เหลี่ยมคูพญามาร
วันอาทิตย์ที่ ๒๗ มีนาคม
พ.ศ. ๒๕๕๔ (๐๙.๐๐ -
๑๑.๐๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ตั้งใจให้ แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ
โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย
ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก
พอสบายๆ อย่าถึงกับเปลือกตาปิดสนิท เหมือนปรือๆ ตานิดหน่อย พอสบายๆ
อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตานะจ๊ะ
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพัน จากคน
สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน บ้านช่อง การศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัว
หรือเรื่องอะไรที่นอกเหมือนจากนี้ ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันกับทุกสิ่ง
ทำประหนึ่งว่าเราอยู่คนเดียวในโลก
วางใจ
แล้วก็รวมใจกลับเข้าไปหยุดนิ่งอยู่ที่ภายในศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเราในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า
เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม
เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญ เป็นที่เราจะต้องนำใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
แต่แง่ของการปฏิบัติจริงๆ
สำหรับนักเรียนใหม่ ก็อย่าไปกังวลจนเกินไป ว่าใจของเราจะมาอยู่ตรงศูนย์กลางกายฐานที่
๗ แป๊ะเลยไหม เอาว่าประมาณอยู่ในกลางท้อง ในระดับที่เรามั่นใจว่า อยู่เหนือสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ แต่ก็ต้องทำความรู้จักเอาไว้ว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อยู่ตรงนี้
ความสำคัญของ
ฐานที่ ๗
ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ นอกจากเป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่นของเราแล้ว
ยังเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์
นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน เมื่อท่านทิ้งทุกอย่าง
ปล่อยวางทุกสิ่ง เพราะว่าเห็นภัยในวัฏสงสารแล้ว ใจท่านจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
เมื่อท่านเบื่อหน่ายชีวิตการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
ในกามภพ ในรูปภพ ในอรูปภพ เพราะชีวิตในสังสารวัฏฏะนี้ไม่ปลอดภัย เนื่องจากว่า ตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม
กฎแห่งไตรลักษณ์ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ตกอยู่ภายใต้ความไม่รู้
ถูกครอบงำด้วยกิเลส ด้วยอาสวะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง
เพราะฉะนั้น
ท่านก็เบื่อหน่ายชีวิตการเวียนว่ายตายเกิด เพราะเกิดบ่อยๆ ก็ทุกข์บ่อยๆ แก่บ่อยๆ
เจ็บบ่อยๆ ตายบ่อยๆ เป็นต้น ท่านจึงเบื่อหน่าย อยากจะพ้นจากความทุกข์ทรมานของชีวิต
ซึ่งนั่นก็คือ ต้องไม่มาเกิดในภพทั้งสามนี้ ต้องให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้
ดังนั้นท่านจึงคลายความผูกพันจากทุกสิ่ง
เมื่อคลายความผูกพันแล้ว ใจของท่านก็จะมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้แหละ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หยุดนิ่งอย่างเดียว ท่านไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้
นิ่งอย่างเดียว ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วท่านก็นำมาถ่ายทอด
สอนแด่พระสาวกทั้งหลาย ให้ดำเนินรอยตามท่าน พระสาวกทั้งหลายทั้งมนุษย์และเทวดาก็จะนำใจมาหยุดนิ่งอยู่ตรงนี้
เมื่อเห็นทุกข์โทษภัยของชีวิตในวัฏสงสารแล้ว จะเบื่อหน่าย คลายความกำหนัด
ความยินดี ความผูกพันจากทุกสิ่งทุกอย่าง ใจของทุกท่านก็มาหยุดนิ่ง ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ตรงนี้ และก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถัดลงมาก็เป็นพระอริยบุคคล
ตั้งแต่เป็นพระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบัน เป็นโคตรภูบุคคล เข้าถึงพระธรรมกาย
พระรัตนตรัยในตัว ถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ เป็นที่พึ่งที่ระลึก ถัดลงมาจากนั้น
ก็เป็นฌานลาภีบุคคล เข้าถึงฌานสมาบัติ ทั้งรูปสมาบัติและอรูปสมาบัติ ถัดลงมาก็เป็นคนดีที่โลกต้องการ
เป็นผู้มีศีล มีธรรม เป็นกัลยาณชน ประพฤติปฏิบัติตามฆราวาสธรรมที่จะอยู่ในโลกนี้อย่างเป็นสุข
สภาวธรรมภายใน
เพราะฉะนั้น
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ จึงเป็นตำแหน่งสำคัญ
ที่เราจะต้องนำใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ หยุดนิ่งอย่างเดียว
พอถูกส่วนใจก็จะเคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน จะมีอาการเหมือนเราตกจากที่สูงไปสู่ที่โล่งๆ
ว่างๆ และก็มีดวงธรรมลอยขึ้นมา บังเกิดขึ้นเป็นดวงใสๆ อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ
อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
หรือใหญ่กว่านี้ แล้วแต่ตามกำลังบารมีที่ไม่เท่ากัน
จะเป็นดวงใสๆ
เหมือนเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย ใสเหมือนเพชร
อย่างน้อยก็ใสเหมือนน้ำใสๆ บ้าง เหมือนกระจกใสๆ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
แต่ว่าใสเย็น ไม่จ้าตา ไม่แสบตา ไม่เคืองตา เหมือนพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญอย่างนั้นแหละ
ปรากฏเกิดขึ้นเป็นธรรมดวงแรก
ที่มาพร้อมกับความสุข ความบริสุทธิ์ และความแจ่มแจ้งในชีวิต
ใจจะนิ่งอยู่ในกลางดวงปฐมมรรคนี้เรื่อยไป
ก็จะเดินทางเข้าสู่เส้นทางสายกลางของพระอริยเจ้า ไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้า
และพระอริยเจ้าก็ใช้เส้นทางนี้ ทางสายกลางภายใน เป็นแนวดิ่งลงไป
แล้วก็ได้เห็นไปตามลำดับ
เห็นถึงไหนก็รู้ถึงนั่น
เป็นชั้นๆ เข้าไป เห็นกายในกาย เห็นธรรมในธรรม เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิตไปเรื่อยๆ
ถ้าเป็นภาพก็จะเป็นดวงใสๆ เป็นกายใสๆ ซ้อนๆ กันอยู่ภายใน เป็นชีวิตภายในที่ประเสริฐกว่าชีวิตภายนอก
เป็นชั้นๆ เข้าไป
สิ่งนี้พญามารปกปิดเอาไว้
บดบังเอาไว้ ด้วยธาตุปิดธาตุบัง
จนกระทั่งเราไม่รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตเราเลย ไม่เคยรู้เลยว่า ในตัวมีกายภายในซ้อนอยู่ มีดวงธรรมภายในซ้อนอยู่ มีทางสายกลางที่จะเดินทางไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้า
มีความสุขที่แท้จริงที่อยู่ภายใน เราไม่เคยรู้เลย
เพราะพญามารเอาธาตุปิดธาตุบังมาบดบังเอาไว้
จนเราไม่รู้ ไม่มีความรู้ในเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ชีวิตของเราจึงเป็นความลับสำหรับตัวเรา
และพญามารก็ตรึงใจของเราให้ไปติดในรูป
เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ทำให้ใจของเราหลุดจากตำแหน่ง
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับผู้รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอด
ในธรรมทั้งปวง คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย
ใจก็หลุดจากฐานที่
๗ ตรงนี้ ไปติดในโลกภายนอก ซึ่งไม่มีสาระแก่นสารอะไรของชีวิต
มีแต่ความทุกข์ทรมานของชีวิต ให้เพลิดเพลินอยู่ที่ตรงนั้น
แล้วก็บังคับด้วยกฎแห่งกรรม กฎแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ด้วยความไม่รู้ เป็นอย่างนี้นับภพนับชาติไม่ถ้วน จนกระทั่งมีการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละ
ท่านค้นพบหนทางสายนี้ ซึ่งอยู่ภายในตัวของพระองค์ท่าน แล้วก็นำมาถ่ายทอดให้พระสาวกได้ดำเนินรอยตาม
ก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพานตามพระองค์ไปด้วย
ลูกๆ
ทั้งหลายเป็นผู้มีบุญ ได้เกิดอยู่ในบุญเขต ในร่มเงาของพระพุทธศาสนา ก็จะต้องใช้ความมีบุญนี้สร้างวาสนาขึ้นมาในตัว
ด้วยการให้โอกาสของตัวเราเองนำใจกลับมาหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้
ในตำแหน่งที่ตั้งดั้งเดิมของตัวเราตรงนี้
บริกรรมนิมิต
ตอนนี้ เราก็กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ
เพื่อเป็นหลักยึดของใจ ตรึงใจมาติดไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้
ให้กำหนดเครื่องหมายเป็นแลนมาร์คที่ใส สะอาด บริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิเลย โตขนาดไหนก็ได้ อย่างน้อยก็โตเท่ากับแก้วตาของเรา แต่ถ้าเราไม่เคยสังเกต
ก็เอาขนาดไหนก็ได้ กลมรอบตัว ใสบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิเลย อย่างเบาๆ สบายๆ แล้วก็ผ่อนคลาย ใจเย็นๆ
ตรึกนึกถึงดวงใส
ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ อย่างเบาๆ ต้องเบาๆ อย่างสบายๆ ต้องสบายๆ อย่างผ่อนคลาย ต้องใจเย็นๆ
บริกรรมภาวนา
พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่ง
ด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ ว่า สัมมาอะระหังๆๆ กี่ครั้งก็ได้ จนกว่าใจจะหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ตรงนี้
เมื่อใจหยุดนิ่งแล้ว
มันก็จะทิ้งคำภาวนาไปเอง หรือเกิดความรู้สึกว่าไม่อยากจะภาวนา สัมมาอะระหัง อีกต่อไป
อยากหยุดใจนิ่งเฉยๆ ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องภาวนา สัมมาอะระหัง อีกต่อไป
ถ้าว่าเมื่อใดใจฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น เราจึงย้อนกลับมาภาวนา สัมมาอะระหัง ใหม่
ให้ประคองใจกันไปอย่างนี้
โอวาทนาคธรรมทายาทก่อนบวช
โดยเฉพาะลูกๆ
นาคธรรมทายาท ที่รักทุกๆ คน เรากำลังสู่ช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิต
ที่จะยกตัวของเราให้เป็นบรรพชิต บรรพชาอุปสมบทเป็นสามเณร เป็นพระภิกษุ
เป็นสายโลหิตแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะต้องรักษากายวาจาใจของเรา
ให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ บวช ๒ ชั้นให้ได้
ให้การบวชในคราวนี้
เป็นการบวชที่เรามีความปีติและภาคภูมิใจ ที่เราได้ฝึกตนทนหิวบำเพ็ญตบะเป็นพระแท้ในทุกอนุวินาที สมณสัญญา วิญญาณแห่งความเป็นพระบังเกิดขึ้นทุกอนุวินาที
เป็นพระแท้ที่โลกต้องการ เป็นพระแท้ที่เป็นเนื้อนาบุญของโลก ของมนุษย์ เทวดาทั้งหลาย
เป็นพระแท้ที่เป็นทางมาแห่งบุญของตัวเรา บุญของโยมพ่อโยมแม่ บุญของบรรพบุรุษของเรา
ญาติสนิทมิตรสหาย สัมพันธชน ตลอดจนกระทั่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย
การบวชในคราวนี้
ในช่วงวิกฤตของพระพุทธศาสนา เราจะต้องเป็นหนึ่งในผู้ที่จะกอบกู้พระพุทธศาสนา
ให้กลับมาเฟื่องฟูเหมือนย้อนยุคพุทธกาลให้ได้ ด้วยการประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
ด้วยความสุขใจ ปีติใจ เบิกบาน มีฉันทะ สมัครใจที่จะเป็นพระแท้ สมัครใจที่จะแสวงหาความบริสุทธิ์
ความสูงส่ง เหมือนพระแท้ในสมัยโบราณกาลที่ผ่านมา มีวิริยะ ความเพียรพยายาม ที่จะฝึกตนทนหิว
บำเพ็ญตบะ ใจจดจ่อกับการฝึกตนอย่างนี้ทุกอนุวินาที ด้วยอารมณ์บันเทิง เบิกบาน
และก็หมั่นสังเกตว่า
จุดไหนเป็นจุดที่จะทำให้เราฝึกตนได้สมบูรณ์ขึ้น อะไรเป็นจุดโหว่ของเรา ทำให้จิตใจของเรานั้นไม่สูงส่ง ไม่บริบูรณ์
ด้วยวิญญาณแห่งความเป็นพระแท้ เราก็จะได้แก้ไข
การบวชในคราวนี้
ก็จะเป็นต้นบุญต้นแบบที่ดี สำหรับผู้ที่จะมาในภายหลัง
อานิสงส์นี้ก็ต้องย้อนกลับคืนมาสู่ลูกธรรมทายาททุกๆ คน
วันนี้เป็นวันดี
มีสิริมงคล ก่อนที่เราจะยกตนขึ้นเป็นสามเณรในวันที่ ๒๙ ที่จะถึงนี้ เรายังมีเวลาเหลือเฟือ
ที่เราจะฝึกใจให้หยุดนิ่ง หาพระในตัวให้ได้ ให้เข้าไปถึงพระธรรมกายในตัว
เพื่อการบวช ๒ ชั้นจะได้บริบูรณ์
อนุวินาทีที่จะผ่านไปนี้
ให้ลูกทุกคน ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง และก็รวมใจมาหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ตรงนี้ อย่างถูกหลักวิชา อย่างเบาๆ สบายๆ นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใส
พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่ง
ด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ หรือเสียงคำภาวนาเป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน
ดังออกมาจากในกลางท้องของเราอย่างต่อเนื่อง เหมือนมาจากแหล่งแห่งความบริสุทธิ์
แหล่งแห่งอานุภาพอันไม่มีประมาณ มาขจัดสิ่งที่เป็นมลทินของใจ ความไม่บริสุทธิ์กาย
วาจา ใจ ของชีวิตที่ผ่านมานับภพนับชาติไม่ถ้วน กลั่นกาย วาจา ใจ ของเราให้ใส
ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ หมดจดจากสรรพกิเลสทั้งหลาย จนเหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับพระรัตนตรัยที่จะบังเกิดขึ้น
ก็ขอให้ลูกทุกคนตั้งใจฝึกตัวให้ดี
เช้านี้อากาศกำลังสดชื่น
แจ่มใส เย็นสบาย เหมาะที่ลูกทุกคนจะได้ประกอบความเพียรให้กลั่นกล้า
อย่างถูกหลักวิชา ก็ให้ตั้งใจประคับประคองใจกันไป ขอให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจ
ในการเข้าถึงพระธรรมกายในตัวทุกๆ คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2565