความพยาบาท ความสงสัยลังเลในเรื่องราวของพระรัตนตรัย
คำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องภพเรื่องชาติ เป็นต้น ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ใจ เซื่องซึม
อะไรต่างๆ หลุดพ้นหมด เกลี้ยงเกลา ใจจะใส บริสุทธิ์ และท่านก็นิ่งเข้าไปอย่างเดียว
พอถูกส่วนก็เข้าถึง
ดวงศีล ซึ่งซ้อนอยู่ภายในดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
หรือ ดวงปฐมมรรค ดวงศีลก็มีลักษณะกลมรอบตัวเหมือนกัน
แต่ว่าใส บริสุทธิ์กว่า จะรักษาศีลได้ต้องเห็นดวงศีลนี้ จึงจะรักษาได้อยู่
ศีลภายนอกนั้นบางทีก็ตกๆ หล่นๆ ขาดบ้าง พร่องบ้าง แต่ถ้าเข้าถึงดวงนี้แล้ว
จะรู้จักเนื้อหนังหรือคำว่าศีลนั้นเป็นอย่างไร
ใจท่านก็นิ่งอย่างเดียวในกลางดวงศีล
ก็เข้าถึง ดวงสมาธิ เป็นดวงใสๆ
ที่บริสุทธิ์เพิ่มขึ้น
ในกลางดวงสมาธิท่านก็เข้าถึงดวงปัญญา ที่ใสบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น
ในกลางดวงปัญญาท่านก็เข้าถึง
ดวงวิมุตติ
ในกลางดวงวิมุตติ
ท่านก็เข้าถึง ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
กายในกาย
ดวงธรรมในดวงธรรมทั้ง
๖ ดวง นี้ซ้อนกันอยู่ ที่เห็นธรรมในธรรม แล้วก็เชื่อมให้เข้าถึงกายในกาย ตั้งแต่กายที่ตกอยู่ในไตรลักษณ์
คือ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม ที่ยังมีสภาวะไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยังไม่ใช่ตัวจริงดั้งเดิมของเรา
ยังไม่ใช่ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง เพราะว่ายังตกอยู่ในไตรลักษณ์
ท่านก็นิ่งอย่างเดียวไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งเข้าถึงกายธรรม กายธรรมตรงนี้ มีลักษณะสวยงามมาก เกตุดอกบัวตูม
ประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ ในอิริยาบถสมาธิ
ไม่มีกิจที่จะทำแบบมนุษย์ทำ หรืออย่างที่เราได้เคยทำ อิริยาบถสมาธิอย่างเดียว
อยู่บนแผ่นฌาน กลมแบนใส หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวเรา
พอท่านเห็นท่านก็อุทานในใจว่า
อโห พุทโธ กายผู้รู้ ผู้ตื่น
ผู้เบิกบานแล้วเป็นอย่างนี้ ท่านก็ดำเนินจิตเข้าไปเรื่อยๆ นิ่งอย่างเดียว
กระทั่งเข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน
กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี และก็กายธรรมพระอรหัต หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐
วา เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
นั่นแหละคือกายของพระตถาคตเจ้าที่ใสบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ
ภพสิ้นแล้วกิจที่จะต้องทำยิ่งกว่านี้ก็ไม่มีอีกแล้ว การเวียนว่ายตายเกิดในภพทั้ง ๓
ไม่มีแล้ว เพราะตลอดเส้นทาง ท่านก็เห็นทั้งกิเลสอาสวะและก็เห็นมรรค
เป็นเครื่องฆ่ากิเลสขจัดกิเลสอาสวะ เป็นชั้นๆ กันเข้าไป
มรรคผลนิพพานเขาเดินกันอย่างนี้
เดินตามรอยพุทธองค์
ลูกทั้งหลาย ในวันนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นชาวพุทธ
เรามีบุญมาก จะต้องทำตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น
มรรคผลนิพพานก็มีอยู่ภายในตัวของเรา ไม่ได้อยู่ภายนอกตัว
ถ้าจะหาให้เจอก็ต้องหาเข้าไปสู่ภายใน โดยมีจุดเริ่มต้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ตรงนี้
เพราะฉะนั้น ลูกทุกคนก็ต้องเอาใจมาหยุด
นิ่ง นุ่ม เบาๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ สำหรับสมาชิกใหม่ ก็ให้กำหนดบริกรรมนิมิต หรือนึกภาพทางใจ
นึกถึงเพชรสักเม็ดหนึ่งใสๆ หรือก้อนน้ำแข็งใสๆ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว
ใหญ่ขนาดไหนก็ได้ อย่างเล็กขนาดแก้วตาของเราก็ได้ ดวงตาดำก็ได้
หรือจะโตกว่านี้ก็ได้ แล้วแต่เราถนัด ให้นึกอย่างเบาๆ สบายๆ ใจเย็นๆ
ให้ตรึกนึกถึงดวงใส
ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ในตำแหน่งที่เรามั่นใจว่า เป็นศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ในกลางท้องของเรา ระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือนะจ๊ะ
ต้องค่อยๆ นึก
นึกภาพทางใจ บริกรรมนิมิตนี้อย่างเบาๆ สบายๆ พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่ง
ด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ ว่า สัมมาอะระหังๆๆ ให้เสียงของคำภาวนา ดังออกมาจากในกลางท้องของเรา
ไม่ใช่ดังที่สมองนะจ๊ะ ให้ดังออกมาจากในกลางท้อง เป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน นุ่มนวล
ละมุนละไม คล้ายๆ กับดังมาจากแหล่งแห่งความบริสุทธิ์ แหล่งแห่งอานุภาพอันไม่มีประมาณ
ผ่านกลางกายของเรามาถึงฐานที่ ๗
คุ้มครองโลก อย่างถูกหลักวิชชา
ให้กลั่นจิต
กลั่นใจ กลั่นธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้ของเราให้ใสๆ ให้บริสุทธิ์จากมลทินของใจ
จากวิบากกรรม วิบากมาร อุปสรรคต่างๆ นานา ในชีวิต ทุกข์โศกโรคภัย
สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายให้ละลายหายสูญไปให้หมด และก็เหลือแต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ที่เราเห็นได้เป็นดวงใสๆ ถ้าลูกทำกันได้อย่างนี้ วันฉลองชัยปิดเจดีย์ในวันนี้
ซึ่งชาวโลกสมมติว่า เป็นวันคุ้มครองโลก โลกก็จะถูกคุ้มครองโดยธรรม ด้วยธรรมปฏิบัติที่เราได้ตั้งอกตั้งใจทำกันอย่างนี้
และเป็นการคุ้มครองโดยธรรมอย่างถูกหลักวิชชา
อีกทั้งจะทำให้กาย
วาจา ใจ ของลูกทุกคน ใส สะอาด บริสุทธิ์ เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่ ในทุกๆ
บุญที่จะบังเกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ว่าบุญจากการถวายไทยธรรมแด่พระมหาเถรานุเถระ
พระสังฆาธิการ ที่ท่านเมตตามาเป็นเนื้อนาบุญให้กับเรา หรือบุญที่จะเกิดจากการฉลองชัย
ที่เราได้ช่วยกันสถาปนามหาธรรมกายเจดีย์
บุญใหญ่นี้ก็จะเกิดขึ้นกับตัวของเราอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
และก็จะไปถึงแก่หมู่ญาติสนิทมิตรสหายสัมพันธชน บรรพบุรุษ บุพการี บิดามารดา ปู่ย่า
ตายาย ของเรา ไม่ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ หรือละจากโลกนี้ไปแล้ว
อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย สรรพสัตว์ทั้งหลายก็จะพลอยได้อานิสงส์แห่งบุญนี้
จากการประพฤติปฏิบัติธรรมของเรา อีกทั้งก่อนที่เราจะได้ถวายปัจจัย ๔
เป็นมหาทานบารมีในภาคเช้า ก็จะเป็นบุญใหญ่
กลั่นใจให้ใสก่อนสร้างมหาทานบารมี
ปัจจัย ๔
หรือทรัพย์สินเงินทองนี้ กว่าเราจะได้มาแต่ละบาทแต่ละสตางค์ ในยามนี้ มันยากมันลำบาก
แต่ว่าเรามีกุศลศรัทธา อยากจะสร้างมหาทานบารมีให้เป็นบุญใหญ่ติดตัวเราไป
เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิตของเรา
ทั้งในปัจจุบันชาติและภพชาติต่อไปในอนาคต ทุกภพทุกชาติตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม
เราก็จะต้องตั้งใจให้ดีนะ
เมื่อลูกทุกคนเข้าใจกันอย่างนี้ว่า ปัจจัยเป็นของหายาก ทำน้อยเราจะต้องได้บุญมาก ยิ่งเราทำมากก็ต้องได้บุญเยอะๆ จะถูกหลักวิชชา ใจก็ต้องใสๆ
จะต้องบริสุทธิ์
เพราะฉะนั้น ต่อจากนี้ไปเวลาที่เหลืออยู่
ก่อนที่เราจะได้สร้างมหาทานบารมี ตามรอยพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลาย ตามรอยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ
พระองค์ ให้ลูกทุกคนฝึกใจให้หยุดนิ่ง โดยการตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ
หรือใครที่นึกถึงองค์พระแก้วใสๆ ได้แล้ว เข้าถึงได้แล้ว ก็ตรึกนึกถึงองค์พระ ใสๆ
หยุดอยู่ในกลางองค์พระใสๆ พร้อมกับประคองใจ ด้วยบริกรรมภาวนา สัมมาอะระหังๆๆ
เรื่อยไป ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2565