อานิสงส์ฝึกใจให้หยุดนิ่ง
วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ (๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น)
สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย - ปรับใจ -
วางใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ทำใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส กันทุกๆ
คนนะ
อย่าหลับกันนะลูกนะ
เดี๋ยวจะอยู่ในช่วงของการระลึกนึกถึงบุญ แล้วเราจะต้องตั้งผังอธิษฐานจิต และอุทิศบุญกุศลไปให้บรรพบุรุษ
บุพการี หมู่ญาติ ที่ละโลกไปแล้ว รวมทั้งคู่กรรมที่เราเคยไปเบียดเบียนเขาด้วยกาย
วาจา ใจ มันเป็นวิบากกรรม แล้วก็แผ่ส่วนบุญกุศลที่เราทำวันนี้ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นอย่าหลับกันนะ
หลับตาเบาๆ
พอสบายๆ หลับหลอกๆ เท่านั้น อย่าไปหลับจริง หลับเฉพาะเปลือกตา เพื่อจะได้ไม่ฟุ้ง
แล้วก็เอาใจน้อมไปหยุดนิ่งๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ กลางท้องเหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เป็นที่สิงสถิตของพระรัตนตรัย
แล้วก็ดวงบุญในตัวของเรา
หยุดใจไว้กลางกาย..บุญเกิดขึ้นตลอดเวลา
เราน้อมหยุดใจไปอย่างเบาสบาย
ประคองใจให้หยุดให้นิ่งๆ โดยทำความรู้สึกไว้ในกลางกาย อย่ากดลูกนัยน์ตาไปดู แค่นิ่งอย่างเดียว
หยุดนิ่ง เบา สบาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน
พยายามฝึกฝนตรงนี้ให้ได้ทุกๆ
วัน อย่าให้ขาดเลยแม้แต่เพียงวันเดียว แต่ว่าช่วงไหนของเวลาก็แล้วแต่เราสะดวก ฝึกเก็บใจไว้ในกลางกาย
หยุดนิ่ง เบาสบาย ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางดวงใส เหมือนกับเพชรใสๆ หรือพระใสๆ
อย่างใดอย่างหนึ่ง
ถ้าใจของเราอยู่ตรงนี้ได้ตลอด เราก็จะไม่ขาดช่วงของบุญเลย กระแสธารแห่งบุญจะลงมาเชื่อมกายของเราที่ศูนย์กลางกาย
บันดาลให้เกิดความสุขและความสำเร็จในชีวิต ทั้งปัจจุบันและในอนาคต
เพราะฉะนั้น
ต้องหมั่นฝึก อย่าไปท้อแท้ใจในยามที่ยังมองไม่เห็นอะไร มันยังมืดๆ เพราะก่อนที่ใครจะสว่าง
ก็มืดกันมาก่อนทุกคน ไม่มีใครสมหวังมาตั้งแต่เกิด ต้องอาศัยการฝึกฝนกันทั้งนั้น
ทุกสิ่งมีอยู่แล้วในกลางกาย
ความสว่างก็มีอยู่แล้วในตัวของเรา
ดวงธรรมต่างๆ กายภายใน กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม หรือกายธรรม
กายธรรมทุกกายธรรมตั้งแต่กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระอริยเจ้า กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี
หรือกายธรรมพระสกทาคามี กายธรรมพระอนาคามี กายธรรมพระอรหัต มีอยู่แล้วในตัวของเรา
ความสุขที่แท้จริงก็มีอยู่แล้ว
ความสว่างก็มี ความรู้ต่างๆ ก็มีอยู่ในตัวของเรา เป็นความรู้ที่แท้จริง
ที่จะทำให้เกิดประโยชน์อันสูงสุดของชีวิตเรา อยู่ในตัวของเราไม่ได้อยู่ที่ไหน
เราเหมือนเป็นห้องสมุดเคลื่อนที่ได้ เป็นแหล่งแห่งความรู้ แต่เราไม่รู้ว่า เราเป็นแหล่งแห่งความรู้
แหล่งแห่งความบริสุทธิ์ แหล่งแห่งความสุข และพลังอันไม่มีที่สิ้นสุด เราไม่รู้กันตรงนี้
เราจะเข้าถึงสิ่งทั้งหลายดังกล่าวได้
ก็ต้องอาศัยหยุดกับนิ่ง ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ได้ยาก แค่เพียงให้โอกาสกับตัวเอง แล้วก็ทำให้ถูกหลักวิชชา
คือ ฝึกหยุด ฝึกนิ่ง วางใจเบาๆ ไม่ต้องไปคำนึงถึงมืดหรือสว่าง วางใจเป็นกลางๆ
ไม่ใช่ว่าอยากเห็น
หรือว่าไม่อยากเห็นอะไร คือ วางนิ่งๆ เฉยๆ อยู่กลางๆ ของความอยากหรือไม่อยากเหล่านั้น
คือ หยุดอย่างเดียว นิ่งๆ นุ่มๆ ละมุนละไม ฝึกกันให้ได้ ต้องฝึก ตรงนี้จะเป็นที่พึ่งของเราสำคัญ
จะเป็นจุดเชื่อมต่อบุญ ความสุขแท้จริง ความรู้เรื่องความเป็นจริงของชีวิต
และพระรัตนตรัยในตัว
๔ ส.
สำเร็จ
อย่าให้วันคืนมันผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
เราจะทำมาหากินอะไร เราก็ทำไปที่เป็นสัมมาอาชีวะ แต่ว่าต้องให้ความสำคัญในการหยุดการนิ่งนี้ด้วยทุกวัน
ให้สม่ำเสมอ
ความสม่ำเสมอเป็นหัวใจของการเข้าถึงสิ่งที่มีอยู่ในตัว
สิ่งที่เราปรารถนา ต้องมีสติ สบาย สม่ำเสมอ ทุกวัน แล้วก็หมั่นสังเกตดูว่า เราทำถูกหลักวิชชาไหม ตึงเกินไปไหม
หรือว่าหย่อนเกินไป ตั้งใจมากเกินไปไหม หรือเกียจคร้าน ปล่อยมันเรื่อยเปื่อยไปหรือเปล่า
เราก็ปรับให้มาอยู่ตรงกลางๆ เดี๋ยวสิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้นกับเรา
ฝึกใจเป็นที่พึ่งยามละโลก
เมื่อเราต้องตายกันทุกคน
แล้วเรารู้หลักวิชชาว่า ขึ้นอยู่กับความใสกับความหมองของใจ ถ้าใจใสก็ไปดี ใจหมองก็ไปไม่ดี
ใจจะใสได้ก็ต้องอาศัยการสั่งสมบุญกุศล
หมั่นฝึกใจให้หยุดนิ่งอย่างนี้ ถ้าเราฝึกกันบ่อยๆ มันก็ชำนาญ พอถึงตอนนั้นเราก็จะมีที่พึ่งที่ยึดที่เกาะของใจ
เราจะไปอาศัยตอนช่วงเราใกล้จะตายตอนนั้น มันชะล่าใจเกินไป ถือว่าประมาทอาจจะพลาดพลั้งไปได้
เพราะชีวิตเราแต่ละชาตินั้นก็มีข้อผิดพลาดกันมาด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นต้องหมั่นฝึกเอาไว้
เมื่อเราป่วยใกล้จะตาย
ตอนนั้นร่างกายมันไม่ไหวแล้ว พูดก็ไม่ได้ หมดเรี่ยวหมดแรง บางคนก็จะต้องทุกข์ทรมาน
เราก็จะต้องมีตรงนี้ที่เราฝึกสั่งสมเอาไว้ ในการหยุดใจให้นิ่งๆ มันก็จะข่มทุกขเวทนาได้
ทำให้เราตามระลึกนึกถึงบุญทุกบุญที่ผ่านมาที่เราทำในชาตินี้ได้ง่ายสะดวก เท่ากับเราเปิดโอกาสให้กรรมนิมิตที่ดีๆ
ผ่านเข้ามาในใจ เพื่อจะสร้างคตินิมิตที่สว่าง เกิดขึ้นกับเรา แล้วก็เดินทางไปดุสิตบุรีวงบุญพิเศษ
เขตบรมโพธิสัตว์
ตอนนี้เราก็ฝึกใจไป
พยายามปรับกายตรงและใจให้มันได้สมดุลกัน ปรับเปลือกตา การนั่ง การวางมือ ขยับกาย
แล้วก็วางใจเบา สบาย จะนึกถึงเพชรหรือนึกถึงพระอะไรก็ได้ แล้วก็ภาวนา สัมมาอะระหังๆๆ
ไปเรื่อยๆ อย่างสบาย
ฝึกให้ได้ในทุกสถานที่
ไม่ว่าจะหนาว ร้อน อ่อน แข็ง อะไรเราก็ฝึกกันไป เพราะความตายไม่มีนิมิตหมายจะมาเยือนเราเมื่อไรก็ไม่ทราบ
สถานที่ก็เลือกไม่ได้ เราไม่รู้วันด้วย วันเวลา สถานที่ ดีที่สุดคือ ฝึกหยุด
ฝึกนิ่งอย่างนี้
แสงสว่างเกิดขึ้น..อย่าสงสัย
พอเราฝึกกันไปเรื่อยๆ
ใจมันก็เริ่มนิ่ง จากนิ่งน้อยก็มานิ่งมาก นิ่งมากเข้า แล้วก็นิ่งแน่นนุ่ม พอนุ่มตัวมันก็จะขยายจนหายไป
แสงสว่างก็จะปรากฏเกิดขึ้น มาแล้วก็อย่าไปสงสัย มีนักเรียนใหม่สงสัยกันว่ามีใครเปิดไฟหรือเปล่า
ใครเอาไฟส่องหน้าหรือเปล่า หรือเราคิดไปเอง อะไรอย่างนี้เป็นต้น
การที่เห็นแสงสว่างอย่างนั้น แสดงว่าใจมันหยุดได้ในระดับหนึ่งแล้ว หน้าที่ของเราคือ
หยุดต่อไป โดยปราศจากความคิด และคำถาม ข้อสงสัย เราไม่ต้องไปวิเคราะห์
วิจัย วิจารณ์ ประสบการณ์ภายในว่า มันอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่การทำอย่างนี้ก็ไม่ได้แปลว่า
ขัดแย้งกับความสังเกต
ความสังเกตเราจะมาใช้ตอนเลิกนั่งแล้ว ทบทวนดูว่า วันนี้ตอนที่เรานั่งแล้วมันได้ผลอย่างไร
เราก็สังเกตว่า เราทำอารมณ์ดี อารมณ์สบายมาทั้งวัน สั่งสมบุญกุศลทั้งวัน ใจมันก็เลยปลอดโปร่ง
มีความปีติสุขภายใน และจึงเป็นต้นทางในการหยุดนิ่ง แล้วก็เข้าถึงแสงสว่างดวงธรรม
แล้วก็กายภายใน คือ เราสังเกตเมื่อเราออกจากสมาธิแล้ว วันนี้เรานั่งไม่ดีเหมือนเมื่อวาน
หรือครั้งที่ผ่านมา
เพราะเราอยากได้เหมือนเดิม
อยากได้มากๆ ตั้งใจมาก เราติดใจอารมณ์เก่าของเมื่อวาน แต่มันดับไปแล้ว มันผ่านไปแล้ว
แต่มันฝังใจ อยากได้อย่างนั้นอีก เราก็เลยนั่งด้วยความทะยานอยาก
อยากจะได้อย่างนั้น แทนที่เราจะทะยานหยุด ให้มันนิ่งเฉยๆ นี่ก็คือข้อสังเกตของเรา หรือเราเห็นแล้วเราตื่นเต้น
แสงสว่างเกิดขึ้นกับเราจริงๆ ดวงธรรมใสๆ องค์พระตื่นเต้นอะไร
ที่จริง แสงสว่าง ดวงธรรม และองค์พระ สิ่งเหล่านี้มันก็มีอยู่แล้วในตัวเป็นแต่เพียงเราไม่คุ้นเคย
เพราะเราไม่เคยวางใจนิ่งไว้ภายใน เราห่างเหินศูนย์กลางกายมานานแล้ว จนกระทั่งใจของเราไปผูกพันกับสิ่งภายนอก
พอมาเจอประสบการณ์ภายในเลยอดตื่นเต้นไม่ได้
เพราะฉะนั้น
ต้องฝึกเป็นครูสอนตัวเราเองว่า ความตื่นเต้นในตอนนี้ไม่เกิดประโยชน์อะไร แถมทำให้สิ่งที่เราเห็นอยู่แล้ว
มีประสบการณ์ดีๆ อยู่แล้ว มันจะล่มสลายหายไป เราก็ต้องหัดเป็นครูสอนตัวเราซึ่งเป็นนักเรียนใหม่
ฝึกฝนนักเรียน ความรู้ภายในก็ต้องฝึกฝนกันไปอย่างนี้ ฝึกกันไป อย่าไปท้อแท้ ท้อถอย
ไม่เกิดประโยชน์อะไร
เรามีเวลาจำกัดในโลกใบนี้
ปู่ย่า ตายาย บรรพบุรุษของเราก็จากเราไปแล้ว แม้แต่มหาปูชนียาจารย์ทุกท่าน ท่านก็ยังจากเราไป
พระบรมศาสดา พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านก็ยังดับขันธปรินิพพานไปแล้ว เรายังเป็นนักเรียนใหม่
ยังมีชีวิตอยู่ ช่วงเวลาของกายมนุษย์มันจำกัด ก็ต้องขวนขวายในการฝึก ต้องนึกอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
จะได้เอาชนะความขี้เกียจ ความเกียจคร้านของเราได้ เราจะได้ไม่ลดละทำความเพียรไป นั่งไปเรื่อย
ฝึกไปเรื่อย ฝึกหยุด ฝึกนิ่ง
ความสบายมันมีอยู่แล้วในตัว
แต่เพียงเราหยุดนิ่งๆ เดี๋ยวความสบายมันก็จะวิ่งมาหาเราเอง ไม่ต้องไปแสวงหาความสบายที่ไหน
อยู่ในตัวเรา
หยุดนิ่งได้ จะไปอยู่ที่ไหนของโลกก็ได้
เมื่อใจหยุดได้จะไปที่ไหนก็ได้ในโลกนี้
จะอยู่ในเมือง ชานเมือง ในป่า ในเขา ในทะเล ที่ไหนก็แล้วแต่ก็มีความสุขในทุกหนทุกแห่ง
เพราะใจมันหยุดนิ่ง มันเข้าไปถึงแหล่งแห่งความสุขภายในแล้ว จะไปตรงไหนก็ได้ อยู่ตรงไหนก็ได้
นี่เป็นเรื่องที่สำคัญ
แต่ถ้าใจยังไม่หยุด ไม่นิ่ง แล้วเราวิ่งไปไม่หยุด แสวงหาไปทั่วโลก
ไปตรงไหนมันก็ไม่มีความสุข เหมือนคนป่วยเป็นโรคผิวหนัง มันต้องเกา ต้องคัน พอคันก็ต้องเกา
จะไปนั่งนอนยืนเดินตรงไหน ภายในหรือต่างประเทศ มันก็ไม่มีความสุข เพราะโรคนั้นมันยังไม่หาย
แต่ถ้าหากว่าเราหายจากโรคเหล่านั้น อยู่ตรงไหนมันก็สบาย
โรคทางใจก็เหมือนกัน คล้ายๆ อย่างนั้น ถ้าเราจะรักษาโรคทางใจได้ก็ต้องหยุดกับนิ่งอย่างเดียว
เราจะนึกไม่ถึงเลยว่า เป็นวิธีที่ง่ายแต่ลึกซึ้ง ง่ายที่สุด ประหยัดที่สุด ไม่ต้องเสียเงินเสียทองอะไรเลย
ส่วนเวลามันก็ต้องสูญเสียกันไปทุกวัน แต่สูญเสียไปเพื่อที่จะได้มาทดแทน
หยุดนิ่งได้ เปลี่ยนคนโง่เป็นคนฉลาดได้
หยุดกับนิ่งสำคัญนะ
จะเปลี่ยนแปลงคนที่ไม่รู้ กลายเป็นผู้รู้ได้ คนโง่ที่สุดในอดีตก็กลายมาเป็นคนฉลาดที่สุด
ยกตัวอย่าง
พระจูฬปันถก คาถา ๔ บาท หรือบทธรรม ๔ บาท
มีแค่ไม่กี่คำ แต่ท่านทรงจำไม่ได้ เพราะวิบากกรรมบังไว้ แต่ต่อมาไม่นานเมื่อได้กุศโลบาย
หรือเทคนิค Know
how จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะฝึกใจให้หยุดนิ่ง ท่านก็ทำตาม แล้วในที่สุดก็หยุดนิ่งได้
จากผู้ที่พระพี่ชายเอือมระอา เพราะความไม่ฉลาดของท่าน ความจำเสื่อมก็เปลี่ยนมาเป็นผู้ที่ฉลาดที่สุด
มีอานุภาพจนกระทั่งเรื่องราวของท่านปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกมายาวนานถึง ๒,๕๐๐ กว่าปีนี้
การเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ของท่าน
เริ่มต้นที่ใจหยุดนิ่ง เราก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ได้ แม้จะยังไม่เป็นพระอรหันต์เช่นท่าน
แต่ก็เป็นชีวิตใหม่ที่ตั้งอยู่บนความสุขที่แท้จริง ความเบิกบาน ไม่มีวันที่สิ้นสุดอย่างท่านได้
หยุดแวบเดียว
ได้บุญมากกว่าสร้างโบสถ์ วิหาร
หยุดประเดี๋ยวเดียว
ชั่วระยะเวลาช้างพับใบหู งูแลบลิ้น แลบลิ้นแล้วมันก็เอาเข้าปาก ใจหยุดได้ช่วงเวลาขนาดนั้น
ถ้าเทียบเป็นเวลาสัก ๑ วินาที หยุดแล้วก็สว่าง มีความสุข พระเดชพระคุณหลวงปู่
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร ท่านบอกว่า ได้บุญมากกว่าสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร
สร้างศาลาการเปรียญ เพราะสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างศาลาการเปรียญนั้น บางทีใจยังไม่สว่างเลย
ใจยังวนอยู่ในกามวาจร ในกามภพ
แต่ว่าหยุดประเดี๋ยวเดียว
แล้วเห็นแสงสว่างแห่งความบริสุทธิ์ของดวงจิต วาบขึ้นมา แวบเดียวขนาดนั้น กระแสธารแห่งบุญถูกชาร์ตมาที่กลางกาย
เหมือนตัวเราถูกอัดไปด้วยบุญบารมี ซึ่งเป็นต้นทางของมรรคผลนิพพาน ปริมาณบุญแห่งความบริสุทธิ์นี้มีมากกว่า
คนมีบุญมากก็มีความสุขและความสำเร็จในชีวิตมาก
บุญตรงนี้ไม่ต้องเสียเงิน
เสียทอง ไม่ต้องเตรียมการอะไรเลย ไม่ต้องไปอ่านหนังสือ ไม่ต้องท่องจำ
ไม่ต้องไปคิดคำนึงอะไร แค่หยุดนิ่งอย่างเดียว สบาย
ฝึกใจ..ทำได้ทุกที่
ฝึกใจทำได้ทุกสถานที่
แม้ในห้องน้ำที่เรากำลังนั่งขับถ่ายอยู่ เป็นธรรมชาติของร่างกายต้องขับถ่าย
แต่เราก็สามารถฝึกหยุดนิ่งได้
เหมือนพระผู้มีบุญในสมัยพุทธกาล
แม้ขับถ่ายก็ยังเห็นพระบรมศาสดาตลอด จนกระทั่งเปล่งวาจาว่า ข้าพระองค์ไม่เคยห่างจากพระผู้มีพระภาคเจ้าเลย
แม้ในช่วงที่ขับถ่าย ก็แปลว่าช่วงนั้นเราก็สามารถฝึกใจให้หยุดนิ่ง
เหมือนเจริญพุทธานุสติหรือระลึกนึกถึงพระรัตนตรัยในตัวได้ ไม่เป็นบาปกรรมอะไร แล้วก็ไม่ใช่ว่า
เป็นสถานที่ไม่เหมาะไม่ควร แถมเป็นบุญเสียด้วยซ้ำ
ที่ใดเรานั่งแล้วหยุดใจนิ่งๆ ที่ตรงนั้นก็ได้ชื่อว่า เป็นที่อริยะ
ที่ตรงไหนเรานอน แล้วเราก็ฝึกใจให้หยุดนิ่ง ที่นอนตรงนั้นก็เป็นอริยะ
ที่ตรงไหนเราเดินหรือยืน แล้วฝึกใจให้หยุดนิ่ง ที่ตรงนั้นก็ได้ชื่อว่าอริยะ
เพราะฉะนั้น
เราสามารถทำได้ทุกอิริยาบถ และทุกสถานที่ นี่คือสิ่งที่ทุกคนจะต้องฝึกฝนกันไปทุกวัน
อย่าใช้เวลาไปกับสิ่งที่ไร้สาระ เรื่องดูหนัง ดูละคร หรือเพลิดเพลินไปในทางโลก มันไม่เกิดประโยชน์
ทุกคนมีโอกาสสร้างบุญเท่ากัน
แต่ใช้ไม่เท่ากัน
เรามีโอกาสในสั่งสมบุญได้เท่าเทียมกันทุกคนในโลก ในยามที่เราคลอดออกจากครรภ์มารดา
เขาให้โอกาสเราสั่งสมบุญให้เต็มที่ และก็ไม่มีขีดจำกัดด้วยว่า จะตักตวงเอาไปปริมาณเท่าไร
เขาให้โอกาสเท่ากัน แต่ว่าเราได้เปลี่ยนโอกาสนั้นมาเป็นวิกฤติ ในบางช่วงของชีวิต บางช่วงก็ใช้โอกาสนั้นสร้างบุญบารมี
ในทุกๆ ชีวิต ทุกๆ ชาติ เรามีโอกาสเท่ากัน แต่เราเอามาใช้ไม่เท่ากัน
เพราะฉะนั้น
ตอนนี้เราผ่านกาลเวลานั้นมาแล้ว เวลาข้างหน้ามันสั้นลงไปทุกวัน ทุกคืน วันพรุ่งนี้จะมีสำหรับเราหรือไม่
เราก็ไม่ทราบ เราจะไปสันนิษฐานเองว่า ยังมีเวลาอีกยาวนานถึงอายุขัยเฉลี่ย ๗๕ ปี ของมนุษย์ในโลกยุคนี้
สิ่งนั้นเราคิดเอาเอง แต่ความเป็นจริงก็ปรากฏให้เราเคยเห็นว่า บางคนไม่เป็นอย่างนั้น
ไปก่อนอายุขัยก็มี หรือถึงอายุขัยเฉลี่ยก็มี เกินกว่านั้นก็มีแต่มันน้อย เราจะอยู่ประเภทไหน
เราไม่ทราบ ดีที่สุด คือ ฝึกหยุด ฝึกนิ่งกันไปทุกๆ วัน
หยุดนิ่งได้ไปนรกสวรรค์ได้
เราอยากจะพิสูจน์ว่า
สวรรค์ นรก มีจริงไหม เราได้ยินได้ฟังเรื่องนี้มายาวนาน แต่เราไม่เคยมั่นใจเลยว่า
มันมีจริงหรือเปล่า ยิ่งมาเจอคนที่ไม่มั่นใจด้วยกันมาคุยกัน เขาก็ยิ่งคุยกันเรื่องไม่มั่นใจ
แล้วในที่สุดก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นว่า ความไม่มั่นใจนั้นผลออกมา คือ
ไม่เชื่อว่ามีนรก สวรรค์
ตรงนี้อันตรายสำหรับเรา
เพราะจะทำให้เราปรับปรุงวิถีชีวิต หรือดำเนินชีวิตใหม่
แบบผู้ที่มีความไม่เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม เป็นอันตรายต่อชีวิตของเราซึ่งมีอบายภูมิรองรับอยู่
ดังนั้น
เราก็มีวิธีเดียวเท่านั้น คือ ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า มันมีจริงหรือไม่มีจริง ก่อนอื่น เราก็ต้องเชื่อในสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่ามีจริง
เพราะท่านพิสูจน์ได้
ประการที่สอง ท่านมอบวิธีการที่จะพิสูจน์ เราก็ต้องทำตามวิธีการนั้น
แล้ววิธีการของท่าน ท่านก็พยายามหาวิธีการที่สรุปรวบยอดและง่ายที่สุด เพราะท่านรู้ว่า
เราชอบของง่ายๆ ง่ายแต่ลึก เพราะฉะนั้นข้อสรุปก็มาอยู่ที่ว่า
หยุดเป็นตัวสำเร็จ
ที่เราจะเข้าไปพิสูจน์ในสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมา แล้วเราก็สงสัยอยู่ ได้ด้วยตัวของเราเอง
แทนที่จะรับฟังคนอื่นเขามา
ใช้เวลามีประสิทธิภาพที่สุด
การฝึกใจหยุดนิ่งนี้จึงเป็นหัวใจ
ต้องฝึกกันให้ได้กันไปทุกวัน แล้วก็จะต้องมาบริหารเวลาในแต่ละวันกันใหม่แล้วว่า ทำอย่างไรเราจะมีเวลาในการฝึกหยุดฝึกนิ่งให้มันมากๆ
ที่สุดเท่าที่มากได้ แต่ว่าเราจะต้องทำมาหากิน เพื่อให้ได้ปัจจัยมาหล่อเลี้ยงสังขาร
เพราะชีวิตของเรามันต่างจากเทวดา แม้แต่เทวดาก็ยังต้องมีอาหารทิพย์
เพราะฉะนั้น
ดีที่สุด ก็คือทำควบคู่กันไป ภารกิจกับจิตใจมันก็จะต้องฝึกคู่กันไปทุกวัน
ทำอย่างนี้ก็ได้ชื่อว่า ลูกได้ใช้เวลาในโลกนี้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
และผลมันก็จะบังเกิดขึ้นสักวันหนึ่ง เมื่อเราได้สั่งสมหยุดกับนิ่ง
เพิ่มพูนกันไปทุกๆ วัน จนถึงจุดแห่งความสมปรารถนา
ฝึกหยุดนิ่งเหมือนการปลูกต้นไม้
ฝึกกันไปทุกวัน
ก็แปลว่า เรากำความสำเร็จเอาไว้ในมือล้านเปอร์เซ็นต์ ถ้าเราฝึกกันไปทุกวัน แม้บางวันจะมืดตื้อมืดมิด
มืดสนิทเช่นเดียวกับทุกวันที่ผ่านมา บางวันฟุ้งมาก บางวันไม่ฟุ้ง บางวันเราเหนื่อยเรานั่งหลับ
บางวันหลับบ้าง บางวันเราไม่ค่อยสบาย แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นอุปสรรค
ถ้าหากลูกนั่งทุกวัน
เราจะเก็บคะแนนหยุดนิ่ง หรือสั่งสมความหยุดนิ่งเพิ่มขึ้นกันไปทุกวัน อย่างที่เราไม่รู้สึกตัว
เหมือนการเอาขันไปตักน้ำมาหนึ่งขัน รดไปที่เมล็ดผลไม้ทุกวัน วันละขัน เราเฝ้าเพียรทำอย่างนั้นไปเรื่อยๆ
ทุกวันไม่ขาดเลย ต้นไม้เปิดเผยตัวเองจากเมล็ด แล้วก็ค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นมาทุกวัน
จนเราสังเกตไม่ออกว่า มันเจริญเติบโตมาวันละกี่มิล กี่เซนต์ แต่ในขณะที่เราไม่รู้สึกตัว
มันก็ออกดอก ออกผลแล้ว
ฝึกหยุด ฝึกนิ่งก็เหมือนกัน มันก็คล้ายๆ การรดน้ำต้นไม้ มันก็จะเจริญงอกงามในใจของเราไปทุกวัน
แม้บางวันมืดตื้อ
มืดมิด ฟุ้ง ง่วง เหนื่อย เพลีย ไม่สบาย หรือมีเครื่องกังวลมาจากที่ทำงาน ขอให้เราได้นั่งหลับตา
แล้วสิ่งเหล่านั้นก็จะค่อยๆ ล่มสลายไป เหมือนลมที่พัดหมู่เมฆ ที่บังจันทร์ ให้เมฆมันผ่านไป
แล้วความสว่างของดวงจันทร์ก็จะเจิดจ้าขึ้น
ความสว่างภายในเราก็มีอยู่ในตัวแล้ว เป็นแต่เพียงเราไล่เมฆหมอก คือ
นิวรณ์นั้น ที่มันขวางความสว่างนั้น ให้หมดไปด้วยการทำใจหยุดนิ่ง เดี๋ยวเราก็จะสมปรารถนา
พบความสว่างภายใน
นึกถึงบุญ
ในช่วงนี้เรามาฝึกใจหยุดนิ่ง
ตามระลึกนึกถึงบุญทุกบุญที่เราทำผ่านมา เอาเฉพาะวันนี้ก่อนเป็นหลัก ที่เราออกจากบ้านมา
ถ้าภายในประเทศก็มาด้วยความปีติเบิกบาน จะมาชุมนุมกัน สร้างความดี ให้ทาน รักษาศีล
เจริญภาวนา ที่สภาธรรมกายสากล
ถ้าลูกๆ
ต่างประเทศก็ฝ่าหิมะ ฝ่าลม ฝ่าอุปสรรคต่างๆ เวลาตี ๑ ตี ๒ ตี ๓ เป็นต้น มาชุมนุมกันเพื่อบูชาข้าวพระบุญใหญ่พิเศษ
สำหรับธาตุธรรมพิเศษ ที่จะมีมโนปณิธานจะไปสู่ที่สุดแห่งธรรมนั้น เป็นบุญมหาศาล
ตั้งผังสำเร็จ และอุทิศบุญกุศล
หมู่ญาติรอเราอยู่
เราก็ตามระลึกนึกถึงบุญนี้
นึกนิดเดียวว่า วันนี้เราได้มาบูชาข้าวพระ และกระแสธารแห่งการบูชาข้าวพระ ก็จะตั้งขึ้นที่กลางกายเป็นดวงใสๆ
ที่พร้อมสำหรับการตั้งผังสำเร็จของเราว่า เราจะออกแบบชีวิตในอนาคตของเราอย่างไร จะมีผังสำเร็จอย่างไรในอนาคต
และพร้อมที่จะแบ่งปันบุญนี้ให้กับหมู่ญาติสนิท มิตรสหาย บรรพบุรุษ บุพการีของเราที่ละโลกไปแล้ว
อยู่ตามภพภูมิต่างๆ ที่มีทุกข์มากก็จะได้ทุกข์น้อย ที่มีทุกข์น้อยก็จะได้พ้นทุกข์ ที่มีสุขน้อยก็จะได้สุดมาก
ที่มีสุขมากก็มากเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
หมู่ญาติกำลังคอยเราอยู่ในทุกหนทุกแห่ง
ไม่ว่าในสุคติโลกสวรรค์ หรือในทุคติในอบาย รอคอยเราอยู่ อยากจะได้รับบุญจากเรา เพราะเขาหมดสิทธิ์สั่งสมบุญแล้ว
ยิ่งไปเสวยผลทุกข์ในอบายยิ่งต้องการมาก เพราะว่ารู้แล้ว เห็นแล้ว เข้าใจแล้วว่า อบายภูมินั้นทุกข์ทรมานเพียงไหน
แม้เพียงอนุวินาทีเดียวก็ไม่อยากจะไปอยู่ตรงนั้น อยากจะพ้นจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
แต่ว่าไปอยู่ตรงนั้นได้เพราะกระแสธารแห่งบาปที่กระทำไว้ตอนเป็นมนุษย์
มันจะหลุดพ้นได้ก็ต้องกระแสธารแห่งบุญที่ผู้มีชีวิตอยู่กระทำไปให้ เพราะตนเองหมดโอกาสแล้ว
เพราะฉะนั้นเขาก็จะรอคอยเราอยู่ ถ้าในอบายก็รอคอยอยู่ด้วยความกระวนกระวาย ทุรนทุรายกระสับกระส่าย
ทุกข์ทรมาน ถ้าไปอยู่สุคติภูมิก็จะรอคอยอยู่ด้วยความปีติ เบิกบาน
เหมือนได้เจอญาติที่จากไปไกลแล้วก็กลับคืนมาเยือนที่บ้านกลับมาใหม่
ภพภูมิใดที่เราอุทิศบุญด้วยวิธีธรรมดากำลังแห่งกุศลธรรมส่งไปไม่ถึง
เราก็จะต้องกราบอาราธนามหาปูชนียาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญในวิชชาธรรมกายทุกท่าน นำบุญนี้ไปให้กับท่านเหล่านั้น
อีกประการหนึ่ง
คู่กรรมที่เราไปเบียดเบียดเขา ในยามที่อกุศลเข้าสิงจิต ด้วยกาย ด้วยวาจา
ด้วยใจแล้วมันปรับเป็นวิบากกรรมติดเรามา ให้เรามีอุปสรรคของชีวิตในปัจจุบัน แล้วจะติดต่อไปในอนาคต
อีกกี่เรื่องเราก็ไม่ทราบ ก็รอคอยเราอยู่ เพราะฉะนั้นเราก็จะได้เอาบุญนี้อุทิศไปตัดรอนวิบากกรรม
หนักเป็นเบา เบาเป็นหาย
แล้วก็จะได้แผ่อุทิศบุญกุศลให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ
ตลอดแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ ใน ๓๑ ภูมิ ในกำเนิดทั้ง ๔
โอปปาติกะ สังเสทชะ ชลาพุชะ และก็อัณฑชะ เกิดปุ๊บโตปั๊บ หรือเกิดในเหงื่อไคล สิ่งหมักหมม
หรือเกิดในครรภ์มารดา หรือฟองไข่ สัตว์สองเท้า สัตว์สี่เท้า สัตว์มีเท้ามาก สัตว์มีเท้าน้อย
หรือว่าสัตว์ไม่มีเท้า ล้วนแต่ต้องการกระแสธารแห่งบุญที่เราจะอุทิศแบ่งปันไปให้
เพราะฉะนั้น
ในช่วงนี้ ให้ลูกทุกคนหยุดนิ่ง แล้วก็ระลึกนึกถึงบุญดังกล่าว
แล้วก็อุทิศส่วนกุศลไปให้กันนะลูกนะ
วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2565