ธรรมกายคือเป้าหมายชีวิต
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖ (๑๓.๓๐ น.)
ห้องแก้วสารพัดนึก วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย ปรับใจ
ตั้งใจนั่งหลับตาเจริญสมาธิภาวนากัน หลับตาเบาๆ พอสบายๆ หลับตาเบาๆ
พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรา ทั้งเนื้อทั้งตัวให้รู้สึกสบาย ต้องสบาย
ต้องผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ตั้งแต่ศีรษะถึงพื้นเท้าเลย ทั้งเนื้อทั้งตัวให้รู้สึกสบาย
ผ่อนคลาย ทำใจให้ใสๆ ใจเย็นๆ ให้ใจใสๆ ใจเย็นๆ โดยทิ้งทุกอย่างปล่อยวางทุกสิ่ง
วางใจ
แล้วก็รวมใจกลับเข้าไปสู่ภายใน ไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ หรือจำง่ายๆ ว่าอยู่ในบริเวณกลางท้อง ในระดับที่เรามั่นใจว่า นี่คือศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญมากที่จะทำให้เราดับทุกข์ได้
เข้าถึงความสุขอันไม่มีประมาณได้ เข้าถึงต้นทางแห่งทางสายกลางภายในได้
เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน
เพราะฉะนั้นค่อยๆ ประคองใจของเราให้หยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
อย่าไปตั้งใจกันเกินไป ต้องผ่อนคลาย ต้องสบายๆ
ต้องใจใสๆ ใจเย็นๆ แตะใจไปเบาๆ ตรงกลางกาย แตะไปเบาๆ นะ
บริกรรมนิมิต
สำหรับผู้มาใหม่ก็กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ
ให้เป็นเครื่องหมายที่หยุดใจของเรา ที่จะให้ใจของเราไปยึดไปเกาะตรงนั้น
จะได้ไม่ซัดส่ายไปคิดเรื่องอื่น กำหนดเป็นดวงแก้วใสๆ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิเลย โตขนาดไหนแค่ไหนก็ได้ อย่างน้อยก็โตเท่ากับแก้วตาของเรา กำหนดก็คือ การนึกเบาๆ
อย่างสบายๆ คล้ายๆ กับที่เรานึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย
ที่เราไม่ต้องใช้ความพยายามในการนึก
ให้นึกไปอย่างนี้เรื่อยๆ เป็นดวงแก้วใสๆ กลมรอบตัว
สว่างเหมือนอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แต่ว่าใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
นึกเบาๆ สบายๆ พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ
ว่า สัมมาอะระหังๆๆ ทุกครั้งที่เราภาวนา จะต้องไม่ลืมตรึกนึกถึงดวงใส เอาใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ
อย่างเบาๆ สบายๆ
ส่วนใครคุ้นเคยกับการนึกถึงองค์พระแก้วใสๆ จะกำหนดนึกเป็นพระแก้วใสๆ
ก็ได้ พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ ว่าสัมมาอะระหังๆๆ ทำนองเดียวกัน
ใครคุ้นเคยแบบไหนให้ทำอย่างนั้น ประคองใจไปจนกว่าใจเราจะหยุดนิ่ง
จนไม่อยากจะภาวนาอีกต่อไป อยากหยุดใจนิ่งเฉยๆ เมื่อเกิดความรู้สึกอย่างนี้เราก็ไม่ต้องภาวนาสัมมาอะระหังอีกต่อไป
แต่ว่าเมื่อใดใจฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น เราจึงย้อนกลับมาภาวนาสัมมาอะระหังใหม่
เมื่อใจสู่สภาวะละเอียด
ประคองใจกันไปอย่างนี้จนกระทั่งใจของเราค่อยๆ
หลุดจากสภาวะหยาบไปสู่สภาวะละเอียด คือ ความรู้สึกข้างในมันกลวง จะโล่ง ว่าง โปร่ง
เบา สบาย มันหลุดออกมาจากหยาบ ถึงจุดที่สู่ที่โล่ง ที่กว้างๆ ที่ละเอียด
พอถึงตรงนี้เราไม่ต้องทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ นอกจากหยุดนิ่งเฉยๆ แตะใจไปเบาๆ
อย่างสบายๆ ใจก็จะละเอียดเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
จากตัวที่โล่ง โปร่ง เบา สบายน้อยๆ ก็จะมากขึ้น
มากขึ้นจนเราอยากจะหยุดนิ่งเฉยๆ ไม่อยากจะนึกจะคิดอะไร อยากนิ่งอย่างเดียว ก็ให้แตะใจไปเบาๆ
อย่างเดิมอย่างเดียวให้ใจชุ่มๆ ให้ใจใสๆ เดี๋ยวใจจะละเอียดเพิ่มขึ้นไปเอง
มันจะโล่งกว้างเพิ่มขึ้น จนกระทั่งร่างกายเราเหมือนกลืนไปกับบรรยากาศ กลืนไปเลย
เหมือนเราไม่มีตัวตน ไม่มีร่างกาย กายมันหายไป สำหรับผู้มาใหม่ก็อย่าไปตกใจ ทำเฉยๆ
เราทำถูกวิธีแล้วถึงเป็นอย่างนี้ แล้วก็นิ่งต่อไปอีก นิ่ง นุ่ม เบา สบาย ทำใจใสๆ
ใจเย็นๆ
ในช่วงขณะที่ความรู้สึกที่ร่างกายเราไม่มี มันหายไป นิ่งเข้าไปเรื่อยๆ
นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ความสบายของเราก็จะเพิ่มขึ้น หนาแน่นขึ้น
ความบริสุทธิ์ของใจก็จะมีมากขึ้น ใจจะใส ใจจะเย็นๆ
ให้อยู่กับสภาวะอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แม้ยังไม่มีอะไรมาให้เราดู ให้นิ่งเฉยๆ
ใจตกศูนย์ พบดวงธรรม
จนกระทั่งใจเราสั่งสมความบริสุทธิ์ได้เต็มที่ ใจวางถูกส่วน
ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป มันจะเคลื่อนตกศูนย์เข้าไปสู่ภายในเอง
จะไปเองเลยอย่างนุ่มๆ สบายๆ
แล้วคราวนี้เราก็จะเห็นดวงแก้วใสๆ ลอยขึ้นมา
ซึ่งแตกต่างจากดวงแรกที่เรากำหนด เป็นบริกรรมนิมิตมันจะกระด้าง แต่นี่จะนุ่มนวล
จะใส จะบริสุทธิ์ มาพร้อมกับความสุขอันไม่มีประมาณที่เราไม่เคยเจอมาก่อน
จะบังเกิดขึ้น ดวงใสๆ อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือใหญ่กว่านี้แล้วแต่ตามกำลังบารมีของเรา
แต่จะขนาดไหนก็ตามให้ใจเรานิ่งๆ อยู่ตรงนั้น ดูเฉยๆ
ไม่ต้องไปคิดอะไรเลย นิ่งนุ่มอย่างเดียว แตะใจไปเบาๆ อย่างเดียว อย่างสบายๆ
ต้องสบายๆ ใจต้องใสๆ ใจเย็นๆ ใจเกลี้ยงๆ จิตของเราก็จะบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น
จนกระทั่งดวงใสๆ ชัดแจ่มกระจ่าง เหมือนเรามองเห็นวัตถุภายนอก ยิ่งเราหยุด
เรานิ่งนุ่มเพิ่มขึ้นมากเท่าไร ความชัด ความใส ความสว่าง ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
จะชัดมากๆ มากกว่าที่เราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก มากกว่า ๒ เท่าบ้าง ๓ เท่าบ้าง หลายๆ
เท่า จนกระทั่งมากเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แจ่มกระจ่าง
ความสุขความบริสุทธิ์ก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
สิ่งที่เราจะต้องทำคือ หยุดนิ่งอย่างเดียวอย่างเดิม แตะใจไปเบาๆ
ฝึกซ้ำๆๆๆ ทำซ้ำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ให้คล่องให้ชำนาญในทุกอิริยาบถ จะนั่ง จะนอน
จะยืน จะเดิน จะทำอะไรก็แล้วแต่ ตรึกนิ่งกลางดวงใสๆ อย่างสบายๆ
ธรรมกายเป้าหมายชีวิต
ดวงนี้แหละสำคัญทีเดียว
เป็นธรรมดวงแรกที่ปรากฏเกิดขึ้นที่จะนำไปสู่ธรรมอันยิ่งใหญ่ ธรรมในธรรม จนกระทั่งถึงกายในกาย
กระทั่งถึงกายของพระตถาคตเจ้า คือพระธรรมกายที่อยู่ภายในตัวของเราได้
กายจะใสจะสวยงามมาก เกตุดอกบัวตูม ในอิริยาบถสมาธิ นิ่งอยู่ภายใน
หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา ก็จะเป็นไปตามขั้นตอน
โดยเริ่มต้นจากธรรมดวงแรกที่เป็นดวงใสๆ
เกิดมามีวัตถุประสงค์อย่างนี้ นอกนั้นก็เป็นส่วนประกอบของชีวิตในเรื่องการแสวงหาปัจจัย
๔ มาเพื่อหล่อเลี้ยงสังขาร มาสร้างบารมี แต่วัตถุประสงค์หลักของชีวิตที่เกิดมาแต่ละครั้ง
คือการทำพระนิพพานให้แจ้ง การเข้าถึงที่พึ่งที่ระลึกภายใน การได้ศึกษาวิชชา ๓,
วิชชา ๘ ประการ เป็นต้น เพื่อสลัดตนให้พ้นจากกองทุกข์ ความทุกข์ทรมานของชีวิต
เพื่อขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป เหลือแต่จิตที่บริสุทธิ์ที่อยู่ในกายที่บริสุทธิ์
คือพระธรรมกาย จนกระทั่งหลุดพ้นจากวัฏสงสาร พ้นจากสภาวะที่พญามารเขาบังคับบัญชาเรา
พ้นจากความไม่รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย
เมื่อจิตบริสุทธิ์เราจะเข้าถึงความเป็นผู้รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในธรรมต่างๆ
ในเรื่องราวต่างๆ นี่คือวัตถุประสงค์ของชีวิต คือการทำความบริสุทธิ์ของจิตเรา ใจเราให้ใสๆ
ให้บริสุทธิ์ในระดับนั้น จนกระทั่งเกิดธรรมจักขุ คือการเห็นได้รอบตัวทุกทิศทุกทาง
เห็นทั้งเรื่องราวในอดีตของเรา ปัจจุบัน และอนาคต มีญาณทัสนะบังเกิดขึ้น
คือเห็นแจ้งถึงไหนรู้แจ้งถึงนั่น ความรอบรู้ก็เกิดขึ้นที่เรียกว่าดวงปัญญา
วิชชาก็เกิด จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ก็จะบังเกิดขึ้น
นี่คือวัตถุประสงค์ของชีวิตที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นวัตถุประสงค์หลัก
นอกนั้นเป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดของชีวิต
วันมหาสงกรานต์
วันนี้เป็นวันดี
เป็นมหาสงกรานต์ที่เราสมมติว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย
เราก็จะต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเส้นทางธรรม ที่ดีอยู่แล้วต้องดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
ที่กำลังเพิ่งจะเริ่มต้นดีก็ทำให้ดียิ่งขึ้น
ปรับสภาวะชีวิตใหม่ให้ไปสู่ชีวิตอันประเสริฐในเส้นทางของพระอริยเจ้า
คือเส้นทางสายกลางภายใน ท่านทำอย่างไรเราต้องทำอย่างนั้น เมื่อเราทำอย่างท่าน
ท่านเป็นอย่างไรเราก็จะเป็นอย่างนั้น
ชีวิตที่ห่างไกลจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย มีแต่ความบริสุทธิ์บังเกิดขึ้น
เมื่อใจไม่ไปเกาะ ไปเกี่ยว ไปเหนี่ยว ไปรั้ง ในเรื่องราวที่พญามารส่งกิเลสเข้ามาบังคับให้เราคิด
พูดทำ แล้วจิตก็จะบริสุทธิ์ เพราะความไม่ไปเกาะ ไปเกี่ยว ไปเหนี่ยว ไปรั้ง
จนเห็นความบริสุทธิ์ได้ในตัวของเราเอง คือความสว่างของดวงจิต ความสว่างของใจ
ของเห็น จำ คิด รู้ ของเรา เป็นดวงใสๆ และนำไปสู่กายภายในที่ใสๆ
เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ
ชีวิตใหม่ของวันขึ้นปีใหม่ไทยควรจะเริ่มต้นจากที่ตรงนี้
คือตรงที่กลั่นจิตกลั่นใจเราให้ใส ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์
ด้วยการหยุดใจนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ดังกล่าวนี่แหละ จึงเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีและแตกต่างจากที่ผ่านๆ
มา และอีกทั้งใจของเราก็จะได้เป็นภาชนะเหมาะสมที่จะรองรับบุญที่จะเกิดจากการทำทาน
รักษาศีล และเจริญภาวนา เป็นต้น นี่เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตของเรา
เพราะฉะนั้น เวลาที่เหลืออยู่นี้ให้ลูกทุกคนแตะใจไปเบาๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ไปเรื่อยๆ นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบาย ให้ใจใสๆ ใจเย็นๆ
ที่เข้าถึงองค์พระแล้ว ก็แตะใจไปในกลางองค์พระ นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบาย
พอถูกส่วนองค์พระจะขยายใหญ่ขึ้น นอกจากขยายใหญ่ขึ้น
ยังมีองค์พระผุดผ่านมาอีกทีละองค์ ๒ องค์, ๓ องค์ อย่างต่อเนื่อง ที่ใสบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น
ศูนย์กลางกายของเราเป็นประดุจเส้นทางผ่านของพระอริยเจ้า ในเส้นทางสายกลางภายใน
ใจเราก็จะยิ่งมีความสุข มีความบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น ให้แตะใจกันไปอย่างนี้
ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2565