หยุดนิ่งอย่างเดียว
วันอาทิตย์ที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖ (๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.)
ห้องแก้วสารพัดนึก วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย
ตั้งใจนั่งหลับตาเจริญสมาธิภาวนากัน
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย
ทั้งเนื้อทั้งตัวให้รู้สึกสบาย ปรับท่านั่งให้ถูกส่วน ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี
ให้เลือดลมในตัวเดินได้สะดวก จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย ปรับให้สบายทั้งร่างกายและจิตใจ
ต้องสบาย ต้องผ่อนคลาย
ปรับใจ-การวางใจ
ทำใจให้ใสๆ
ให้ใจเย็นๆ ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง คลายความผูกพันทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นคน
สัตว์ สิ่งของ หรืออะไรที่นอกเหนือจากนี้ก็ตาม
ให้ปลด
ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันทั้งหมด ทำเหมือนว่าเราอยู่คนเดียวในโลก
ให้ใจเกลี้ยงๆ ให้ใจใสๆ ใจเย็นๆ เป็นกลางๆ
ใช้เวลา
๑ หรือ ๒ นาที ปรับให้ใจเกลี้ยงๆ ไม่เกาะ ไม่เกี่ยว ไม่เหนี่ยว ไม่รั้งในเรื่องใดๆ
ไม่ว่าสุข ไม่ว่าทุกข์ ไม่ยินดียินร้ายอะไรทั้งสิ้น
การวางใจ
แล้วรวมใจกลับเข้าไปสู่ภายใน
ไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเราในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า
เราหยิบเส้นด้ายมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท
จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่
๗
ทางสายกลางของพระอริยเจ้า
หยุดนิ่งอย่างเดียว
ศูนย์กลางกาย
ฐานที่ ๗ เป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่น ของตัวเรา เป็น ตำแหน่งสำคัญที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน
ไม่มีเว้นเลยแม้แต่พระองค์เดียว เมื่อท่านปลดปล่อยวางทุกสิ่ง แม้กระทั่งชีวิตแล้วใจก็กลับมาสู่ภายใน
นิ่งอย่างเดียว ไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ หยุดใจอย่างเดียวตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งท่านบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นิ่งอย่างเดียวจนกระทั่งใจถูกส่วนก็ตกศูนย์เข้าไปสู่ภายใน
แล้วมีดวงธรรมลอยขึ้นมาเป็นดวงใสๆ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว ใสบริสุทธิ์เหมือนเพชรลูกที่เจียระไนแล้วไม่มีตำหนิเลย
อย่างเล็กขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
อย่างใหญ่ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือใหญ่กว่านี้ แล้วแต่เพราะบารมีไม่เท่ากัน
บารมีมากดวงก็ยิ่งใหญ่ ยิ่งใส ยิ่งสว่าง จะสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
แต่ว่าใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
ดวงนี้เรียกว่า
ดวงปฐมมรรค หรือ ดวงธัมมานุปัสนาสติปัฏฐาน เป็นธรรมดวงแรก
ท่านก็นิ่งอย่างนี้เรื่อยไป ไม่ได้ไปพิจารณาอะไร ไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนิ่งนี้
พิจารณาของท่าน คือ ดูเฉยๆ
สิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นเมื่อใจหยุดนิ่ง เพราะเมื่อท่านดูเฉยๆ
สิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวก็ปรากฏเกิดขึ้นมา แล้วก็ดึงดูดเข้าไปสู่ภายในเรื่อยๆ
ผ่านกายในกายเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปถึงพระธรรมกายในตัว เป็นองค์พระที่สวยงามมาก
ใสบริสุทธิ์ เกตุดอกบัวตูม อิริยาบถสมาธิ นิ่งอยู่บนแผ่นฌาน ที่ใสๆ ท่านนั่งนิ่งเรื่อยไป ดูเรื่อยไปอย่างสบายๆ
จนกระทั่งผ่านกายธรรมโคตรภู
กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี และก็กายธรรมพระอรหัต
ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พอนิ่งไปใจก็ตกศูนย์ไปเรื่อยๆ
ใจก็เป็นอิสรภาพไปเรื่อยๆ
อิสรภาพจากกิเลสอาสวะเพิ่มขึ้นก็บริสุทธิ์เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งหยุดยิ่งนิ่ง ยิ่งดิ่งไม่ยั้ง
ใจก็ยิ่งบริสุทธิ์ จนกระทั่งหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วท่านก็นำวิธีการที่ท่านได้บรรลุมาสั่งสอนพระสาวกเมื่อพระสาวกทำตามท่านก็ได้บรรลุธรรมตามท่าน
คือ บรรลุมรรคผลนิพพานตามท่าน ด้วยการหยุดกับนิ่งอย่างเดียว
ความทะยานอยากทำให้จิตไม่บริสุทธิ์
เราผู้มาในภายหลังต้องเดินตามรอยท่าน
โดยการฝึกใจให้หยุดให้นิ่ง เพราะว่า พญามารเอาความทะยานอยากตรึงใจเราไปติดกับสิ่งภายนอกมามากมายแล้ว
เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ค่อยจะคุ้นเคยกับใจที่หยุดนิ่ง
จนกระทั่งลืมไปเลยว่า มีสิ่งที่ดีที่ประเสริฐที่จะทำให้ชีวิตบริสุทธิ์บริบูรณ์สมความปรารถนาได้มีอยู่ในตัว
ความทะยานอยาก
ทำให้จิตไม่บริสุทธิ์ คือ อยากได้ อยากมี อยากเป็น เมื่อใจหยุดจากความอยากทั้งหลาย
นิ่งถูกส่วนก็ตกศูนย์ดังกล่าว หลุดพ้นเป็นอิสรภาพจากสิ่งเหล่านั้นที่พญามารเขาบังคับเอาไว้
จะเข้าถึงความสุขที่แท้จริง เข้าถึงความบริสุทธิ์ภายใน
เข้าถึงความเห็นแจ้งรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวง
หยุดจึงเป็นตัวสำเร็จให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน บรรลุธรรมได้
ตามที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ของเราท่านได้กล่าวเอาไว้
ฝึกหยุดแรกซ้ำๆ
ให้เราฝึกตรงนี้กันให้ได้
ฝึกหยุดฝึกนิ่งอย่างเบาๆ สบายๆ พอถูกส่วนใจก็จะหลุดจากสภาวะหยาบไปสู่สภาวะละเอียด
คือกายก็เบาขึ้น ใจก็เบาขึ้น ใสขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น โปร่ง โล่ง ว่างขึ้นไปเรื่อยๆ
จนกระทั่ง เหมือนร่างกายจะหายไปเลย เหลือแต่ใจที่นิ่งอย่างเดียว เมื่อความบริสุทธิ์กับความสบายสั่งสมมากเข้าจะเคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน
แล้วจะเห็นไปตามลำดับ
ฝึกหยุดแรกนี้ให้ได้เสียก่อน ฝึกซ้ำๆ ทำให้เป็นตรงนี้
บริกรรมนิมิต-บริกรรมภาวนา
ใครคุ้นเคยกับการวางใจนิ่งเฉยๆ
ใครจำเป็นจะต้องมีที่ยึดที่เกาะของใจก็กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจเป็นดวงใสๆ
หรือองค์พระแก้วใสๆ ขนาดไหนก็ได้
อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
แล้วก็ประคองใจอย่างสบายๆ
ประคองใจให้หยุดให้นิ่งด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ ว่า สัมมาอะระหังๆ ๆ
ทุกครั้งที่เราภาวนา
สัมมาอะระหัง เราจะต้องไม่ลืมตรึกนึกถึงดวงใส
ใจหยุดอยู่ที่กลางดวงใสๆ หรือองค์พระแก้วใสๆ
อย่างใดอย่างหนึ่ง สำหรับผู้ที่ถนัดในการนึกเป็นภาพ
เพื่อให้ใจมีที่ยึดที่เกาะ ไม่ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น เราก็ทำอย่างนี้
ส่วนใครถนัดนิ่งเฉยๆ ก็นิ่งอย่างเดียว เพราะตอนสุดท้ายสภาวธรรมของใจที่บริสุทธิ์ก็จะเหมือนกัน เมื่อตกศูนย์เข้าไปสู่ภายใน
ก็จะมีดวงใสๆ ลอยขึ้นมา ซึ่งแตกต่างจากดวงที่เรากำหนดเป็นบริกรรมนิมิต เพราะว่าจะมาทั้งความสุข
ความบริสุทธิ์ ความชัด ความใส ความสว่าง แล้วใจที่มีปีติสุขหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา
ให้กลั่นจิตกลั่นใจกันไปอย่างนี้นะจ๊ะ
วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2565