ทางรอด
วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๑๓.๓๐
- ๑๕.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย-ปรับใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายของเรา
ทั้งเนื้อทั้งตัวให้รู้สึกสบาย ปรับท่านั่งให้ถูกส่วน จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย
ให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก แล้วก็ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง
การวางใจ
รวมใจกลับเข้าไปสู่ภายใน ให้ใจหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ อยู่ ในตำแหน่งที่เรามั่นใจว่า เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือประมาณบริเวณกลางท้องของเรา
ให้ประคองใจให้หยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
บริกรรมนิมิต
โดยกำหนดบริกรรมนิมิต เพื่อให้เป็นที่ยึดที่เกาะของใจ
จะเป็นดวงแก้วใสๆ หรือเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิ กลมรอบตัว โตขนาดไหนก็ได้
ในระดับที่เรานึกได้ง่าย นึกได้สบาย
หรือจะตรึกนึกถึงองค์พระแก้วใสๆ ให้ท่านนั่งขัดสมาธิ
หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา โตขนาดไหนก็ได้ที่ใจเราชอบ
หรือจะนึกถึงภาพพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระผู้ปราบมารก็ได้
เพราะอยู่ในช่วงที่เรากำลังจะเตรียมตัวอัญเชิญหลวงปู่ทองคำไปประดิษฐานที่วัดปากน้ำ
ภาษีเจริญ เอาอย่างใดอย่างหนึ่งที่เราคุ้นเคยที่เราชอบ
หรือจะไม่นึกอะไรเลยก็ได้ ถ้าเรามั่นใจว่า ใจเราจะไม่ฟุ้ง
สามารถหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ได้
บริกรรมภาวนา
เราก็ประคองใจให้หยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ โดยให้เสียงคำภาวนาดังออกมาจากในกลางท้องของเรา
ภาวนาไปเรื่อยๆ อย่าให้ช้า อย่าให้เร็ว เอาพอดีๆ
ประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา สัมมาอะระหังๆๆ
ทุกครั้งที่เราภาวนาสัมมาอะระหัง เราจะต้องไม่ลืมตรึกนึกถึงบริกรรมนิมิต เช่น
ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ หรือจะตรึกนึกถึงองค์พระใสๆ ใจหยุดอยู่ในกลางองค์พระใสๆ
ประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา สัมมาอะระหัง เรื่อยไป จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง
พอใจหยุดนิ่ง ก็จะทิ้งคำภาวนาไปเอง เหมือนเราลืมภาวนาไป
หรือมีความรู้สึกว่า ไม่อยากจะภาวนา สัมมาอะระหัง อีกต่อไป อยากหยุดใจนิ่งเฉยๆ
ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องภาวนาอีกต่อไป
แต่เมื่อใดใจฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น เราจึงย้อนกลับมาภาวนา สัมมาอะระหัง ใหม่
ฐานที่ ๗ ที่หยุดใจของพระอริยเจ้า
ให้ประคองใจกันไปอย่างนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ให้ใจของเราหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ที่เดียว ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์
พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่ท่านหยุดใจของท่านนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
เรื่องจริงของชีวิต หรือสัจธรรม ความรู้ที่แท้จริงของชีวิต
ก็คือการทำใจให้หยุดนิ่ง เป็นทางเดียวที่จะหลุดรอดพ้นจากความทุกข์ทรมานของชีวิต
และเข้าถึงความสุขอันเป็นอมตะ สุขที่แท้จริง สุขที่ยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ
และเป็นทางเดียวที่จะหลุดรอดพ้นจากกิเลสอาสวะ ที่บังคับบัญชาให้เราเวียนว่ายตายเกิดด้วยความไม่รู้
ฐานที่ ๗ ทางรอดพ้นจากเงื้อมมือพญามาร
จะหลุดรอดพ้นจากเงื้อมมือพญามารได้
มีเพียงอย่างเดียวและที่เดียว คือ ทำใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งพญามารกลัวนักกลัวหนาทีเดียว กลัวว่าเราจะไปรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต แล้วหลุดพ้นการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร
ด้วยใจที่หยุดนิ่งอย่างนี้
เพราะความกลัวที่จะบังคับบัญชาเราไม่ได้อีก
จึงพยายามทุกวิถีทาง ที่จะทำให้ใจของเราไม่หยุดไม่นิ่ง
ให้วิ่งซัดส่ายไปตามอารมณ์ต่างๆ ให้เกิดความยินดียินร้าย ในเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ
ให้หลงสนุกสนานเพลิดเพลินไปในทางโลกๆ จนกระทั่งหมดเวลาของชีวิต
และระหว่างนั้นพญามารก็เดินเครื่องให้เรามีความแก่เพิ่มขึ้น
เจ็บเพิ่มขึ้น จนกระทั่งถอดกายมนุษย์ละเอียดออกจากกายมนุษย์หยาบได้
จนกระทั่งเราไม่สามารถอยู่ในกายมนุษย์หยาบนี้ได้
เพราะพญามารกลัวกายมนุษย์หยาบของเราที่ใจหยุดนิ่งได้
เพราะฉะนั้น ชีวิตที่ผ่านมาเราจะเห็นว่า เราไม่เคยเจอความสุขที่แท้จริงเลย
เราไม่รู้เรื่องราวอะไรของชีวิต เรื่องราวของตัวเราเอง
ของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย กลายเป็นความลับของชีวิตของเรา
เราเกิดมาเจออะไร เราก็ทำตามคนที่เขาเกิดมาก่อนอย่างนั้น ก็ฟุ้งเฟ้อกันเรื่อยไป
ตามประสาผู้ไม่รู้ทั้งหลาย จนกระทั่งหมดเวลาของชีวิต
หมดเวลาที่จะอยู่ในกายมนุษย์หยาบ ซึ่งเรื่องของชีวิตก็น่าจะสิ้นสุดเพียงแค่นี้
แต่ชีวิตมันไม่เป็นอย่างนั้น ยังมีชีวิตใหม่หลังจากที่เราตายแล้วอีก มีเรื่องราวอีกเยอะ
ซึ่งเราก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่า เราตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมที่พญามารเขาบังคับบัญชาอยู่
บังคับให้เราคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ผิดศีลผิดธรรม
โดยเอากิเลสเข้ามาบังคับให้เราสร้างกรรม
แล้วก็เก็บผลนั้นส่งต่อไปอีกเป็นวิบาก หลังจากที่เราตายแล้ว สร้างภพภูมิใหม่ที่ทุกข์ทรมาน
สร้างกายใหม่ เอาบาปที่บังคับได้นั้นประกอบให้ชีวิตเรามีทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตอนเป็นมนุษย์อีก
นับครั้งไม่ถ้วนอย่างที่เรานึกไม่ถึงเลย
แล้วก็สร้างเครื่องทัณฑ์ทรมาน กำหนดกฎเกณฑ์ระยะเวลาอันยาวนานอยู่ในอบายภูมิ
ในมหานรก อุททสนรก ในยมโลก กว่าจะหลุดมาแต่ละด่านก็ใช้เวลายาวนานมาก ทั้งๆ
ตอนที่เป็นมนุษย์ก็ใช้เวลาสร้างกรรมไม่นานเท่าไร
หลุดจากยมโลก แล้วยังมาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานอีก
ทุกข์ทรมานอย่างเดียว ไม่รู้ทางออก ทางรอดพ้นของชีวิตที่ทุกข์ทรมาน ทุกข์ทรมานกว่าตอนเป็นมนุษย์
ฝ่ายบุญนี่แหละที่ไปช่วย หลายๆ
คนไม่รู้เรื่องรู้ราว มักจะรำพึงว่า บุญไม่ช่วย ทั้งๆ ที่บุญช่วยตลอดเวลา ตั้งแต่ให้พ้นจากในอบาย
กระทั่งมาอยู่ในสภาพที่เป็นมนุษย์ พ้นจากมนุษย์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ให้มารู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
ให้สร้างกุศลกรรม ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
และสร้างภพภูมิให้เหมาะสมกับความดีของเราที่ทำไว้ตอนเป็นมนุษย์
ภพของสุคติตั้งแต่สวรรค์ ๖ ชั้น เป็นต้น เรื่อยๆ กันไปอย่างนั้น
แม้แต่อยู่ในสุคติภูมิ พญามารก็ยังเข้าไปบังคับอีก
ให้เพลิดเพลินในเรื่องราวของความเป็นทิพย์ เป็นเทวดาตกสวรรค์อีก ให้เพลินไปถึงพรหมโลก
รูปภพ อรูปภพ ติดสุขอยู่ในนั้นอีกยาวนาน แต่สุขที่มีขอบเขตจำกัด
และก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร กว่าจะกลับมาเป็นมนุษย์อีก
หรือบางทีจากพรหมก็หล่นไปอบายก็มี
เพราะฉะนั้น ทางรอดของชีวิตจึงมีที่เดียว
คือศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้
ผู้ค้นพบ ฐานที่๗
กว่าจะมีการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็สร้างบารมีมายาวนานกว่าจะเต็ม
๓๐ ทัศ อย่างน้อยก็ ๒๐ อสงไขยแสนมหากัป กว่าจะมาเจอศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ จนกระทั่งทิ้งทุกอย่าง
วางทุกสิ่ง นิ่งอย่างเดียว ไม่มีถอนถอยเลย จึงหลุดเข้าไปสู่ภายใน ผ่านกายในกายต่างๆ
จนกระทั่งถึงกายธรรม ตั้งแต่กายธรรมโคตรภู โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีอรหัต
เรื่อยไปเลย กว่าจะหลุดพ้นจากเงื้อมมือของพญามาร ในระดับที่พ้นจากวัฏฏะสงสาร แล้วก็มาเป็นพระบรมครูสอนผู้อื่นได้ก็ยาวนานเหลือเกิน
แล้วก็มีช่วงเวลาในการสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้ก็แค่
๔๕ ปี อายุแค่ ๘๐ ปี ก็ต้องถูกถอดกาย ต้องดับขันธปรินิพพานเข้าสู่อายตนนิพพาน เหลือแต่ความรู้ที่ทิ้งไว้แทนพระองค์ท่าน
หยุดเป็นตัวสำเร็จ
สรุปก็คือ การหยุดนิ่ง
“สมณะหยุดแล้ว”
ที่ท่านกล่าวเป็นนัยยะให้ท่านองคุลีมาล คือใ จท่านหยุดนิ่งแน่น จนได้ชื่อว่า เป็นสมณะแท้
กายสงบ วาจาสงบ เพราะใจสงบหยุดนิ่งแน่น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมอรหัต
เมื่อผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพานตามพระองค์ท่านกันมากมาย
เพราะฉะนั้นหยุดนิ่งจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
ที่จะทำให้เราดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง ปิดอบาย ไปสวรรค์ มีสุขในปัจจุบัน และก็ดับทุกข์ได้
จึงเป็นเรื่องที่สำคัญทีเดียวที่ลูกทุกคนจะต้องเอาใจใส่
คำว่า ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต
คือ เมื่อเกิดมาแล้วต้องรู้จักทำใจให้หยุดนิ่ง ไม่ว่าเราจะอยู่ในเพศอะไรก็ตาม
เพศคฤหัสถ์ หรือบรรพชิต ก็ต้องเอาใจมาหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
จนกระทั่งเข้าถึงกายธรรมภายใน
เมื่อไปถึงตรงนั้นแล้ว ธรรมจักขุก็เกิด ญาณทัสสนะก็เกิด สามารถศึกษาวิชชา
๓ ได้ วิชชาที่จะทำให้เราดับทุกข์ได้ เข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้
หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะได้ ระลึกชาติ เช่น ระลึกชาติหนหลังได้ เรื่องราวของเรา
ภาพชีวิตของเราตั้งแต่ก่อนมาเกิดเรื่อยมา จะปรากฏให้เราเห็น เปิดเผยขึ้นมาเรื่อยๆ
เมื่อเราใจหยุดนิ่งแน่นอย่างนุ่มนวล
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระธรรมกายในตัว วิชชาที่ ๑ ก็เกิดขึ้นได้ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
วิชชาที่ ๒ ก็เกิดได้ จุตูปปาตญาณ การเห็นภพภูมิอะไรต่างๆ ทั้งหมด เห็นกฎแห่งกรรม การเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นได้
จะทำให้ความเห็นของเรา มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพาน ทำวิชชาที่ ๓ ให้เกิดขึ้น คือ
มุ่งไปดับที่เหตุ ที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ แบบผู้ไม่รู้ทั้งหลาย
และก็เห็นหนทางที่จะหลุดพ้นจากภพทั้ง ๓ เพราะฉะนั้นหยุดจึงเป็นตัวสำเร็จที่สำคัญทีเดียว
ธุรกิจกับจิตใจต้องไปด้วยกัน
ลูกทุกคนก็ต้องให้ความเอาใจใส่ ไม่ว่าจะทำมาหากิน ทำมาค้าขาย
ทำมาสร้างบารมี จะทำอะไรก็แล้วแต่ ต้องทำควบคู่กันไป ธุรกิจกับจิตใจต้องไปด้วยกัน เราจะรอเวลาให้พร้อมมันคงยาก
มันขึ้นอยู่กับเราทำตัวของเราให้พร้อม คือ ทำควบคู่กันไป
แบ่งใจไว้ครึ่งหนึ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อีกครึ่งหนึ่งเราจะทำมาหากินอะไร เราก็ทำกันไปเถอะ
แต่ภายในก็ให้ชำเลืองดูศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ถ้าเราฝึกจนคุ้นแล้ว ไม่ช้าก็จะติดเป็นนิสัย
เป็นอุปนิสัยติดตัวเราไปเลย จนคุ้นเคยและก็ชินไปในที่สุด ไม่ว่าจะลืมตา ทำอะไรก็แล้วแต่
ข้างในก็จะชัดใสแจ่มอยู่ตลอดเวลา แม้ข้างนอกเคลื่อนไหว แต่ข้างในก็หยุดนิ่งได้
จนกระทั่งถึงระดับข้างนอกเคลื่อนไหวก็เคลื่อนเข้าไปสู่ภายในได้
ทั้งหมดนี้ก็ต้องอาศัยการฝึกฝน ให้ความสำคัญกับตรงนี้ พอมาถึงตรงนี้ เราจะเสียดายวันเวลาที่ผ่านมา
ที่เราไปใช้ชีวิตที่มันไม่เกิดประโยชน์ เราจะหวงแหนเวลาที่เหลืออยู่นี้ ให้เป็นไปเพื่อการสั่งสมบุญบารมีให้ยิ่งๆ
ขึ้นไป
ทำบุญให้ถูกหลักวิชชา
ก่อนที่เราจะประกอบพิธีสำคัญ คือ สร้างมหาทานบารมีก็ดี
ได้รับเหรียญพระผู้ปราบมารก็ดี รับพระของขวัญก็ดี เราต้องทำให้ถูกหลักวิชชา คือ ทำใจให้หยุดนิ่ง
ให้ใจเราใสสะอาดบริสุทธิ์เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่ที่จะเกิดขึ้น
ถ้าเป็นมหาทานบารมี ทำน้อยก็จะได้บุญมาก ทำมากก็จะได้บุญเยอะ
เพราะทรัพย์แต่ละบาทแต่ละสตางค์ กว่าเราจะหามาได้ มันยากลำบาก
ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันกัน โดยเฉพาะในยามนี้ ผู้ฉลาดต้องรู้จักวิธีที่จะทำบุญทำทาน
ทำน้อยให้ได้บุญเยอะ ทำเยอะก็ให้ได้บุญมาก
ผู้ที่จะมารับของขวัญพระผู้ปราบมารจะให้ศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์ มีเดช
มีอานุภาพ เชื่อมสายบุญบารมีกับพระเดชพระคุณหลวงปู่ได้ ก็จะต้องเชื่อมกันที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ตรงนี้ ตำแหน่งเดียวที่เดียว เมื่อตัวแทนของพระเดชพระคุณหลวงปู่
คือพุทธบุตรทั้งหลายมอบให้ มือเรารับจากท่าน แต่ก็ต้องส่งต่อไปถึงศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ซึ่งท่านรอคอยเราอยู่ตรงนั้น อยู่ภายในตัวของเรา
และเราก็อยู่ภายในกลางกายของท่าน สิ่งนี้ก็จะมีอานุภาพ ไม่ใช่เป็นแบบของตาย ๆ
แต่เป็นของเป็น ๆ ทีเดียว เหมือนมีชีวิตจิตใจ ไปได้มาได้ เปล่งแสงได้ พูดได้
ช่วยเหลือปกป้องผองภัยได้
เพราะฉะนั้น ต้องทำให้ถูกหลักวิชชา
ในช่วงนี้เป็นช่วงที่เราจะต้องชำระกาย วาจา ใจของเรา ให้ใส ให้สะอาดบริสุทธิ์
ให้เหมาะสมต่อการสร้างมหาทานบารมี ให้เหมาะสมต่อการรับของที่ระลึก
เหรียญพระผู้ปราบมาร เหรียญพระของขวัญอะไรต่างๆ ก็ดี จะได้มีอานุภาพ
ดังนั้นให้ลูกทุกคน ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบ ๆ นะจ๊ะ
วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2565