เส้นทางมรรคผลนิพพาน
วันอาทิตย์ที่ ๑๐ เมษายน
พ.ศ. ๒๕๕๔ (๐๙.๐๐ -
๑๑.๐๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คน
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ
ค่อนลูก พอสบายๆ ไม่ถึงกับเปลือกตาปิดสนิท หลับตาพอสบายๆ พริ้มๆ อย่าไปบีบเปลือกตา
อย่ากดลูกนัยน์ตานะ หลับตานี่สำคัญ ต้องเบาๆ สบายๆ คล้ายๆ กับปรือๆ ตานิดๆ
ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย
ทั้งเนื้อทั้งตัวให้รู้สึกว่าสบาย ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี
ปรับท่านั่งให้ถูกส่วน ให้รู้สึกผ่อนคลาย และสบายจริงๆ
ปรับใจ
ทำใจของเราให้เบิกบาน
แช่มชื่น สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ปล่อย วาง คลายความผูกพันจากเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน บ้านช่อง
การศึกษาเล่าเรียน ครอบครัว หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง
วางใจ
รวมใจกลับมาหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า
เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท
จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ความสำคัญของ ฐานที่ ๗
ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เป็นตำแหน่งที่สำคัญมาก
เราจะต้องทำความรู้จักเอาไว้นะ สำหรับนักเรียนใหม่
สมาชิกใหม่ เพราะเป็นที่มาเกิด ที่ดับ ที่เราจะตายก็ตรงนี้ เกิด ดับ หลับ ตื่น ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
สำคัญคือ
เป็นต้นทางที่จะไปสู่อายตนนิพพาน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ท่านนำใจกลับมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
เมื่อท่านเบื่อหน่ายชีวิตในภพทั้ง ๓ ซึ่งเวียนเกิดเวียนตายมานับภพนับชาติไม่ถ้วน
เกิดบ่อยๆ
ก็เป็นทุกข์บ่อยๆ ทั้งทุกข์ประจำสังขาร หรือทุกข์ที่จรมา
อีกทั้งชีวิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ ไม่ปลอดภัย เพราะชีวิตต้องตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม
การกระทำทางกาย วาจา ใจ
เมื่อกิเลสบังคับให้สร้างกรรม
ก็มีวิบากของกรรม ทำให้เวียนว่ายตายเกิด บางครั้งก็พลัดไปในอบายบ้าง
เมื่อไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต ก็ไปสู่สุคติบ้าง ทุคติบ้าง ชีวิตก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จักจบสิ้น
วนเวียนอย่างผู้ไม่มีความรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
เมื่อท่านเบื่อหน่ายชีวิตในการเวียนว่ายตายเกิดว่าเป็นทุกข์
ล้วนมีภัย ไม่ปลอดภัย ท่านจึงแสวงหาหนทางพ้นทุกข์ เมื่อท่านทิ้งทุกอย่าง
ปล่อยวางทุกสิ่ง ใจก็ กลับมาหยุดนิ่งนุ่มๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ทุกพระองค์เหมือนกันหมด นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน
ใจจะต้องมาอยู่ในตำแหน่งนี้ เพราะเป็นตำแหน่งที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ของชีวิต
จากการเวียนว่ายตายเกิด หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ
ใจท่านจะนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
เส้นทางมรรคผลนิพพาน
พอถูกส่วนก็ตกศูนย์เข้าไปสู่ภายใน
มีธรรมดวงแรกลอยขึ้นมาปรากฏเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เป็นดวงกลมใสๆ เหมือนเพชรที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ
อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
หรือใหญ่กว่านี้ แล้วแต่ตามกำลังบารมีที่สั่งสมมาไม่เท่ากัน จะปรากฏเกิดขึ้นตรงฐานที่
๗
ใสบริสุทธิ์อย่างน้อยเหมือนน้ำใสๆ
เหมือนน้ำแข็งใสๆ หรือเหมือนกระจกใสๆ หรือเหมือนเพชรใสๆ หรือเกินความใสใดๆ ในโลก
ธรรมดวงนี้มาพร้อมกับความสุขที่ไม่มีประมาณ
ที่เรายอมรับว่าเป็นความสุข และท่านยอมรับว่ามีความสุข แตกต่างจากความสุขที่เคยเจอ
ไม่ว่าท่านจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ สมบูรณ์ไปด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ
ลาภ ยศ สรรเสริญ อานุภาพอะไรต่างๆ เหล่านั้น
ก็ยังไม่ให้ความสุขหรือความพึงพอใจได้เท่ากับที่ธรรมดวงแรกปรากฏขึ้น
จิตจะบริสุทธิ์ เกลี้ยงเกลาจากนิวรณ์ทั้งหลาย
จากกามฉันทะ เรื่องกาม โกรธ ความผูกพยาบาท
สงสัย หดหู่ใจ ความฟุ้ง อะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นต้น ใจจะใส มีความสุข สงบ สว่าง มาพร้อมกับดวงธรรมใสๆ
ธรรมดวงนี้ เรียกว่า
ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือ ดวงปฐมมรรค
คือหนทางเบื้องต้นที่จะไปสู่อายตนนิพพาน เกิดขึ้นเมื่อใจหยุดนิ่ง
เมื่อใจหยุดธรรมดวงนี้จะปรากฏเกิดขึ้น เป็นดวงใสๆ ใจท่านก็นิ่งอยู่ในกลางดวงใสๆ
นี้อย่างเดียว เห็นจุดสว่างกลางดวงใสๆ เหมือนเป็นจุดศูนย์กลาง ใจท่านก็จะนิ่งตรงกลางตรงนั้น
กลางดวงใสๆ
และท่านก็เคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน
การเดินทางภายในเริ่มเกิดขึ้น เห็นดวงธรรมในดวงธรรม เห็นดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา
ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ เป็นดวงธรรมใสๆ กลมรอบตัว ซ้อนอยู่ภายใน มันจะซ้อนๆ กันอยู่ เชื่อมให้เข้าไปถึงกายภายใน
ชีวิตภายในที่สลับซับซ้อนกัน เขาเรียกว่า กายในกาย เป็นชั้นๆ เข้าไป
ใจท่านนิ่งอย่างเดียว
ไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ จนกระทั่งเข้าถึงกายธรรม มีลักษณะสวยงามมาก เกตุดอกบัวตูม ในอิริยาบถสมาธิ
เป็นกายแก้วใสเหมือนเพชร ยิ่งกว่าเพชร ทั้งก้อนกายเป็นแก้ว เป็นเพชรใสๆ
ท่านถึงกับรำพึงออกมาว่า อโห พุทฺโธ นี่คือกายของผู้รู้ ผู้ตื่น
ผู้เบิกบานแล้ว ท่านก็นิ่งต่อไปในกลางกายธรรมนั้น เข้าถึงดวงธรรมภายในกลางกายธรรม ท่านถึงกับเปล่งอุทานว่า อโห ธมฺโม
นี่คือ ธรรมรัตนะ ท่านนิ่งต่อไปในกลางธรรมรัตนะ ก็เห็นกายธรรมละเอียดซ้อนอยู่ ท่านก็เปล่งอุทานว่า
อโห สงฺโฆ นี่คือ สังฆรัตนะ
ทั้ง ๓
เป็นแก้วทั้งนั้น แก้วที่สุกใสกว่าเพชรในโลกที่เราเคยเจอ รัตนะทั้ง ๓ พุทธรัตนะ
ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ซ้อนๆ กันอยู่ภายในกลางกายของท่าน ตรงศูนย์กลางกายฐานที่
๗
สังฆรัตนะซ้อนอยู่ในธรรมรัตนะ เป็นดวงใสๆ เป็นคลังแห่งความรอบรู้ทุกอย่าง
ธรรมรัตนะซ้อนอยู่ในกลางพุทธรัตนะ มีชื่อเรียกแตกต่างกันแต่ต้องไปด้วยกัน
พรากออกจากกันไม่ได้ เหมือนเพชรที่แววดี สีดี ความใส ความแข็งไปด้วยกัน รัตนะทั้ง
๓ นี้ คือที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
แล้วใจท่านก็นิ่งไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งบรรลุอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เข้าถึงกายธรรมสุดท้าย หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย กิเลสที่บังคับให้สร้างกรรม เมื่อสร้างกรรมก็มีวิบาก ผลแห่งกรรม
ทำให้เวียนว่ายตายเกิด
อาสวกิเลส หรือความโลภ
ความโกรธ ความหลง ความไม่รู้อะไรต่างๆ เหล่านี้ที่หมักดอง คือห่อหุ้ม แช่อิ่มอยู่
ตลอดระยะเวลายาวนานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ชีวิตถูกแช่อิ่มด้วยกิเลส ๓ ตระกูล คือ
ความโลภ ความโกรธ ความหลง และอวิชชา หลุดร่อนหมด
เมื่อท่านเข้าถึงกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
กายธรรมสุดท้าย สว่างไสว ภพท่านสิ้นแล้ว การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร
ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ หมดสิ้นไปเลย เพราะกิเลสที่ร้อยรัดเหนี่ยวรั้งตรึงติดไว้ในภพทั้ง
๓ ถูกขจัดไปด้วยมรรค จนกระทั่งแวบหายไปเลย
ผังแห่งการเวียนว่ายตายเกิดก็หมด
ภพชาติสิ้นแล้ว ที่จะเกิดในภพทั้ง ๓ หมดไป ที่สุดแห่งการประพฤติพรหมจรรย์ของท่าน มาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
บรรลุกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าภายในกายของพระองค์ ด้วยวิธีการนำใจมาหยุดนิ่งตรงนี้ฐานที่ ๗ ที่เดียว
ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทุกพระองค์ก็เป็นอย่างนี้
นิ่งอยู่ภายในกลางกายฐานที่ ๗
เป็นแนวดิ่งลงไปเลย และก็ขยายออกไปรอบตัวทุกทิศทุกทาง ใจยิ่งใส สะอาด บริสุทธิ์
หลุดพ้นเป็นชั้นๆๆๆ เข้าไป กิเลสถูกถอดออกเป็นชั้นๆๆ เข้าไป จะเห็นเป็นภาพเกิดขึ้นเป็นเรื่องราว เป็นภาพพร้อมกับความเข้าใจ
ถ้าภาษาบาลี ก็จักขุ
ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง บังเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ความสว่างนำมาซึ่งการเห็นแจ้ง
การเห็นแจ้งนำมาซึ่งการรู้แจ้ง ความรู้แจ้งเป็นวิชชา เช่น วิชชา ๓ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
การระลึกชาติได้ จุตูปปาตญาณ เห็นการเวียนว่ายตายเกิดสัตว์โลกทั้งหลายได้
เห็นภพภูมิต่างๆ เห็นกระทั่งอาสวักขยญาณ กิเลสความโลภ หน้าตาเป็นอย่างไร
ความโกรธเป็นอย่างไร
กิเลส ๓ ตระกูลมีรากเหง้า
คือ อวิชชา ธาตุปิดธาตุบังที่ไม่ให้รู้เห็น ลักษณะของอวิชชา ภาพเป็นอย่างไร
บังคับบัญชากันมาอย่างไรจะเห็น เห็นแล้วก็สามารถขจัดได้
เหมือนเราเห็นฝุ่นละอองหรือธุลีต่างๆ ที่เลอะเทอะบนโต๊ะ ตู้ เตียง ตั่ง แล้วเราสามารถทำความสะอาดสิ่งเหล่านั้นได้
กิเลสอาสวะก็เช่นเดียวกัน
มองเห็นได้ด้วยธรรมจักขุ คือ ดวงตาของพระธรรมกาย
เห็นได้รอบตัวทุกทิศทุกทาง ไม่มีอะไรที่จะสามารถมาบดบังหรือกำบังได้ เห็นไปได้รอบทิศ
ทุกทิศทุกทาง ณ ตำแหน่งเดียวกัน ญาณทัสสนะก็เกิดขึ้น
เห็นถึงไหน รู้แจ้งถึงนั่น อานุภาพก็เกิดขึ้นด้วย เห็นมรรคฆ่ากิเลสอย่างไร เช่น อรหัตมรรคที่ขจัดกิเลสขั้นสุดท้าย
เมื่อกิเลสในตัวของกายธรรมอรหัตมรรคหมด
ก็หลุดและพ้น เหมือนปลาที่หลุดจากข้อง หลุดและพ้นออกไปสู่ที่กว้าง ท่านเห็นกายธรรมอรหัตผลหลุดพ้นจากภพสาม
หลุดไปแล้วและก็พ้นด้วย และเห็นการพ้นจากกิเลสอาสวะที่บังคับบัญชา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ท่านเดินอย่างนี้
มรรคผลนิพพานเดินอย่างนี้
เรามีบุญมาก
ลูกทุกคนมีบุญมาก ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มาพบพระพุทธศาสนา
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้แจ้ง เห็นแจ้งแทงตลอดในธรรม ท่านนำมาถ่ายทอด อบรมสั่งสอนเรา ท่านทำอย่างไร
ก็ให้เราทำอย่างนั้น มีผู้บรรลุธรรม ตามท่านมากมาย และก็สืบทอดมาถึงพวกเรา
การวางใจ-บริกรรมภาวนา
วันนี้เป็นวันดี
อากาศกำลังสดชื่น เหมาะสมที่ลูกทุกคนผู้มีบุญ จะได้ประกอบความเพียรให้แกร่งกล้า
ให้ถูกหลักวิชชา เป็นพยานแห่งการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันตทั้งหลายว่า
มีจริง ดีจริง เพราะมรรคผลนิพพานอยู่ในตัว แม้เราจะยังไม่ถึงกับความเป็นพระอริยเจ้า
แต่ก็สามารถเข้าไปสู่ที่พึ่งที่ระลึก ที่อยู่ภายในตัวของเราได้
โดยนำใจกลับมาหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ในแง่ของการปฏิบัติจริงๆ
ก็อย่ากังวลจนเกินไปว่า เราจะนำใจมาตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ มันตรงเป๊ะไหม เอาประมาณว่า อยู่ในกลางท้อง
บริเวณที่เรามั่นใจว่าเป็นตำแหน่งที่เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
ให้กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมา เป็นภาพทางใจ เอาไว้เป็นที่ยึดเกาะของใจเรา
ทำเครื่องหมายแลนด์มาร์ค กำหนดไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นเครื่องหมายที่ใสสะอาดบริสุทธิ์
นึกถึงเพชรสักเม็ดหนึ่ง
หรือ ก้อนน้ำแข็งสักก้อนหนึ่งที่ใสๆ กลมรอบตัว โตแค่ไหนก็ได้
อย่างเล็กก็ขนาดแก้วตาของเรา กลมรอบตัว อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ค่อยๆ
ประคองใจให้หยุดนิ่ง ด้วยการตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ อย่างเบาๆ
สบายๆ ใจเย็นๆ พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่ง ด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ ว่า
สัมมาอะระหังๆๆ
ทุกครั้งที่ภาวนาสัมมาอะระหัง
จะต้องไม่ลืมตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ ประคองใจกันไปอย่างนี้
จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง เช้านี้อากาศกำลังแจ่มใส เย็นสบาย เหมาะสมที่ลูกทุกคนผู้มีบุญจะได้ประกอบความเพียรให้แกร่งกล้า
อย่างถูกหลักวิชา ให้ตั้งใจประคับประคองใจกันไป ขอให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจ
ในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ คน ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2565