พระธรรมกายภายใน
วันอาทิตย์ที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ (๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย-ปรับใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรา ทั้งเนื้อทั้งตัวให้รู้สึกว่าสบาย
ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี ปรับท่านั่งให้ถูกส่วน
เราจะเสียเวลาตรงนี้สัก
๑ หรือ ๒ นาที เพราะว่าตรงนี้ถ้าทำถูกหลักวิชชาแล้วก็จะง่าย
ใจจะเข้าถึงสมาธิได้ง่าย หยุดนิ่งได้ง่าย เราก็ปรับทั้งร่างกายและจิตใจให้ผ่อนคลาย
ต้องผ่อนคลาย สบาย
วางใจ
แล้วก็นำใจน้อมกลับเข้าไปสู่ภายใน
ให้ไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ รวมใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ และก็ผ่อนคลาย ใจเย็นๆ
บริกรรมนิมิต-บริกรรมภาวนา
ให้ตรึกนึกถึงดวงใสอย่างเบาๆ
ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ อยู่ที่กลางดวงใสๆ เท่าที่เราจะนึกได้ นึกเบาๆ
สบายๆ ใจเย็นๆ ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ หรือตรึกนึกถึงองค์พระใสๆ ใจหยุดอยู่ในกลางองค์พระใสๆ
อย่างเบาๆ สบายๆ และก็ผ่อนคลาย ใจเย็นๆ
ต้องใจเย็นๆ
ประคองใจให้หยุดนิ่ง นุ่ม เบาสบาย ด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ ว่า สัมมาอะระหังๆ
จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง เมื่อใจหยุดนิ่ง มันก็จะทิ้งคำภาวนา สัมมาอะระหัง ไปเอง
ใจหยุดนิ่งถึงฝั่งแล้ว เหมือนเรือที่ถึงฝั่งแล้ว เราก็รักษาใจที่นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ
สบายๆ ต่อไปเรื่อยๆ
ฐานที่ ๗ เส้นทางพระอริยเจ้า
ตำแหน่งศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี้สำคัญนะลูกนะ
จะทำให้เราพ้นจากวิบากกรรมวิบากมารได้ง่าย เมื่อวิบากกรรมวิบากมารเริ่มจากตรงนี้
เราก็ต้องแก้ตรงนี้ ด้วยใจที่หยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ให้ใจใสๆ ใจเย็นๆ
เส้นทางสายกลางภายในที่เป็นแนวดิ่งลงไป
เป็นเส้นทางของพระอริยเจ้า ไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้า และแม้เป็นพระอริยเจ้าแล้ว ท่านก็ยังใช้เส้นทางนี้ไปเรื่อยๆ
หยุดนิ่งตลอดเส้นทาง
เพราะฉะนั้น เส้นทางนี้สำคัญ ต้องฝึกให้เข้าถึงให้ได้
ในทุกกิจวัตรกิจกรรม จะทำมาหากิน ทำมาค้าขาย ทำมาสร้างบารมี จะเรียนหนังสือหรืออะไรก็ตาม
ทั้งนั่งนอนยืนเดินฝึกให้ชำนาญ ให้ใจหยุดใจนิ่งให้ได้ หยุดนิ่งไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งถูกส่วน
ถ้าใจถูกส่วนก็จะเคลื่อนเข้าไปข้างใน
จะตกศูนย์เข้าไปข้างใน จากที่แคบไปสู่ที่โล่งกว้าง คล้ายหล่นจากที่สูงก็มี สู่กลางที่โล่งกว้างก็มี
อย่างละมุนละไมนุ่มนวลก็มี อย่างฉุกละหุกพรวดพราดอย่างนี้ก็มี
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ต้องเฉยๆ แม้ผู้ฝึกใหม่
ฝึกไปแล้วพอใจหยุดนิ่ง แล้วเรามีความรู้สึกเหมือนจะหล่นลงไป ก็ไม่ต้องตกใจ
ให้หลับตาเอาไว้ อย่าลืมตา อย่าขยับตัว แล้วก็ไม่ต้องกลัวอะไร เป็นเรื่องปกติเมื่อใจหยุดนิ่ง
ใจก็จะกลั่นตัวเองให้ใสบริสุทธิ์ จนหลุดจากสภาวะหยาบ เข้าสู่สภาวะละเอียดอีกมิติหนึ่ง
ซึ่งเราไม่คุ้นเคย บ้างก็เห็นเป็นท่อกลวงๆ เป็นอุโมงค์บ้าง
จะเป็นอย่างไรก็ตาม อย่างนี้
หรือนอกเหนือจากนี้ สิ่งที่เราจะทำ ให้ทำเฉยๆ หยุดนิ่งเรื่อยไป
ไม่ยึดเหนี่ยวในอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น เป็นกลางๆ นิ่งๆ นุ่มๆ อย่างสบายๆ
ใจก็จะได้เดินทางต่อไปอีก
จนกระทั่งถึงจุดที่หยุดนิ่งได้อย่างสมบูรณ์ ก็จะมีดวงธรรมลอยขึ้นมา
เป็นดวงใสๆ เหมือนอย่างเรื่องราวของเด็กเมื่อคืนนี้ เริ่มต้นจากการนึกถึงผลส้มที่กลางท้อง
พอถูกส่วนก็เห็นดวงใสๆ ลอยขึ้นมาทีละดวงๆ จนครบ ๖ ดวง มาพร้อมกับความสุข
ความบริสุทธิ์ เธอก็ยังเห็นอย่างนี้ เพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวเธอและของทุกๆ คน
หลังจากนั้นก็เห็นองค์พระใสๆ ที่มีอยู่แล้ว ก็ปรากฏเกิดขึ้นเอง
เพราะฉะนั้น
เราก็ให้ทำใจหยุดนิ่งอย่างเดียว ดังคำที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรา ท่านได้กล่าวเอาไว้
ฟ้าจะถล่ม แผ่นดินจะทลาย คอขาดบาดตายช่างมัน เราก็นิ่ง
เฉยๆ ก็แปลว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็นิ่งอย่างเดียว เดี๋ยวสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นสิ่งที่ดี
ดีอย่างที่เราคิดไม่ถึง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวของเราแล้ว แต่เป็นของละเอียด ใจเราต้องละเอียดจึงจะเข้าถึงได้
ใจจะละเอียด ก็เพราะเรานำใจกลับมาสู่ที่ตั้งดั้งเดิม
ตำแหน่งเดียวกับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ท่านหยุดนิ่งนี้ ใจจะหยุดนิ่งได้ก็ต้องทิ้งทุกอย่าง
ปล่อยวางทุกสิ่ง ไม่ผูกพันเรื่องอะไรเลย เพราะสิ่งที่ผูกพันที่ผ่านมานั้นล้วนเป็นเรื่องที่ไม่มีสาระแก่นสารของชีวิต
จะหาความเป็นจริงหรือเป็นแก่นสาร ที่จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตไม่มี เป็นเรื่องของพญามารเขาตรึงไปติดสิ่งเหล่านั้น
เราต้องปล่อยวาง ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง แล้วใจก็จะกลับมาหยุดนิ่ง และก็เป็นไปตามขั้นตอนอย่างนี้
เข้าถึงดวงธรรมภายใน
ใจจะใส จะบริสุทธิ์เกิดขึ้นในกลางกาย จนเป็นความบริสุทธิ์ที่เห็นได้
สัมผัสได้ เกิดขึ้นกลางกาย เป็นดวงใสๆ อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือยิ่งกว่านี้ แล้วแต่ตามกำลังบารมีที่ไม่เท่าเทียมกัน
สั่งสมกันมาอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น จะสว่าง เป็นดวงที่สวยงามมาก ใสบริสุทธิ์
ถ้าเราไม่ตื่นเต้นดีใจจนเกินไป ดวงนั้นก็จะอยู่กับเราตลอด
แต่ถ้าอดตื่นเต้นไม่ได้ก็ช่างมัน แต่ถ้าตื่นเต้นหรือสงสัยว่า เราคิดไปเองหรือเปล่า
อะไรต่างๆ เหล่านั้นเป็นต้น ใจมันก็จะถอนออกจากตำแหน่งจุดที่ละเอียดมาสู่สภาวะหยาบ
ภาพก็จะเลือนรางไป แต่ถ้าหักห้ามใจไม่ได้ก็ช่างมัน เราก็ต้องพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่อย่างง่ายๆ
อย่างสบายๆ และก็ผ่อนคลายใจเย็นๆ
ปรับเปลือกตาของเราให้พอเหมาะพอดี ปรือๆ ตานิดหน่อย อย่าให้เปลือกตาปิดสนิท
หรือเม้ม แต่ว่าถ้าเราเริ่มต้นด้วยปรือตา แต่ต่อมาภายหลังเราไม่ได้สนใจ
เปลือกตามันปิดสนิทไปเองก็ช่าง
ใจของเราก็นิ่งอย่างเดียว
นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ก็จะเคลื่อนเข้าไปถึงดวงธรรมดังกล่าว ที่มาพร้อมกับความสุข
ความสุขในระดับที่สมบัติพระราชา สมบัติพระเจ้าจักรพรรดิให้ไม่ได้
เป็นความสุขที่เรายอมรับว่า เป็นความสุข ประณีต ยิ่งใหญ่ เป็นอิสระ เป็นอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเองอย่างสบายๆ
ใจก็ยิ่งนิ่งแน่นไปเรื่อยๆ
เข้าถึงกายภายใน
จนกระทั่งเห็นกายในกายผุดเกิดขึ้นมาเอง ซ้อนๆ กันขึ้นมา
เป็นเรื่องอัศจรรย์ ซึ่งแต่เดิมเราคิดว่า เรามีเพียงชีวิตเดียวภายนอก แต่ว่าเมื่อใจเราหยุดนิ่งได้ถูกส่วน
เราก็จะค้นพบว่า ในกายภายนอกก็มีกายภายใน ซึ่งเป็นชีวิตที่ประณีต บริสุทธิ์กว่ากายภายนอกนั้นมีอยู่
อยู่ในอิริยาบถสมาธิทุกๆ กาย
ความผูกพันยึดมั่นถือมั่นในกายมนุษย์หยาบก็ค่อยๆ
ลดน้อยถอยลงไป ของอะไรที่เกี่ยวเนื่องกับกายก็ค่อยๆ ปล่อยวาง
คลายความผูกพันเข้าไปเรื่อยๆ เพราะความรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตเราเพิ่มขึ้น
เมื่อใจเรานิ่งเข้าไป กายภายในที่อยู่ในกายภายในอีกชั้นหนึ่ง
ซึ่งเป็นความลับของชีวิต ที่พญามารปกปิดมานานเป็นชั้นๆ ก็ค่อยๆ
หลุดล่อนออกมาด้วยใจที่หยุดนิ่งอย่างเรียบง่าย บริสุทธิ์ ผ่อนคลาย
มาพร้อมกับอารมณ์บันเทิงเบิกบาน
เราเริ่มเป็นผู้รู้ เริ่มจะเป็นผู้ตื่น
และเป็นผู้เบิกบานทีละน้อย เมื่อเข้าถึงกายภายใน ในกายภายในไปอีกชั้นหนึ่ง แล้วก็จะมีเป็นชั้นๆ อย่างนี้เข้าไปเรื่อยๆ
ในกลางกายมนุษย์ละเอียดก็จะมีกายทิพย์
ในกลางกายทิพย์ก็มีกายรูปพรหม
ในกลางกายรูปพรหมก็มีกายอรูปพรหม เป็นกายที่ซ้อนๆ
กันอยู่ ถอดออกเป็นชั้นๆ
พระธรรมกายที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
ยิ่งเข้าถึงกายภายในในกายภายในที่ลึกลงไปเรื่อยๆ เราก็จะพบว่า
ยิ่งลึก ยิ่งบริสุทธิ์ กายยิ่งสวยงามเพิ่มขึ้น ยิ่งมีความสุข จนกระทั่งเข้าถึงกายธรรม
หรือพระธรรมกาย
ลักษณะท่านเป็นพระ สวยงามมาก ใสบริสุทธิ์ประดุจเพชรที่ใสๆ
ที่เจียระไนแล้ว อย่างน้อยก็ใสเหมือนน้ำใสๆ เหมือนกระจกใสๆ แต่ถ้าใจเราละเอียด
เราจะเห็นว่า มันใสเกินความใสใดๆ ในโลก ความสวยก็เกินความสวยใดๆ ในโลก
ทั้งโลกมนุษย์ ทั้งในเทวโลก ทั้งในภพของพรหมหรืออรูปพรหม คือสวยกว่าทุกๆ
ชีวิตที่อยู่ในภพสาม
ทุกกายอยู่ในอิริยาบถของสมาธิ ยิ่งกายธรรมยิ่งสุกใส สว่าง
เกตุดอกบัวตูมตั้งอยู่บนจอมกระหม่อม บนพระเศียรที่มีเส้นพระศก หรือเส้นผม ขดเวียนเป็นทักษิณาวัตร
หมุนขวาตามเข็มนาฬิกา เรียงรายอย่างเป็นระบบระเบียบ สวยงามมาก ทุกกายจะนั่งอยู่บนแผ่นฌานใสๆ
กลมแบนนั่นแหละ
กายธรรมนี้ รวมทั้งกายอื่น มีอยู่ทุกคนในโลก
เป็นกายในกายที่ซ้อนๆ กันอยู่ กายอื่นลักษณะอาจจะแตกต่างกันไป แต่กายธรรมจะเหมือนกันทุกคนในโลก
ไม่ว่าจะเชื้อชาติ ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ใดที่มีความแตกต่างกัน
แต่มีกายนี้ที่เหมือนกัน
เหมือนทั้งกาย ความบริสุทธิ์
ความรู้แจ้ง การเห็น ทั้งจักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง
จะมีธัมมจักขุที่น่ามหัศจรรย์ เห็นได้รอบตัว น้อมไปในอดีตก็ได้เหมือนอยู่เฉพาะหน้า
น้อมไปในอนาคตก็เหมือนอยู่เฉพาะหน้า น้อมในปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน
ธัมมจักขุนี้ทำให้ได้บรรลุวิชชา เช่น
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติหนหลังได้ จุตูปปาตญาณ รู้เกี่ยวกับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด
Law
of Karma กฎแห่งกรรมได้ กระทั่งรู้วิธีที่จะขจัดกิเลสอาสวะได้
เราได้ยินคำว่า
กิเลส
มานาน แต่ว่าไม่รู้ว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร
และก็ไม่รู้ตัวว่า กิเลส เช่น โลภะ โทสะ โมหะ เข้ามาครอบงำ ได้ยินเขาพูดกันก็พูดกันต่อๆ
กันมา แต่ก็ไม่เห็นว่า มันเป็นอย่างไร ก็ยังเป็นความลับของเราอยู่ และทุกคนในโลก แต่วันใดเราเข้าถึงกายธรรม สิ่งนี้ก็ไม่เป็นความลับด้วยธัมมจักขุของพระธรรมกาย
แล้วก็มีญาณทัสสนะเกิดขึ้นพร้อมกัน
คือ เห็นถึงไหนก็รู้ถึงนั่น อย่างแจ่มแจ้ง ความรอบรู้ก็เกิดขึ้นที่เรียกว่า
ดวงปัญญา แต่เป็นปัญญาที่เกิดจากการเห็น
ที่เราคุ้นเคยคำว่า ภาวนามยปัญญา มันเลยความนึกคิด
มาอยู่ในจุดที่ปลอดความคิด จิตบริสุทธิ์ที่ความนึกคิดปกติธรรมดาที่เราคุ้นเคยเข้าแทรกไม่ได้
เพราะธาตุในตัวของเรา ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณ
อากาศธาตุ ถูกกลั่นตัวให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ จนทุกอณูใสบริสุทธิ์และหนาแน่นด้วยความบริสุทธิ์มาก
ทำให้สิ่งที่ไม่บริสุทธิ์แทรกเข้ามาไม่ได้ ญาณ ปัญญา วิชชา ดังกล่าวนั้นก็บังเกิดขึ้น
พร้อมกับแสงสว่างที่สว่างแตกต่างจากภายนอก สว่างกว่าแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ ดวงดาว
หรือแสงที่มนุษย์ประดิษฐ์
จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่างนี้
จะประชุมรวมกันอยู่ในธรรมกาย ที่กายทั้งก้อนประกอบไปด้วยธรรมล้วนๆ ธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ก่อเกิดขึ้นเป็นธรรมกาย ที่เรียกว่า ธรรมรัตนะ เกิดขึ้น แหล่งกำเนิดจะเป็นดวง
ขยายออกมาก็เป็นกายธรรมดังกล่าวนั่นนะ ใสๆ
และในกลางธรรมรัตนะก็มี สังฆรัตนะ เหมือนเป็นกายละเอียดของกายธรรมภายนอก คล้ายๆ
กับกายมนุษย์ละเอียดของเรา ที่เป็นกายละเอียดของกายมนุษย์หยาบภายนอก
สามอย่างนี้จะอยู่ในที่เดียวกัน
แต่ทำกันคนละหน้าที่ เรียกชื่อกันคนละอย่าง แต่ก็รวมเป็นหนึ่งเดียว เหมือนเพชรที่ทั้งความแข็ง
ทั้งแวว ความใสอะไรต่างๆ เหล่านั้น อยู่พร้อมกัน จะใสๆ สว่างอยู่กลางกาย
สามอย่างนี้คือสรณะ เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของเรา เพราะว่าเป็นนิรันดร
เป็นนิจจัง เป็นสุขขัง เป็นอัตตา เป็นตัวจริงของเรา กายดั้งเดิมของเราที่บริสุทธิ์เป็นนิรันดร์
แล้วก็มีแต่ความสุขล้วนๆ ไม่มีความทุกข์เจือ เป็นนิจจัง เป็นสุขขัง เป็นอัตตา
แตกต่างจากกายภายนอกที่มีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน
เพราะมันเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็เสื่อมสลาย
เข้าใจง่ายๆ ก็ดูกายมนุษย์หยาบตัวเราเอง ตั้งแต่เราเกิดมาก็แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ทุกอนุวินาที ยังไม่ทันสังเกตเลย สังขารก็เสื่อมลงไปแล้ว แล้วก็จะไปสู่จุดสลาย กายๆ
นี้มีแต่ความทุกข์ ไม่มีสุขเลย มีแต่ความเพลิน เพลีย และก็ทุกข์ทรมาน เพราะมันไม่ใช่ตัวจริงดั้งเดิม
แต่ผู้ไม่รู้ก็จะเข้าใจว่า นี่คือตัวเราของเรา
แต่ผู้รู้ที่เข้าถึงกายภายในแล้ว จะเข้าใจว่า กายภายนอกไม่ใช่ แต่เป็นเครื่องอาศัยเหมือนบ้านเรือนเป็นที่อาศัยของกาย
ร่างกายก็เป็นเรือนของใจที่หยุดนิ่งอยู่ภายใน ถึงกายธรรมใสๆ
เมื่อเข้าถึงแล้วก็มีความสุข
อบอุ่น ปลอดภัย ปลอดภัยชีวิตในอบาย ชีวิตในสังสารวัฏ
อบายภูมิไม่อาจจะฉุดผู้เข้าถึงธรรมกายให้ไปสู่ภพภูมินั้นได้ มีแต่ภูมิของสุคติ
เพราะฉะนั้นจึงได้ชื่อว่าปลอดภัย
แม้จะเวียนว่ายตายเกิดกี่ครั้ง ระหว่างการสร้างบารมีก็ยังได้ชื่อว่า
ปลอดภัย ถ้าเป็นเรือที่แล่นอยู่ในทะเลแห่งความทุกข์ในสังสารวัฏ
ก็เป็นเรือที่ไม่อับปาง แม้ยังอยู่ในสภาพแห่งความเป็นเชลยของพญามาร
ก็เป็นเชลยที่ถูกยกระดับเป็นเชลยกิตติมศักดิ์ เป็นเชลยที่มีที่พึ่งภายใน คือ เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
ถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ จำง่ายๆ คือ ถึงพระธรรมกายในตัว
เห็นองค์พระชัดใส
แจ่มกระจ่างอยู่กลางกาย หลับตาเห็น ลืมตาเห็น นั่งนอนยืนเดินเห็นสว่าง นี่คือที่พึ่งและที่ควรจะระลึกถึง
คือ ต้องนึกให้เห็นอยู่เสมอ ถึงจะเรียกว่า ระลึก เป็นสรณะของเราได้
สิ่งอื่นภายนอกที่เป็นคน เป็นสัตว์ สิ่งของ ต้นหมากรากไม้ ภูเขาเลากา
ไม่อาจเป็นที่พึ่งได้ในยามที่เรามีทุกข์ เพราะสิ่งเหล่านั้นยังผุพังไปสู่จุดสลายทั้งสิ้น
สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งแก่เรานั้น ต้องพึ่งตัวเองได้ไม่เสื่อมไม่สลาย
จะทำให้เรามั่นใจได้ว่า นี่คือที่พึ่งที่ระลึก แต่สิ่งที่ผุพังไม่ใช่
ถ้าเราเข้าใจคำสอนของท่านผู้รู้
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนี้แล้ว การดำเนินชีวิตของเราไม่ว่าในเพศของคฤหัสถ์หรือว่าบรรพชิต
ก็จะปลอดภัยจากภัยในวัฏสงสาร เราจะอยู่สร้างบารมีอย่างอบอุ่นใจ มีสุขได้ทุกสถานที่
เรามีบุญที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
มาพบพระพุทธศาสนา ได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธแล้ว จะสมบูรณ์เมื่อเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
รู้ว่าอะไรควรระลึกถึง ยึดเป็นที่พึ่งได้ อย่างนี้ถึงจะเรียกว่า เป็นชาวพุทธแท้
เพราะฉะนั้น
ลูกกำลังจะไปเปิดบ้านกัลยาณมิตร ต้องฝึกปฏิบัติให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวให้ได้ เป็นพยานยืนยันในการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วเราก็จะได้เป็นตัวแทนของพระองค์ท่าน ขยายความรู้อันบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ไปยังเพื่อนมนุษย์
ให้บ้านของเราเป็นบ้านที่ใสสว่าง
ให้โอกาสกับเพื่อนมนุษย์ผู้มีบุญทุกคนได้มาใช้สถานที่ที่บ้านของเรานี้ แสวงหาพระรัตนตรัยในตัว
แล้วทุกคนจะสุขสมหวัง สมที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มาพบพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย ก็จะได้ใช้ชีวิตทุกอนุวินาทีอย่างมีคุณประโยชน์คุณค่าอันสูงสุด
เวลาที่เหลืออยู่นี้
ให้ลูกทุกคนตั้งใจประกอบความเพียรให้กลั่นกล้าอย่างถูกหลักวิชชา โดยการผ่อนคลาย
ใจใสๆ เย็นๆ หยุดนิ่งที่กลางกาย ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2565