หากชีวิตว่างเว้น กายธรรม
มีอยู่ก็มืดดำ หม่นไหม้
เหมือนชีพถูกจองจำ ด้วยโซ่
เกิดแก่ตายเปล่าไซร้
โอ่ โอ้ เสียดาย
ตะวันธรรม
วิธีปฏิบัติให้เข้าถึงประสบการณ์ภายใน
อาทิตย์ที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
Link ไฟล์เสียงนำนั่งสมาธิใน youtube
ง่ายแต่ลึก 1 |EP.25| : วิธีปฏิบัติให้เข้าถึงประสบการณ์ภายใน
ต่อจากนี้ไปให้ลูกทุกคนหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ หลับตาเบาๆ พอสบายๆ
คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตานะ
ให้หลับตาเหมือนเราปรือๆ ตานิดหน่อย หลับตาสักค่อนลูก
ในระดับที่เรารู้สึกว่าสบาย และก็ผ่อนคลายไปทั้งเนื้อทั้งตัว
ต้องปรับการหลับตานี้ให้ถูกต้องนะ สำคัญมาก
แล้วก็ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายของเราทั้งเนื้อทั้งตัว
ตั้งแต่กล้ามเนื้อบนใบหน้า ศีรษะ ลำคอ บ่า ไหล่ แขนทั้งสองถึงปลายนิ้วมือ
ให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณลำตัว ขาทั้งสองถึงปลายนิ้วเท้า
ขยับเนื้อขยับตัวของเรา ปรับท่านั่งให้ถูกส่วน กะคะเนว่าเลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก
จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อยกัน
แล้วก็ตรวจตราดูว่า เราผ่อนคลายทั้งเนื้อทั้งตัวจริงไหม
หลับตาถูกต้องตามหลักวิชชาไหม ต้องเบาๆ ต้องผ่อนคลาย และทำใจให้ใสๆ เยือกเย็น
ให้ใจเราบริสุทธิ์ไม่ผูกพันกับคน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน
บ้านช่องสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่ผูกพัน
ให้ปล่อยวาง
ทิ้งทุกอย่างปล่อยวางทุกสิ่ง เพราะว่าสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลายเป็นแค่เครื่องอาศัยพึ่งพาซึ่งกันและกันชั่วครั้งชั่วคราว
และทุกสิ่งล้วนไปสู่จุดสลาย ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ แม้กระทั่งโลกใบนี้
สักวันหนึ่งก็ต้องพินาศไปด้วยไฟบรรลัยกัลป์บ้าง น้ำบรรลัยกัลป์บ้าง
ลมบรรลัยกัลป์บ้าง เป็นต้น
ก็ในเมื่อโลกนี้ยังเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วไปสู่จุดสลาย
กายมนุษย์หยาบของเรา เมื่อเกิดอยู่บนโลกใบนี้ทำไมจะไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น
ก็มีสภาพเช่นเดียวกันคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็เสื่อมสลาย ตั้งแต่เราออกจากครรภ์มารดาเรื่อยมาเลยจนกระทั่งบัดนี้
ล้วนไปสู่จุดสลายทั้งสิ้น ทั้งที่ชัดเจนและไม่ชัดเจน
เพราะฉะนั้นแม้ร่างกายเราก็เป็นแค่เครื่องอาศัยชั่วครั้งชั่วคราวเพียงเพื่อจะได้เป็นทางผ่านของใจให้กลับไปสู่ที่ตั้งดั้งเดิม
ในตำแหน่งเดียวกันกับผู้รู้แจ้งเห็นแจ้งในธรรมทั้งปวง
คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา
ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
ให้ลูกทุกคนรวมใจกลับเข้าไปสู่ภายในอย่างละมุนละไม
เหมือนขนนกที่ลอยไปในอากาศ แล้วค่อยๆ บรรจงตกลงมาสัมผัสบนผิวนํ้าอย่างอ่อนโยน
โดยไม่ทำให้นํ้ากระเพื่อม ใจของเราก็ต้องค่อยๆ วางเบาๆ ให้นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ
ให้ใจใสๆ ใจเย็นๆ อย่างนี้เรื่อยไป
วิธีสังเกตว่าทำถูกหลักวิชชาไหม
ถ้าเราทำถูกวิธี
ก็จะมีรางวัลเกิดขึ้นให้แก่ตัวเราคือ ร่างกายจะผ่อนคลาย รู้สึกสบาย ใจก็รู้สึกสบายๆ
แม้จะยังไม่เห็นอะไร แต่เราก็รู้สึกพึงพอใจกับความรู้สึกเช่นนี้ จะรู้สึกโล่งๆ
โปร่งๆ กลวงๆ สบายๆ นี่คือรางวัลเบื้องต้นสำหรับตัวเราที่ทำถูกหลักวิชชา*
พอได้อารมณ์อย่างนี้ สภาวธรรมอย่างนี้ ที่สบายทั้งร่างกายและจิตใจ
ตอนนี้ต้องทำใจเย็นๆ ให้รักษาความนิ่งๆ นุ่มๆ สบายกายสบายใจต่อไปอีก
ความพึงพอใจอย่างนี้แหละคือรางวัลของชีวิตเรา
ที่จะต่อไปยังรางวัลถัดไป คือกายก็ยิ่งสบายขึ้น ใจก็ยิ่งสบายเพิ่มขึ้น
เพิ่มขึ้นในระดับที่ร่างกายของเราค่อยๆ โล่งโปร่งเบาสบาย ขยาย
หรือกลืนหายไปกับบรรยากาศ คล้ายๆ กับเราไม่มีร่างกาย
ไม่มีตัวตนเหมือนเป็นอากาศธาตุที่ละเอียดอ่อน
และมีกระแสแห่งความสุขและความบริสุทธิ์อย่างอ่อนๆ เข้ามาแทนที่
ซึ่งก็จะเพิ่มความสบายของกายและใจมากขึ้นไปเรื่อยๆ
* วิชชา คือ
ความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้งด้วยธรรมจักขุ จนสามารถกำจัดอวิชชาคือความไม่รู้ได้
ใจของเราก็จะเริ่มนิ่ง นุ่ม ไม่ซัดส่ายไปคิดในเรื่องต่างๆ
ที่เราคุ้นเคย และเราชอบความรู้สึกอย่างนี้ที่นิ่งๆ นุ่มๆ โดยปราศจากความคิดใดๆ
ทั้งสิ้น ซึ่งเราไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน
คือสภาวะของใจที่ปลอดความคิดอย่างนั้นมันให้ความบันเทิงใจ ความพึงพอใจ
มากกว่าใจที่ใช้ความคิด ให้ใจเย็นๆ ต่อไปอีก รักษาสภาวะใจนิ่งๆ นุ่มๆ
อย่างละเอียดอ่อนของเราอย่างนั้นต่อไปอีก ถ้าทำได้ก็จะมีรางวัลเกิดขึ้นเพิ่มมาอีก ความรู้สึกฟ่องเบาของเราจะเพิ่มขึ้น
จนเข้าใจคำว่า “กายเบา” “ใจเบา” ละเอียดนุ่มนวลเพิ่มมากขึ้น
จนถึงจุดที่ใจอยากจะนิ่งอย่างนั้นอย่างเดียวไปนานๆ จนไม่จำกัดกาลเวลา
การนิ่งที่เพิ่มขึ้นนั้น ก็จะทำให้ใจเปลี่ยนสภาวะจากนิ่งหลวมๆ
ที่เดี๋ยวนิ่ง เดี๋ยวหลุด กลายเป็นนิ่งที่ค่อยๆ แน่นขึ้น
และก็นิ่งแน่นขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นนิ่งแน่นที่ไม่อึดอัด ไม่คับแคบ
นิ่งแน่นที่กว้างขวาง และใจก็นุ่มนวลเพิ่มขึ้น เราจะเข้าใจคำว่า “นุ่มนวล” มากกว่าที่เราเคยเข้าใจแค่เพียงที่เราได้ยินได้ฟังหรือได้อ่านมา
มันเป็นประสบการณ์ภายในของคำว่า “นิ่งแน่นและนุ่มนวล”
เมื่อรักษาสภาวะใจนี้ต่อไป แสงสว่างส่องทางชีวิตใหม่ก็จะเกิดขึ้น
เป็นชีวิตที่แตกต่างจากชีวิตเก่าที่เหมือนกับคนยังนอนหลับอยู่
หรือคนที่อยู่ในโลกมายา แต่เป็นแสงสว่างส่องทางชีวิตใหม่ เป็นชีวิตของท่านผู้รู้
ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว เป็นแสงสว่างภายในที่ให้ความพึงพอใจมากกว่าแสงสว่างภายนอก
เป็นความอัศจรรย์ทีเดียวที่เราหลับตาแล้วไม่มืด
เริ่มจากสว่างคล้ายฟ้าสางตอนตี ๕ ในฤดูร้อน และสว่างขึ้นไปเรื่อยๆ
ถ้าเรายังคงรักษาใจของเรานิ่งๆ นุ่มๆ นานๆ อย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ โดยไม่คำนึงถึงเรื่องอะไรเลย
จากฟ้าสางๆ ก็จะสว่างเพิ่มขึ้น เหมือนรุ่งอรุณแห่งชีวิตใหม่ ที่แสงเงินแสงทอง ในยามอรุโณทัยของดวงอาทิตย์
ส่องสว่างมาบนโลกใบนี้
แต่นี่เป็นแสงสว่างแห่งธรรมภายใน
เป็นดวงตะวันภายในที่ใสเย็นซึ่งมีอยู่แล้วภายใน แต่ถูกบดบังด้วยนิวรณ์ทั้ง ๕ คือสิ่งที่เราไปหมกมุ่นอยู่ในเรื่องกามฉันทะ
พยาบาท อะไรต่างๆ เหล่านั้นเป็นต้น
เราก็จะค่อยๆ เห็นไปตามลำดับ
แม้เห็นแล้วก็ตามก็ต้องรักษาใจให้นิ่งแน่นและนุ่มนวลอย่างเดิม
เหมือนดูดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าในยามเช้า อย่าไปตื่นเต้น
เพราะเป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้ที่มีใจหยุดนิ่งภายใน
ดวงตะวันภายในหรือดวงธรรมภายในก็จะปรากฏเกิดขึ้น
เป็นรางวัลสำหรับผู้ที่ขยันและทำถูกหลักวิชชา
เพราะฉะนั้นเบื้องต้นนี้นะ ให้ลูกทุกคนฝึกวางใจให้เป็นอย่างนี้ก่อน
ให้ใจนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ให้ใจใสๆ ใจเย็นๆ อย่างนี้ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
นะ
วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2565