ต้องยึดศูนย์กลางกายให้ได้
วันอาทิตย์ที่
๒๙
มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ (๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย – ปรับใจ
หลับตาเบาๆ
พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายนะ ทั้งเนื้อทั้งตัวให้รู้สึกสบาย
ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี ให้เลือดลมเดินได้สะดวก จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย
แล้วก็ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง
วางใจ
รวมใจกลับเข้าไปหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ จำง่ายๆ ว่าอยู่บริเวณกลางท้องในระดับที่เรามั่นใจว่า เหนือสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
รวมใจไปหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ อย่างเบาๆ สบายๆ ผ่อนคลาย ให้ใจใสๆ ใจเย็นๆ เมื่อเราปล่อยวางผ่อนคลายได้อย่างแท้จริง
ใจจะไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ และใจก็จะนิ่งอยู่ที่ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ตรงนี้อย่างเดียว จะนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ
ต้องยึดศูนย์กลางกายให้ได้
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี้สำคัญที่สุดเลย ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งเดียว
ที่เดียว ที่สุดท้าย ที่จะหลุดรอดพ้นจากเงื้อมมือพญามารได้ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ตรงนี้ที่เดียว ที่เรียกว่า เอกายนมรรค ทางเอกสายเดียว เพราะว่าที่อื่นเขาคุมได้หมดแล้ว
ทั้งอากาศโลก สิ่งแวดล้อม ดิน อากาศ ฟ้า
ขันธโลก
หมายถึง ขันธ์ ๕ ร่างกายของเรา เขาก็คุมได้ ให้แก่ ให้เจ็บ ให้ตาย
ให้มีความเสื่อมอยู่ตลอดเวลา เสื่อมทุกอนุวินาทีเลย ทั้งหลับทั้งตื่นไปสู่จุดสลายตลอด
สัตวโลก คือ จิตใจ คุมได้เป็นช่วงๆ
ช่วงไหนที่เขาเอาบาปศักดิ์สิทธิ์มาบังคับสอดละเอียดเข้ามาภายใน บังคับความคิด
คำพูด การกระทำของเรา มันก็จะแตกต่างจากเดิมที่เราเคยเป็นคนดีๆ
เขาจะผ่านเข้ามาในกลางกายสอดภาพ
สอดละเอียดเอาภาพนั่นแหละเห็นเป็นเรื่องเป็นราว เป็นภาพในใจของเรา เช่น
จะเป็นภาพดื่มน้ำเมา เจ้าชู้ เล่นการพนัน อบายมุข หรือเพลิดเพลินไปในทางโลก ไม่คิดในการสั่งสมบุญบารมี
ไม่คิดเรื่องการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เอาสังขารเอาทรัพย์ไปถล่มทลาย ไปใช้ในทางที่ไม่เกิดประโยชน์
หรือสอนให้เราคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว มีความเห็นผิดไปจากความถูกต้องดีงาม
ไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องนรกสวรรค์ภพภูมิอะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นต้น
บางช่วงเขาบังคับได้
แต่บางช่วงก็บังคับไม่ได้ เมื่อฝ่ายบุญสอดละเอียดบุญศักดิ์สิทธิ์มาก็จะทำตรงกันข้าม
คือ สอดความคิดดี พูดดี ทำดี มีภาพดีๆ เกิดขึ้นในใจของเรา อยากจะทำสิ่งดีๆ
เพราะฉะนั้น
เหลือแต่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละเป็นจุดเล็กๆ เท่ากับปลายเข็ม
ถ้าลูกทุกคนยึดตรงนี้ได้ ด้วยการหยุดนิ่งอย่างเบาๆ สบายๆ จนกระทั่งใจนิ่งแน่น อย่างนุ่มนวล
คือ นิ่งแน่นแบบสบาย อย่างนุ่มนวล Soft Soft ละมุนละไม กายเบา ใจเบา
ตัวจะโล่ง โปร่ง เบา สบาย ตัวก็จะขยาย เป็นที่โล่งๆ กลวงๆ อยู่ภายใน
ประสบการณ์ภายใน
ถ้าเรายึดได้
ความเบาสบายก็จะเกิดขึ้น และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งใจเรายิ่งหยุดยิ่งนิ่งก็ยิ่งขยาย
ยิ่งสบ๊าย สบาย จนกลายเป็นความสุขในระดับที่แตกต่างจากที่เราคุ้นเคย และก็ในระดับที่เราพึงพอใจ
อัศจรรย์ใจว่า ความสุขอย่างนี้มีด้วยหรือในโลก และมีอยู่ในตัวของเราเท่านั้น
นอกตัวที่ผ่านมาเราไม่เคยเจอเลย
ถ้าเรายึดศูนย์กลางกายได้ในระดับหนึ่ง
ความสุขก็จะเกิดขึ้น ใจก็จะหลุดพ้นจากความมืด คือ หลับตาแล้วมันไม่มืด
หลับตาแล้วมันจะค่อยๆ สว่าง ตั้งแต่เหมือนฟ้าสว่างๆ ตอนตี ๕ ในฤดูร้อน
และก็สว่างขึ้นๆ
ยิ่งหยุด
ยิ่งนิ่ง ยิ่งสว่างเพิ่มขึ้น ยิ่งสว่างก็ยิ่งมีความผาสุก สุขกาย สุขใจ เพลินไม่เบื่อ
มีความเพลิดเพลินอยากอยู่ตรงนี้ไปนานๆ จนกระทั่งถึงจุดที่ถูกส่วน ก็ตกศูนย์หล่นเข้าไปข้างใน
บางคนก็จะหล่นอย่างพรวดพราด บางคนก็จะค่อยๆ เคลื่อนเข้าไป
ไปถึงจุดๆ
หนึ่งก็จะมีดวงเกิดขึ้นมาเป็นดวงธรรมใสๆ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว ไม่ใช่กลมแบนๆ นะ อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ
เหมือนเป็นจุดสว่างบนท้องฟ้า ที่เราเคยเห็น ดวงดาวบนท้องฟ้าในเวลากลางคืน อย่างเล็กขนาดนั้น
อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ กลมรอบตัว อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
หรือใหญ่กว่านี้ แล้วตามกำลังบารมีที่ไม่เท่ากัน จะปรากฏเกิดขึ้น ลอยขึ้นมาอยู่ที่ฐานที่
๗ เป็นดวงใส มาพร้อมกับความสุขความบริสุทธิ์ที่เพิ่มขึ้น
ดวงนี้แหละ
คือ ต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน เขาเรียกว่า ดวงปฐมมรรค พระเดชพระคุณหลวงปู่ พระผู้ปราบมาร
เรียกว่า ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
หรือดวงปฐมมรรค เป็นธรรมดวงแรก ความบริสุทธิ์ที่เห็นได้
ความบริสุทธิ์ของใจที่หลุดพ้นจากนิวรณ์ทั้ง ๕ ในเรื่องเพศ เรื่องความพยาบาท
ความสงสัย ความฟุ้ง ความท้อแท้ หดหู่ ความง่วงอะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นต้น
จะเป็นดวงใสๆ ประดุจปากประตูพระนิพพาน
ถ้ายึดศูนย์กลางกายได้ ใจเรามีที่มั่นแล้ว
เหมือนมีป้อมปราการที่จะต่อสู้กับข้าศึก คือ กิเลสได้ จะปลอดจากภัยทั้งปวง เช่น
ภัยในอบาย ภัยในสังสารวัฏ ภัยต่างๆ เป็นต้น
จะเป็นดวงใสๆ
กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แต่ว่าใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
ซึ่งไม่ทราบว่าจะเอาไปเทียบกับอะไร คือมันเย็นตา เย็นใจ เย็นสบาย
ถ้าเรายึดศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ได้ จะได้แบบนี้เป็นเบื้องต้น
จากที่แคบๆ
ที่เราไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย เริ่มมาสู่ที่กว้างแล้ว โดยมีปากประตูเป็นดวงใสๆ กำลังจะไปสู่ที่กว้าง
ที่ไม่มีขอบเขต ที่จะขยายอาณาจักรแห่งธรรม และขับไล่อาณาจักรแห่งอธรรมออกไป
ฝ่ายบุญฝ่ายพระก็จะได้ช่องตรงนี้แหละ
ฝ่ายบาปก็เริ่มค่อยๆ ถอยออกไป จากภายนอกที่เขาบังคับ อากาศโลก ขันธโลก
สัตวโลกบางช่วง ตอนนี้เราก็จะเริ่มขยายอาณาเขตแล้ว
ทางรอด ทางแห่งชัยชนะมีอยู่ทางเดียว คือ ทางสายกลางภายในที่เราหยุดนิ่งนี่แหละ
พอเห็นดวงใสดีแล้ว ทำให้คล่อง ให้ชำนาญ
ให้เห็นตลอดเวลา ทั้งหลับตา ลืมตา นั่ง นอน ยืน เดิน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด หยุดนิ่ง
ลิ้มรส ทำภารกิจอะไรก็ตาม จะหกคะเมนตีลังกาอย่างไร ก็ยังเห็นอยู่
เป็นดวงใสอย่างนี้ จึงจะเริ่มใช้ได้ คือ ใช้เดินทางต่อไปได้ ที่จะรื้อภพรื้อชาติ รื้อวัฏฏะ
ต้องเริ่มต้นจากตรงดวงใสๆ ตรงนี้สำคัญมากนะลูกนะ
กามฉันทะเครื่องล่อของพญามาร
พญามารเขากลัวนักกลัวหนา
เกรงนักเกรงหนา เกรงว่าเรารวมทั้งมนุษยชาติจะล่วงรู้สิ่งนี้
จึงพยายามปกปิดให้เป็นความลับของชีวิต
และก็เอาเครื่องล่อมาหลอกมาล่อให้ใจของเราหลุดจากตรงนี้ ผ่านทางดวงตา ทางหู
ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
ผ่านทางตาก็จะไปดึงดูดเอาภาพต่างๆ
ภาพคน ภาพสัตว์ ภาพสิ่งของ ภาพสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ที่จะดึงดูดตาดึงดูดใจเราหลุดจากกลางไปติดสิ่งเหล่านั้น
ถ้าผ่านทางหูก็จะได้ยินเสียง
พญามารก็จะพยายามจะหลอกล่อด้วยเสียงที่จะทำให้เราเกิดความพึงพอใจ
ในระดับที่หลุดออกจากศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงเพลง เสียงพูด
เสียงอะไรก็แล้วแต่ที่ฟังไพเราะ ฟังแล้วดึงดูดใจได้ หลุดอีกแล้ว
ยังไม่พอ
มาทางจมูกอีก มันมาทางกลิ่น ก็จะเอากลิ่นเป็นเครื่องหลอกล่อดึงดูดใจให้หลุดจากศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ไปติดกลิ่น ซึ่งมีกลิ่นนับกลิ่นไม่ถ้วนหลากหลายต่างๆ นานา
ถ้ากลิ่นนี้ดึงไม่ได้ก็เอาอีกกลิ่นหนึ่ง สารพัดไปหมดเลย
รสก็เช่นเดียวกัน
ลิ้นที่รับรส รสก็มีหลากหลายนับรสไม่ถ้วนเลย พญามารก็คาดหวังจะต้องมีสักรสหนึ่งที่ทำให้เราติดอกติดใจ
ดึงดูดระเบิดใจเราหลุดจากกลางได้ เช่น รสน้ำเมา รสเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เฝื่อน
จืด เป็นต้น
ยังไม่พอ
เอาทางสัมผัสอีก สัมผัสทางกาย ให้สิ่งที่สัมผัสผ่านระบบประสาท ปลายประสาท
ให้ชีวิตเราตกเป็นทาสของระบบปลายประสาทที่สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ
หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่สามารถดึงดูดใจของเราไปติดอยู่กับสิ่งนั้น
แล้วหลุดจากกลางกายฐานที่ ๗
ยังไม่พอ
ผ่านมาทางใจอีก ให้คิดไปสารพัดเพลิดเพลินกันไป เพลินในเรื่องในอดีตที่ผ่านมาก็ตาม
หรือเพลินในเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึง หรือวนเวียนอยู่กับสิ่งแวดล้อม
คิดวิตกกังวลบ้าง วาดฝันบ้างสารพัด
พญามารถล่มทลายทุกอย่าง
ตา
หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งหมดเหล่านี้ถูกดึงไปหมดเลย พญามารเขาหลอกล่อตรึงเอาไปติดอย่างนั้น
เมื่อตรึงไปติดตรงนั้นได้
แล้วคราวนี้เขาก็พยายามถล่มทุกอย่างเลย
ทั้งสิ่งที่มีและสังขารที่มีเอาไว้สำหรับที่จะขยายอาณาจักรแห่งธรรม เข้าไปสู่ภายในเขาถล่มทลายหมดเลย
จนกระทั่งเกิดมา แก่ฟรี เจ็บฟรี และก็ตายฟรีมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
นับภพนับชาติไม่ถ้วนก็ยังไม่รู้อะไรเลย
ยังไม่พอ
ยังบังคับให้สร้างบาปอกุศลกรรม เอากฎแห่งกรรมมาบังคับอีก ให้ทำสิ่งไม่ดี
แล้วพอบังคับได้ ก็เอาผังที่บังคับได้นั้นบังคับต่อไปอีก เมื่อตายแล้วก็ดูดไปสู่อบาย
สร้างภพภูมิรองรับ สร้างกายรองรับ สร้างสิ่งแวดล้อมรองรับ สารพัดไปหมดเลย
แล้วก็กำหนดกาลเวลาของการใช้กรรมอะไรต่างๆ เหล่านั้น
คือ พญามารว่าเอง ชงเอง กินเอง
กำหนดกฎเกณฑ์เองทั้งหมด ก็เสียเวลาของชีวิตไปทุกข์ทรมานอีกในอบายนับไม่ถ้วนอีกแล้ว
กว่าจะมาเป็นมนุษย์ได้ก็ลำบาก ต้องผ่านขั้นตอนจากมหานรก มาอุสสทนรก มายมโลก
ออกจากยมโลก มาเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน
มาเป็นมนุษย์ก็ไม่ให้รู้เหมือนเดิมอีก ติดอย่างเดิมอีก
จะเห็นได้ว่า สิ่งทั้งหมดนี้พญามารบังคับไว้หมดเลย เหลือทางรอดทางเดียว
คือศูนย์ทางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละ เมื่อเรายึดได้ด้วยใจที่หยุดนิ่ง
ภายหลังจากที่เราเบื่อหน่ายในทุกสิ่ง
โดยพิจารณาสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลายไปตามความเป็นจริงว่า มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตา แล้วก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร พอเบื่อหน่ายก็คลายความผูกพัน
พอคลายก็ปล่อยวาง ใจก็กลับมาหยุดนิ่งตรงนี้ เป็นดวงใสๆ
เข้าถึงดวงแล้วไปต่อ
เมื่อได้ดวงใสๆ
แล้ว ต่อจากนี้ไปเราก็เป็นฝ่ายรุกบ้าง คือหยุดนิ่งเข้าไปกลางดวงใสๆ อย่างสบายๆ
นิ่งดิ่งไปตรงกลางตรงนั้นแหละ กลางทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า
อะไรที่ผุดผ่านมาที่ขวางหน้าก็ดิ่งผ่านไปให้หมดเลย ด้วยใจที่หยุดนิ่งแน่นเพิ่มขึ้น
คือหยุดในหยุด นิ่งในนิ่งเพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ ยิ่งหยุดยิ่งนิ่ง ยิ่งดิ่งไม่หยุด ไม่ยั้งเลย
ผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าในกลางนั้น ที่ขยายออกไปทุกทิศทุกทาง จะขยายไปรอบตัว
ยิ่งหยุดยิ่งนิ่ง
ยิ่งดิ่งไม่หยุดยั้ง ยิ่งผ่านกลางเข้าไปเรื่อยๆ กลาง ซึ่งมีกลางที่อยู่ในกลางของกลาง
ไม่ซ้ำกลางกันเพิ่มขึ้น ใจก็ยิ่งนิ่งดิ่งลงไปเลย ไม่หยุดไม่ยั้ง
ยิ่งหยุดยิ่งนิ่งยิ่งดิ่งไม่หยุดไปเรื่อยๆ
เข้าถึงกายธรรม
ไปเรื่อยๆ
ก็จะผ่านกลางดวง กลางกายต่างๆ มีชีวิตอีกหลายระดับที่ผุดผ่านขึ้นมา
จนกระทั่งเข้าถึงกายธรรมที่เป็นองค์พระใสๆ เกตุดอกบัวตูมสวยงามมาก ใสบริสุทธิ์ ในอิริยาบถสมาธิ
หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา
ยิ่งหยุดยิ่งนิ่ง
ยิ่งดิ่งเข้าไปในกลางของท่านเข้าไปอีก เราก็จะถูกปรับสภาวะจากการที่เคยเห็นด้านเดียว
เช่น กายมนุษย์หยาบ อยากจะเห็นข้างหน้าก็มองไปข้างหน้า
อยากเห็นข้างหลังก็ต้องกลับหลังหัน อยากเห็นข้างบนก็ต้องเงย
อยากเห็นข้างล่างก็ต้องก้ม อยากเห็นซ้ายก็เหลียวซ้าย อยากเห็นขวาเหลียวขวา
แต่พอไปถึงกายธรรม การเห็นก็ถูกปรับสภาวะว่า นิ่งอย่างเดียวในกลางองค์พระธรรมกายก็เห็นทีเดียว
ทั้งซ้ายขวา หน้าหลัง ล่างบน ซึ่งมันอัศจรรย์นัก
การเห็นอย่างนี้เป็นการเห็นที่วิเศษจริงๆ
และก็แจ่มแจ้ง เพราะเห็นรอบด้าน เห็นทุกด้าน เป็นการเห็นที่แตกต่างจากการเห็นที่เราเคยเห็นอย่างนั้น
หรือแม้แต่เทวดาเห็น ยิ่งกว่าตาทิพย์ของเทวดา
ยิ่งกว่าดวงตาของพรหมหรืออรูปพรหมทั้งหมดเลย ภาษาบาลีเขาเรียกว่า วิปัสสนา การเห็นที่แตกต่าง
ศึกษาวิชชาธรรมกาย
พอเข้าถึงธรรมกายได้คราวนี้ก็จะสนุกกันใหญ่แล้ว
จะได้เรียนวิชชาธรรมกาย วิชชาธรรมกายต้องเรียนด้วยธรรมกายจากพระธรรมกาย
พระธรรมกายในตัวของเรา จะต้องไปศึกษาเรียนรู้จากพระธรรมกายที่เก่าๆ แก่ๆ โน้น
ด้วยวิธีหยุดกับนิ่งอย่างเดียวเข้าไปเรื่อยๆ และอาณาจักรแห่งธรรมเราก็จะค่อยๆ
ขยายกว้างขึ้น ซึ่งพญามารกลัวนักกลัวหนาทีเดียว นิ่งเข้าไปเรื่อยๆ เลย
ดิ่งเข้าไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น
ลูกพยายามฝึกกันให้ได้ตรงนี้ เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที เดี๋ยวก็วัน เดี๋ยวก็คืน
เดี๋ยวก็จะหมดเวลาของชีวิต เพราะฉะนั้นทุกอนุวินาที อย่าว่างเว้นจากการฝึกตรงนี้ แล้วเราจะได้หลุดพ้นจากเงื้อมมือพญามารได้
เปลี่ยนจากเชลยศึกธรรมดาเป็นเชลยศึกกิตติมศักดิ์ จนกระทั่งพ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของเขา
พ้นยังไม่พอ ยังบังคับเขาได้อีก ถ้ายิ่งหยุด ยิ่งนิ่งยิ่งดิ่งไม่หยุด
เพราะฉะนั้น
เวลาที่เหลืออยู่นี้ให้ลูกทุกคนหยุดนิ่งกันเรื่อยไปเลย ให้ใจหยุดในหยุด
ยิ่งหยุดยิ่งนิ่ง กระแสธารแห่งบุญที่เราทำมาทั้งหมด
ยิ่งจะปรากฏให้เราเห็นชัดแจ่มแจ้งขึ้นมา บุญก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทับทวีเลย
เพราะฉะนั้นให้ลูกทุกคนหยุดนิ่งกันต่อไป
วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2565