ตำแหน่งที่วางใจ
วันอาทิตย์ที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑ ( ๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น. )
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
·
ปรับกาย ปรับใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ให้ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรานะ ตั้งแต่ใบหน้า ศีรษะ
ลำคอ บ่าไหล่ แขนทั้งสองถึงปลายนิ้วมือให้ผ่อนคลาย ลำตัว ขาทั้งสองถึงปลายนิ้วเท้า
ให้ผ่อนคลายทั้งเนื้อทั้งตัวนะ ขยับเนื้อขยับตัวให้อยู่ในท่านั่งที่ถูกส่วน ที่เรามีความรู้สึกว่า
ไม่ปวด ไม่เมื่อย สามารถนั่งได้อย่างสบายๆ
การที่จะทำให้ใจเข้าถึงสมาธินั้น
ต้องสอดคล้องกันระหว่างกายและใจ ร่างกายก็ต้องสบาย ใจก็ต้องเบิกบาน แช่มชื่น
ต้องง่ายๆ จึงจะเข้าถึงได้
·
วางใจเบาๆ
การทำสมาธิก็คือการพักผ่อนหย่อนใจ
อย่างถูกหลักวิชชา คือพักภารกิจต่างๆ ผ่อนคลายทุกส่วน และก็หย่อนใจของเราที่ตึงๆ
นั้น หย่อนลงไปกลางกายฐานที่ ๗ ให้ใจหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ใจเย็นๆ
เมื่อใจวางเบาๆ
ที่กลางท้อง ในระดับที่เรามั่นใจว่า เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เบาเหมือนขนนกที่ค่อยๆ ลอย แล้วตกสัมผัสลงไปที่แผ่นผิวน้ำ
หรือค่อยๆ วางเข็มเย็บผ้าไปบนผิวน้ำ โดยไม่ให้มันจม ใจก็เช่นเดียวกัน ต้องค่อยๆ
ผ่อน แล้วก็หย่อนใจให้หยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ให้ใจกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว
ในแหล่งที่ตั้งดั้งเดิมที่ถูกต้อง ซึ่งจะนำไปสู่ความสุข และความสมหวังในชีวิต
คือเข้าถึงความสุขที่แท้จริง ที่ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่านี้หรือเท่านี้
·
ความสุขอยู่ในตัว
ความสุขที่เราแสวงหาภายนอกนั้นไม่มี
เราจะหาไม่ได้จากคน จากสัตว์ จากสิ่งของ จากทุกสิ่งทุกอย่างภายนอก
เพราะว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่ภายนอก ล้วนแต่ไปสู่จุดสลาย ผุพังไปทั้งสิ้น
ยังประคับประคองตัวเองยังไม่ได้
ที่ผ่านมา เพราะเราไม่รู้วิธีการ
แต่เรามีความปรารถนา อยากจะเข้าถึงความสุข ความสมหวังในชีวิต
ความปรารถนานั้นก็ดึงไปตามความเข้าใจ ตามความรู้ ตามรสนิยมของเรา
ซึ่งเป็นความรู้ที่ไม่ถูกต้องบ้าง หรือถูกต้องบ้าง แต่ไม่สมบูรณ์
จึงไม่ได้เจอความสุขที่แท้จริง และความพึงพอใจอันสูงสุด หรือความสมหวังในชีวิต จึงไม่เกิดขึ้น
·
พระพุทธเจ้าก็แสวงหาความสุข
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เคยผ่านวิธีการดังที่พวกเราเคยผ่านมาก่อน
ผ่านการแสวงหา ความสุขที่แท้จริงที่พ้นทุกข์ได้ ดับทุกข์ เข้าสู่ภาวะไม่สุขไม่ทุกข์
แล้วก็สุข แต่ไม่เคยเจอเลย จากคน จากสัตว์ สิ่งของ ลาภ ยศ สรรเสริญ ซึ่งที่ผ่านมาพระองค์มีมากกว่าเราในทุกสิ่งที่เราอยากได้
แต่ทรงค้นพบว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำให้มีความสุขเลย มันมีปัญหาและแรงกดดันอยู่กับสิ่งเหล่านั้น
เพราะฉะนั้น ในทุกๆ
ชาติของการแสวงหาของท่าน ท่านก็ต้องปลีกวิเวกออกจากการครองเรือน
จากทรัพย์สินเงินทอง โลกียทรัพย์นั้น แล้วก็ไปอยู่ตามลำพัง
เพื่อให้โอกาสตัวเองในการแสวงหาสิ่งที่ถูกต้อง ที่จะทำให้เกิดความพึงพอใจอันสูงสุด
และไม่ต้องการอะไรอีกเลย และท่านก็ค่อยๆ ถูกต้องมาเรื่อยๆ แต่มันยังไม่สมบูรณ์ ก็คือการทำสมาธิ
ท่านผ่านการทำสมาธิในหลายๆ
รูปแบบ ตั้งแต่สมาธินอกตัว มาถึงสมาธิในตัว กว่าจะไปถึงแห่งจุดแห่งความสูงสุดของสมาธิที่อยู่นอกตัวแบบฤๅษีชีไพร
ถึงขั้นได้อภิญญา ๕ เมื่อใจหยุดนิ่งได้ในระดับหนึ่ง เข้าถึงโลกียฌาน สามารถทำสิ่งเหนือธรรมชาติ
เหนือความคาดคิดของมนุษย์ เช่น เหาะเหินเดินอากาศได้ เป็นต้น แต่ก็ยังไม่พบกับความสมหวังในชีวิตอย่างสมบูรณ์
ท่านจึงแสวงหาเรื่อยไป
และระหว่างการแสวงหา ท่านก็สร้างบารมีไปเรื่อยๆ บริจาคทรัพย์ อวัยวะ ชีวิต เพื่อที่จะเป็นทางมาแห่งบุญ
เพื่อให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข และเพื่อความปลอดกังวลของท่าน ที่ท่านจะได้มีโอกาสให้แก่ตนเอง
ในการทำสมาธิให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
และในที่สุด
เมื่อสั่งสมมาบารมีความดีมาหลายๆ ชาติ เมื่อถึงความสมบูรณ์
เต็มเปี่ยมประดุจพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญแล้ว บารมีของท่านซึ่งอยู่ในตัวนั่นแหละ
และก็อยู่กลางตัว จึงนำไปสู่ความสมปรารถนาของท่าน ได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ด้วยวิธีการไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องคิด ไม่ต้องพูด และก็ไม่ต้องทำอะไร
ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ นั่นแหละ ที่เราคุ้นกับคำว่า วันวิสาขบูชา
วันนั้นท่านปลอดกังวลอย่างยิ่ง
ไม่ติดกังวลอะไรเลย ในใจท่านใสๆ ไม่ห่วงใย ไม่อาลัยอาวรณ์ ใจท่านพรากจากสิ่งที่ทุกคนเคยติด
และท่านก็เคยติดข้อง เคยยึดมั่นถือมั่นอยู่ ท่านก็คลายความผูกพันความยึดมั่นถือมั่น
ที่เรียกว่า นิพพิทา คือมองเห็นว่าโลกใบนี้ประดุจกองเพลิงที่มองไม่เห็นไฟด้วยตามนุษย์
แต่มีความเร่าร้อนมากกว่าดวงอาทิตย์ มากมายนัก เพราะฉะนั้นท่านก็เบื่อหน่ายและคลาย
พอคลายความผูกพัน ก็ตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าไม่ได้บรรลุธรรมที่จะดับทุกข์ได้
หลุดพ้นจากทุกข์ได้ จะไม่ลุกจากที่ แล้วท่านก็วางใจนิ่งเฉยๆ
เนื่องจากใจท่านอบรมบ่มจริตอัธยาศัยมานาน
เมื่อบารมีเต็มเปี่ยมเข้า ก็กลับมาหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ อยู่ภายในกลางกาย สัมมาสมาธิก็เกิดขึ้น
จากการดำเนินชีวิตแบบวิถีทางของพระอริยเจ้า ที่เรียกว่า อริยมรรค มีองค์ ๘ นั่นแหละ ๗
ประการแรกเป็นเครื่องสนับสนุน ประการที่ ๘ คือสัมมาสมาธิ คือจะต้องดำเนินวิถีชีวิตแบบพระอริยเจ้า
ถ้าต้องการพ้นทุกข์จริงๆ ตั้งแต่สัมมาทิฐิเรื่อยมาเลย มาตามลำดับ ๗ ข้อนั้นก็เป็นพลังผลักดัน
ให้มาถึงข้อที่ ๘ คือ สัมมาสมาธิ คือ ๗ ข้อนั้นไม่อาจที่จะดับทุกข์ได้ แต่ว่าเกื้อหนุนต่อการดับทุกข์
จะพ้นทุกข์ได้มันต้องสัมมาสมาธิ พูดภาษาชาวบ้าน คือต้องทำสมาธินั่นเอง ใจต้องไม่เกี่ยวพันกับสิ่งใด
ไม่ข้องกับสิ่งใด ต้องกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ให้ใจและกายเป็นหนึ่งเดียวกัน
·
ทำไมต้องฐานที่ ๗
ถ้าเมื่อใดใจและกายเป็นหนึ่งเดียวกันในตำแหน่งที่ถูกต้อง
ก็จะขับเคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน แล้วก็หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานของชีวิตไปได้
เหมือนสารถีฝีมือดี
นั่งอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องของพวงมาลัย ก็สามารถขับเคลื่อนรถไปถึงจุดหมายปลายทางได้
ใจที่มาตั้งมั่นในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งท่านค้นพบในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ นั้น
ก็เป็นประดุจสารถีผู้ฉลาด ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ตรงตำแหน่งของพวงมาลัย
ที่จะขับเคลื่อนใจไปสู่จุดหมายปลายทาง ตำแหน่งที่ถูกต้องในตัวนั้น อยู่ที่ ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
นี่คือคำตอบว่า
ทำไมต้องศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เพราะฐานอื่นๆ นั้นขับเคลื่อนไปไม่ถึง เหมือนเรานั่งอยู่ไม่ถูกตำแหน่งของสารถี
ที่จะขับเคลื่อนใจไปสู่จุดหมายปลายทางได้ เมื่อในยานพาหนะมีตำแหน่งอยู่เพียงตำแหน่งเดียวที่พวงมาลัย
ประดิษฐานอยู่ ตั้งอยู่ ตำแหน่งที่ถูกต้องก็มีเพียงที่เดียว ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ นี่แหละคือคำตอบว่า ทำไมต้องฐานที่ ๗
·
พระรัตนตรัยภายใน
และก็เป็นเช่นนี้กันทุกๆ
พระองค์ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว ก็ขับเคลื่อนสรีระยนต์
ในตำแหน่งที่ถูกต้องตรงนี้ แล้วก็เคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน เห็นไปตามลำดับ จนกระทั่งเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
ถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ แล้วก็สังฆรัตนะ
พุทธรัตนะ คือ ธรรมกายเกตุดอกบัวตูม
ใสเป็นเพชร ใสเป็นแก้ว ใสเกินใส ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการเลย
กายนี้แหละเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว เพราะประกอบด้วยธรรมจักขุ และญาณทัสสนะ
ที่ทำให้เกิดปัญญา วิชชา และแสงสว่าง รอบรู้ในสรรพสิ่งทั้งหลาย และในกลางของท่านก็มีคลังแห่งความรู้คือ
ธรรมรัตนะ คือ คลังแห่งความรู้
อยู่ในกลางของพุทธรัตนะ ถูกเก็บไว้ในกลางกายของพระธรรมกาย
ในกลางคลังแห่งความรู้ก็มี
สังฆรัตนะ
เป็นกายละเอียดของธรรมกายซ้อนอยู่ รักษาคลังแห่งความรู้ตรงนี้ ให้ขยายมาสู่พุทธรัตนะ
๓
อย่างนี้จะรวมอยู่เป็นจุดเดียว แต่อุปกรณ์เรียกชื่อกันคนละอย่าง ซึ่งมิอาจแยกจากกันได้
เหมือนอวัยวะภายในร่างกายของเรา มันคนละอย่าง แต่ว่าแยกออกจากกันไม่ได้
เหมือนยานพาหนะที่อุปกรณ์ของรถ เรียกชื่อกันคนละอย่าง แยกกันไปคนละส่วน
แต่ก็ต้องมารวมเป็นหนึ่งเดียวกัน จึงจะขับเคลื่อนไปได้
พระรัตนตรัยในตัวนี่แหละคือสรณะ
ที่พึ่งที่ระลึกอันประเสริฐ ที่จะขับเคลื่อนให้หลุดพ้นจากวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิดในภพทั้งสาม
ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ ไปสู่อายตนนิพพานได้ เพราะอายตนนิพพานนั้น ไม่มียวดยานพาหนะอันใดจะไปถึง
แม้ผู้มีสมาบัติ ๘ เหาะเหินเดินอากาศได้ ทรงอภิญญา ๕ ก็ไปไม่ได้ จะต้องขับเคลื่อนด้วยรัตนะภายใน
ซึ่งอยู่ในกลางกายของทุกคน
เรามาถึงจุดนั้นได้
เราก็หลุดพ้นจากผังที่เขาบังคับบัญชาเอาไว้ได้ เอากามาสวะ กิเลสคือกาม ภพเป็นที่รองรับ
ความไม่รู้ ความเห็นผิดมาผูกพันติดเอาไว้อยู่ในภพ หลุดไปได้ เป็นกายธรรมอรหัตผล
หลุดพ้นไปเลย เหมือนปลาที่หลุดจากข้องที่ใส่ปลา แล้วพ้นไปอย่างเด็ดขาดสู่แม่น้ำ
เป็นอิสระ
ผู้ที่พ้นแล้วก็เช่นเดียวกัน
ก็เป็นอิสระจากความครอบงำของกิเลสอาสวะ ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ทรมานของชีวิต จะอยู่เป็นสุขได้ด้วยตัวของตัวเอง
พึ่งตัวเองได้ เหมือนดวงตะวันที่มีแสงสว่างอยู่ได้ด้วยตัวเอง มีสุขเป็นนิรันดร์เลย
เอกันตบรมสุข
สุขอย่างยิ่งอย่างเดียวไม่มีทุกข์เจือปนเลย
เพราะฉะนั้น ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ จึงเป็นตำแหน่งที่ถูกต้อง ซึ่งถ้าเอาใจมาวางแล้วค่อยหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ ถูกส่วนก็จะเข้าถึงดวงธรรม
แล้วก็เห็นไปตามลำดับ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนภาคเช้า
ก็จะเห็นดวงธรรมในดวงธรรม
เห็นกายในกาย เป็นต้น ที่ซ้อนๆ กันอยู่ภายใน เป็นกายในกายที่ซ้อนๆ กันอยู่
เป็นชีวิตหลายๆ ระดับ เมื่อเข้าถึงกายธรรมไปแล้ว
ความคิดก็จะถูกต้อง พูดถูกต้อง ทำถูกต้อง สิ่งที่ถูกต้องก็จะบังเกิดขึ้นกับโลกมนุษย์
ถ้ามนุษย์ทุกคนได้รับความรู้ตรงนี้ และเกิดการแสวงหา ขวนขวาย นำใจกลับมาสู่ตำแหน่งที่ถูกต้อง
ก็จะคิดถูกต้อง พูดถูกต้อง ทำถูกต้องเหมือนๆ กัน สิ่งที่ถูกต้องและดีงามก็จะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้
·
มีบุญมากที่ได้มาปฏิบัติธรรม
วันนี้เป็นวันดีที่ลูกทุกคนได้มาทำสิ่งที่ถูกต้อง
ถูกวัตถุประสงค์ของการมาเกิดเป็นมนุษย์ ให้มีปีติและภาคภูมิใจเถิดว่า เรามีบุญมาก
มากกว่าใครๆ ในหลายพันล้านคนในโลกที่ยังไม่รู้อะไรเลย แต่ว่าเมื่อเรามีบุญแล้ว
หาบุญได้ก็ต้องใช้บุญเป็น ให้บุญที่เรามีอยู่ เพราะเราหามานั้นเป็นไปเพื่อเป็นกำลังแห่งการตรัสรู้ธรรม
ส่งผลให้เราหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ด้วยวิธีการที่ง่ายๆ พักผ่อนหย่อนใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗
·
ทำถูกวิธีจะเข้าถึงประสบการณ์ภายใน
ถ้าทำอย่างนี้ได้
เดี๋ยวใจก็จะใสๆ จากการหลับตาที่มืดๆ มันก็จะค่อยๆ เรืองรองขึ้น เหมือนเวลากลางคืน
ยิ่งดึกยิ่งใกล้สว่าง ใกล้สว่างฟ้าก็จะสางๆ แสงเงินแสงทองของดวงตะวันก็จะสาดส่อง ขับความมืดในอากาศ
ให้ค่อยๆ ทยอยหมดสิ้นไป
ใจที่เราหยุดอยู่ภายใน
ก็จะค่อยๆ ทำลายความมืดที่อยู่ในใจ ค่อยๆ แจ้งขึ้น สว่างขึ้น
โดยจะมีสัญญาณเกิดขึ้นจากภายในก่อนที่ความสว่างจะบังเกิดขึ้น ก็คืออาการที่ใจเริ่มสัมผัสกระแสแห่งความบริสุทธิ์
กระแสแห่งความสุขภายในที่ชุ่มเย็นออกมา และทำลายความอึดอัดคับแคบของกาย โดยเราจะมีความรู้สึกว่า
เรารู้สึกปลอดโปร่งใจอย่างแท้จริง แต่ก่อนเราเคยขอยืมคำนี้มาใช้ เมื่อเราเจอปัญหาและแรงกดดัน
แต่ปัญหาเมื่อผ่านพ้นไป เราก็รู้สึกปลอดโปร่งใจ แต่ความจริงเรายังไม่ได้ปลอดโปร่งใจอย่างแท้จริง
แต่เรายืมคำนี้มาก่อน เมื่อความทุกข์มันลดลง
แต่ความปลอดโปร่งใจที่แท้จริงจะเกิดขึ้น
เมื่อใจเริ่มหยุดนิ่งอยู่ภายในได้ในระดับหนึ่ง จะเกิดความรู้สึกปลอดโปร่งใจ โล่งใจ
คือ มันจะกลวงๆ ข้างใน เหมือนตัวเราเป็นโพลง เหมือนโพลง เหมือนอุโมงค์กลวงๆ
แต่กลวงที่ถูกอัดแน่นด้วยความสุข สดชื่น อย่างที่เราไม่เคยเป็นมาก่อน
คือทำให้เราเกิดความพึงพอใจจะอยู่ในอารมณ์นี้ แม้ยังไม่เห็นอะไรเลย แม้ยังมืดอยู่
แต่ความรู้สึกเป็นโพลง กลวงๆ ภายใน มันทำให้เราเกิดความพึงพอใจ
เหมือนเราหยุดเวลาของโลกนี้เอาไว้ กาลเวลาถูกเราเอาชนะ มันผ่านไปเร็วเหลือเกิน เรามีความรู้สึกเหมือนเรานั่งไปประเดี๋ยวเดียว
ถ้าเราไม่ลืมตาดูนาฬิกาเราจะไม่ทราบเลยว่า เวลาของนาฬิกามันผ่านไปยาวนาน
เพราะเราพึงพอใจกับอารมณ์นี้
แต่ความพึงพอใจนี่
ใจก็จะอยู่ในจุดที่พึงพอใจ คือมันเกิดความพึงพอของใจนี่แหละ ไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้
เพราะว่าอยู่ในนี้ไปนานๆ กายของเราที่รู้สึกอึดอัดก็จะขยาย มันจะกว้าง มันจะโล่ง เหมือนมันโตเท่ากับขอบฟ้านั่นแหละ
แล้วก็สลายไป กลมกลืนไปกับบรรยากาศ เหมือนเราและลมหายใจกับจักรวาลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ไม่อาจแยกจากกันได้ ความรู้สึกอย่างนี้มันทำให้เกิดความบันเทิงใจในทุกอณูเนื้อของกายและใจของเราเลย
ความรู้สึกเช่นนี้ขยายมาสู่ระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ความพึงพอใจก็ขยายเพิ่มขึ้น
เมื่อมีความพึงพอใจมากเข้า
ใจก็จะอยู่ ณ จุดที่พอใจนี่แหละ นิ่งๆ นุ่มๆ นานๆ กระทั่งมันหายไปอีก ใจก็นิ่ง
เราก็จะเริ่มยอมรับว่า ใจนิ่ง นุ่ม มันเป็นอย่างไร เริ่มเรียนรู้ เริ่มรู้จัก และชอบกับความนิ่งนุ่มนี้
และก็รู้สึกเย็นใจนี่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
·
อยู่เย็นเป็นสุข
คำว่า อยู่เย็นเป็นสุข ก็หมายเอาอาการของใจ
เมื่อมาสัมผัสกระแสแห่งความเย็นภายใน และความสุขที่แท้จริง มันก็จะอยู่ตรงนี้
เหมือนเราเดินมากลางแดดร้อน พอเข้าใกล้ชายคา หรือร่มไม้
เราก็จะได้รับกระแสแห่งความเย็น และก็พึงพอใจ ที่จะทำให้เราก้าวต่อไป ที่จะไปนั่งอยู่โคนไม้
หรือในเรือนนั้น หรือกระแสความเย็นของน้ำตก แม้เราได้ยินแค่เสียง แต่ยังไปไม่ถึง
แต่กระแสละอองแห่งความเย็นทำให้เราเกิดความชุ่มกาย ชุ่มใจ ทำให้เราอยากเดินเข้าไปอีก
ภายในก็เช่นเดียวกัน
จะทำให้เราเกิดความรู้สึกเช่นนั้น ใจก็จะนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ต่อไปเรื่อยๆ
โดยไม่คำนึงถึงกาลเวลา ไม่คำนึงถึงเรื่องอะไรทั้งสิ้นในโลก ความรู้สึกว่าเหมือนเราอยู่ตัวคนเดียวในโลก
เกิดขึ้น ความรู้สึกว่า เราสามารถอยู่ได้คนเดียวในโลกก็เกิดขึ้นด้วย และตรงนี้แหละใจก็จะนิ่งมากเข้า
จากนิ่งหลวมๆ ก็มานิ่งแน่นขึ้น
ณ จุดที่นิ่งแน่นนี่แหละ
ความสว่างก็จะเกิดขึ้น บางคนเกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนเกิดความฉงนสงสัยว่า ใครเอาไฟมาสาดส่องหน้า
เราลืมปิดไฟภายนอกรึ หรือว่าอะไรมันเกิดขึ้น แต่บางคน ความสว่างจะค่อยๆ เป็น ค่อยๆ
ไป ละมุนละไม เหมือนน้ำที่ไหลรินมาอย่างนั้น จะค่อยๆ สว่างขึ้นๆๆ จากตี ๕
ในฤดูร้อนก็เหมือน ๖ โมงเช้า ๗, ๘ โมงเรื่อยไปเลย
ความสว่างมากับความบริสุทธิ์
ความบริสุทธิ์และความสดชื่น เป็นความสุขที่เราหาไม่ได้จากทรัพย์ จากคน จากทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยผ่านมา
จากน้ำเมา เที่ยวกลางคืน อบายมุข หรือไปที่ไหนก็แล้วแต่ และเราก็จะพึงพอใจความสุขนี้
จนกระทั่งหยุดนิ่ง
เราไม่ได้ติดความสุขนั้น
แต่ความสุขนั้นมาติดเรา เพราะเราทำถูกหลักวิชชา ความสุขที่มีอยู่แล้วในตัวนี่แหละ ได้ช่อง
ได้ช่องก็สอดเข้ามา หุ้ม เคลือบ เอิบอาบ ซึมซับ ปนเป็นอยู่ในใจของเรา
กระทั่งกระแสแห่งความสุขแช่อิ่ม เหมือนเราเอามะขามไปแช่รสต่างๆ ความเปรี้ยว
ความเค็ม ความหวาน เป็นต้น ใจก็จะถูกแช่อิ่มไปด้วยความสุข ที่เต็มไปด้วยความสว่าง และก็ความเข้าใจชีวิตเริ่มดีขึ้น
·
แสงสว่างส่องทางชีวิต
คำว่า แสงสว่างส่องทางชีวิต เราเริ่มเข้าใจว่าไม่ได้เป็นแค่คำอุปมาอุปไมยเท่านั้น
แต่มันเป็นแสงสว่างที่เกิดขึ้นจากภายใน ที่ทำให้เรารู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
ความลับของชีวิตที่ถูกปกปิดมานานสำหรับเราก็ถูกเปิดเผยขึ้น
ความเข้าใจแจ่มแจ้งในชีวิตทำให้เราดำเนินชีวิตได้ถูกต้องตามแนวทางของพระอริยเจ้า ของท่านผู้รู้
ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว และก็จะเคลื่อนเข้าไปตามลำดับ
เมื่อมองผ่านแสงสว่างเข้าไปสู่ภายใน
ใจแช่อิ่มอยู่กับความสุขสดชื่น พอถูกส่วนก็จะตกศูนย์
เหมือนหล่นจากที่สูงอย่างเบาสบาย และก็มีดวงธรรมที่มีอยู่ในตัวอยู่แล้วลอยเกิดขึ้นมา
เป็นดวงใสๆ ละมุนตาละมุนใจ สว่างไสวอยู่กลางกาย เป็นที่ตั้งมั่นของใจของเรา
ใจของเราก็จะมีหลัก
ตั้งมั่น นิ่งแน่น นุ่มนวลควรแก่การงาน ที่จะโน้มเข้าไปสู่ภายในยิ่งๆ ขึ้นไป
เพื่อการเรียนรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ใจของเราก็เป็นประดุจเรือที่ออกสู่ทะเลแห่งความรู้อันบริสุทธิ์
ที่ไม่มีขอบเขต มันไปเรื่อย เหมือนท่านผู้รู้ทั้งหลายที่ผ่านมาในอดีต
หรือในปัจจุบัน ที่ท่านผู้รู้ได้เดินทางผ่านมา เราก็จะเห็นไปตามลำดับ
เช่นเดียวกับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านได้เห็นแจ้ง รู้แจ้งแทงตลอดในสรรพสัตว์
และสรรพสิ่งทั้งหลาย กระทั่งรู้ว่าเราควรจะยึดอะไรเป็นที่พึ่งที่ระลึก แล้วก็ควรจะเลิกอะไร
ในสิ่งที่ไม่ใช่ที่พึ่งที่ระลึก ใจก็จะหยุดนิ่ง แน่นอยู่อย่างนี้เรื่อยไปจนกระทั่งถึงพระรัตนตรัยในตัว
ภาคบ่ายนี้ อากาศกำลังสดชื่น
เบิกบาน เหมาะสมที่ลูกผู้มีบุญทุกคนจะได้ประกอบความเพียร ฝึกใจให้หยุดนิ่งๆ นุ่มๆ
เบาๆ สบายๆ เพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ก็ค่อยๆ ประคองใจ ให้หยุดให้นิ่ง ดังที่ได้แนะนำมาตั้งแต่เมื่อเช้านี้
อย่างเบาสบาย
พึงจำไว้ว่า
ใจที่จะเข้าถึงสมาธิหยุดนิ่งนั้น ต้องเบา สบาย ผ่อนคลาย ง่ายๆ สบาย เบิกบาน
แช่มชื่น ไม่ต้องมีความคิด ไม่มีปัญหา ไม่มีแรงกดดัน นิ่ง นุ่ม เบา สบาย
มีหน้าที่เป็นผู้ดูที่ดี แต่ไม่ใช่เป็นผู้กำกับ มีอะไรให้ดูเราก็ดูไป ดูไปเรื่อยๆ
อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้นนะจ๊ะ ทำเพียงอย่างนี้ แค่นี้เท่านั้น
แล้วลูกทุกคนก็จะเข้าถึงความสมปรารถนา
เวลาที่เหลืออยู่นี้ก็ฝึกหยุดนิ่งไป
ต่างคนต่างทำกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
(นั่งสมาธิ)
·
รวมบุญ ดวงบุญ บุญธาตุ
คราวนี้
เราก็ประมวลรวมบุญที่เราได้ทำเอาไว้ ในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเราระลึกได้บ้าง
ระลึกไม่ได้บ้าง กระทั่งมาถึงวันนี้ ซึ่งเราระลึกได้ในยามเช้า เรามาสวดมนต์ไหว้พระ
นั่งเจริญสมาธิภาวนา และก็บูชาข้าวพระ ถวายภัตตาหาร สังฆทานแด่ภิกษุสามเณรผู้ประพฤติธรรม
ให้กำลังท่านไปบำเพ็ญสมณธรรม
ประมวลรวมหมดเลย บุญทุกภพทุกชาติ
มาถึง ณ วันนี้ จะเป็นบุญธาตุนะจ๊ะ จะเป็นดวงใสๆ เมื่อมารวมกัน เขาเรียกว่า ดวงบุญ จะมารวมเป็นดวงใส
อยู่ในกลางกาย บุญธาตุนี้เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิตของเรา
ถ้าดวงบุญโตขยายใหญ่มาก
โตมาก ความสำเร็จก็มีมาก
ถ้าดวงบุญเล็ก
ความสำเร็จก็มีน้อย อุปสรรคก็มีมาก
ถ้าดวงบุญโต
ความสำเร็จก็มีมาก อุปสรรคก็มีน้อย
ถ้าเป็นมหาเศรษฐีระดับประเทศ
รวยกว่าใครๆ ดวงบุญทานบารมีนี้ก็จะโตกว่าใคร
ถ้าสร้างทานบารมีมาน้อย
ดวงบุญก็จะเล็กๆ
ดวงบุญนี้จะอยู่ตรงกลางกายเรานี่แหละ
เป็นดวงใส ถ้าเราหยุดถูกส่วน เข้าไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับดวงบุญนั้น
เราจะเห็นสิ่งที่เราประกอบเหตุมาจะเป็นภาพ เป็นเรื่องราว แล้วก็ผลที่จะเกิดขึ้นจากเหตุที่เราประกอบ
ก็จะมีการเซ็ทโปรแกรมที่เราเรียกว่าผังสำเร็จอยู่ในนั้น ไปเป็นนั่นเป็นนี่อะไรต่างๆ
เช่น ให้สมบูรณ์ด้วยรูปสมบัติ
ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ตามกำลังแห่งบุญ คือตามขนาดของดวงบุญ
ที่โตแล้วใสสว่างขนาดไหนนั่นแหละ ขนาดนั้นก็ขึ้นอยู่กับการสั่งสม หรือการกระทำของเรา
ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ว่าถูกหลักวิชชาไหม เป็นดวงใสติดอยู่ตรงกลางกาย จะปิดอบาย
ไปสวรรค์ก็ดวงบุญนี่แหละ จะติดอยู่ทุกกาย
ถ้าอยู่ในกายมนุษย์หยาบ
ก็จะส่งผลในเมืองมนุษย์ ตอนที่เรามีกายมนุษย์หยาบ ถ้าติดอยู่ในกลางกายทิพย์ก็จะส่งผลในเทวโลกบ้าง
มีทิพยสมบัติ เพราะตรงนั้นจะเกิดขึ้นแบบไม่มีบิดามารดา พอถึงเวลาก็ปุ๊บกายเปลี่ยนไปเลยนี่
เป็นกายของชาวสวรรค์ บุญในตัวก็เกิดขึ้น ทิพยสมบัติก็บังเกิดขึ้น
บังเกิดขึ้นรอเราก่อนก็มีนี่ แล้วเราก็ไปเสวยสุขตรงนั้น ดวงบุญนี้จะเชื่อมกับทิพยสมบัติกับวิมานของเราตรงนั้น
และก็ทุกสิ่งมันจะเชื่อมกันอยู่ตรงนั้น
ถ้าดวงบุญในกายมนุษย์
ก็จะเชื่อมกับความสุข กับความสำเร็จในชีวิต จะดึงดูดคน สัตว์ สิ่งของที่ดีๆ มา
และผลักสิ่งที่ไม่ดีออกไปอย่างนี้เป็นต้น
ตอนนี้ดวงบุญติดอยู่ในกลางกายของเราแล้ว
เราก็นิ่งอยู่ตรงนี้อธิษฐานจิตของเราไป และถ้าจะอุทิศบุญ บุญนี้ก็แวบไปเลย
ถ้าหมู่ญาติอยู่ในอบาย ดวงบุญนี้จะไปคอยอยู่ จะมีที่เก็บบุญที่เราอุทิศไป เก็บอยู่ที่ตรงนั้น
พอถึงวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ หยุดทัณฑ์ทรมานก็จะได้รับบุญนี้ ก็จะเป็นอัตโนมัติเลย แวบไปอยู่ในกลางกายของผู้ที่อยู่ในยมโลก
กายก็จะเปลี่ยนไปอย่างนั้น ถ้าอยู่ในมนุษย์ ดวงบุญนี้ก็จะแวบไปที่กายมนุษย์
อยู่ภพภูมิไหนก็จะแวบไปตรงนั้น ยกเว้นภูมิที่รับไม่ได้ ก็จะต้องใช้วิธีพิเศษ ประกอบวิชชาธรรมกายไป
ดวงบุญนี้สำคัญมากนะลูกนะ
อยู่ในกลางตัว เรามองไม่เห็นด้วยตา แต่ว่าถ้าหยุดนิ่งได้เมื่อไร เข้าถึงพระธรรมกายมันก็เห็น
เห็นทุกคนนั่นแหละ เห็นอยู่ในตัว แต่จะเห็นหรือไม่เห็นก็มีอยู่แล้ว เมื่อเราทำบุญ
ทำความดี ดวงใสๆ จะติดอยู่กลางกาย และมีบุญธาตุดังกล่าวนั้น และบุญธาตุนี้ยังประกอบไปด้วยธาตุต่างๆ
เยอะแยะมากมาย
เราก็หยุดนิ่งในใจ
ใส สบายๆ นะ พอเราอธิษฐานจิต ตั้งเป้าหมาย ดวงบุญนี้ก็จะแวบไปตรงนั้น ที่จะไปทำความปรารถนาให้สมหวังตามกำลังแห่งบุญ
ถ้าความปรารถนาใหญ่ก็ต้องสั่งสมบุญเยอะๆ เหมือนเราจะซื้อสิ่งของต่างๆ ต้องมีทรัพย์ไปตามกำลังสิ่งของนั้น
ความปรารถนาของเราเหมือนกัน จุดมุ่งหมายจะสำเร็จได้เมื่อพอเหมาะกับกำลังบุญที่เราได้สั่งสมเอาไว้
นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเรา ไม่ใช่ไกลตัว และก็ไม่ใช่ใกล้ตัว
แต่เกี่ยวข้องกับชีวิตเราเลย เพราะฉะนั้นต้องสั่งสมไว้นะลูกนะ
วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2565