พระมหากัปปินะ
วันพฤหัสบดีที่
๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓ (๑๘.๐๐ - ๒๐.๐๐ น.)
พิธีหย่อนมหาสุวรรณนิธิ
เพื่อหล่อองค์พระธรรมกายปิดเจดีย์ ณ ลานธรรมมหาธรรมกายเจดีย์
ปรับกาย-ปรับใจ
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ตั้งใจให้ แน่แน่วมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ
คนนะลูกนะ
หลับตาเบาๆ
ผ่อนคลาย สบายๆ ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันจากทุกสิ่ง
วางใจ
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือจำง่ายๆ ว่า
อยู่ในบริเวณแถวกลางท้อง ในระดับที่เรามั่นใจว่า
อยู่เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ คือ ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตเรา เราจะนั่งอย่างเป็นสุข
ยืนอย่างเป็นสุข เดินอย่างเป็นสุข หรือว่าจะนอนอย่างเป็นสุข
มีอยู่ตำแหน่งเดียวเท่านั้นคือที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้นะจ๊ะ
เป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน
ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายทุกพระองค์ไมมีเว้นแม้แต่พระองค์เดียว ท่านจะนำใจของท่านกลับไปหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ตรงนี้ หยุดนิ่งอย่างเดียวไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ตั้งแต่ท่านเป็นปุถุชนจนกระทั่งบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย หยุดใจอยู่ตรงนี้ที่เดียว เมื่อท่านได้บรรลุธรรมแล้ว
ท่านจะนั่งตรงไหน ยืนตรงไหน เดินตรงไหน หรือว่านอนตรงไหนก็อยู่เป็นสุขทั้งสิ้น
เหมือนอย่างพระราชาพระองค์หนึ่ง
ที่เราเคยได้ยินได้ฟังชื่อของท่านบ่อยๆ คือ พระมหากัปปินะ
พระมหากัปปินะ
พระมหากัปปินะ
แต่เดิมเมื่อเป็นพระราชาธิบดี ไม่ว่าท่านจะนั่ง นอน ยืน เดิน ไม่เคยมีความสุข เพราะว่าใจท่านไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้ อยู่ในเรื่องราวต่างๆ
ที่เป็นประดุจธุลีในดวงตา หรือผงเข้าตาแต่ เข้าไปอยู่ในใจ เรื่องราวที่จะต้องบำบัดทุกข์
บำรุงสุข แก่พสกนิกรของพระองค์จึงไม่เป็นสุข
เมื่อท่านได้ทราบข่าวว่า
มีการบังเกิดขึ้นของพระรัตนตรัยแล้ว ท่านก็สละราชสมบัติแล้วก็ออกบวช บำเพ็ญสมณธรรม
ในที่สุดก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในพระพุทธศาสนา
ท่านมีปกติที่จะกล่าวคำอัศจรรย์ว่า
“สุขจังเลย” ไม่ว่าท่านจะนั่ง นอน ยืน
เดินหรือทำกิจวัตรกิจกรรมอะไร กล่าวคำว่า สุขจังเลยอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งมีบันทึกเอาไว้ในตำราทางพระพุทธศาสนา
สุขจริงหนอ สุขจังเลย ก็เพราะว่าใจของท่านอยู่ที่ตรงนี้ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗
ดังนั้น ตำแหน่งนี้จึงเป็นตำแหน่งที่สำคัญ
สำหรับชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ จะต้องทำความรู้จักให้ดี เราจะได้นั่งเป็น ยืนเป็น เดินเป็น หรือว่านอนเป็น
จะเป็นสุขได้ก็ต้องนำใจกลับมาหยุดอยู่ที่ตรงนี้
นี่เป็นเรื่องสำคัญที่ลูกๆ
ทุกคน โดยเฉพาะอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน ๕ แสนคน ซึ่งวันนี้ได้ถือบวชครองผ้าสไบแก้ว รับศีลจากพระศีลาจารย์แล้ว
ถือว่าเป็นบรรพชิตในเพศของอุบาสิกาจะต้องนำใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ เพื่อการบวช ๒ ชั้น และเพื่อจะได้เข้าถึงพระธรรมกายในตัว ในตำแหน่งแห่งการบรรลุธรรม
เราจะได้เป็นกำลังในการฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ให้กลับมาเฟื่องฟูเหมือนย้อนยุคพุทธกาลกันมาอีกครั้งหนึ่ง
เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ และก็มีประสบการณ์ภายใน
อีกทั้งการหล่อพระธรรมกายประจำตัวครั้งสุดท้าย
ก่อนที่จะปิดมหาธรรมกายเจดีย์นี่ก็จะได้เป็นบุญใหญ่ของเรา ที่กาย วาจา ใจของเราใส
สะอาด บริสุทธิ์ เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในวันนี้
ผู้มีบุญทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน
แม้หลายท่านมาร่วมงานในวันนี้ ทั้งภายในและต่างประเทศ จะไม่ได้มาบวชเป็นอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน
แต่ก็มาร่วมพิธีสำคัญคือการหล่อพระธรรมกายประจำตัวเป็นครั้งสุดท้าย ให้ครบ ๑ ล้านองค์ในวันนี้
ก็จะต้องนำใจให้กลับมาหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ อย่างเบาๆ
สบายๆ
บริกรรมนิมิต
โดยตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ
หรือตรึกนึกถึงองค์พระธรรมกายประจำตัวที่เราเป็นเจ้าของบุญนี้ น้อมไว้ในกลางกายในทำนองเดียวกัน เราถนัดอย่างไหน นึกอย่างไหนได้ง่ายกว่า ไม่ว่าจะเป็นดวงใสๆ ดวงแก้วใสๆ หรือองค์พระธรรมกายประจำตัว
จะเป็นสีทองก็ได้ หรือว่าจะใสเป็นแก้วก็ได้นะจ๊ะ
ให้ตรึกนึกอย่างเบาๆ สบายๆ คล้ายๆ กับเรานึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย
นึกเบาๆ นึกสบายๆ ใจเย็นๆ
บริกรรมภาวนา
พร้อมกับประคองใจ
ให้หยุดนิ่ง ด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ ว่า สัมมาอะระหังๆๆ ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ หรือตรึกนึกถึงองค์พระใสๆ
ใจหยุดอยู่ในกลางองค์พระใสๆ
เราจะภาวนาไปอย่างนี้เรื่อยๆ
จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง หรือเกิดความรู้สึกว่า ไม่อยากจะภาวนา อยากหยุดใจนิ่งเฉยๆ
ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องภาวนา
แต่ว่าเมื่อใดใจฟุ้งไปคิดเรื่องอื่นเราจึงย้อนกลับมาภาวนา สัมมาอะระหัง ใหม่ ก็ต้องประคับประคองใจกันไปอย่างนี้
แต่บางท่านนึกถึงดวงใสๆ ก็ไม่ออก
นึกถึงองค์พระให้ใสๆ หรือเป็นสีทองก็ยังไม่ได้ จะวางใจนิ่งเฉยๆ ทำความรู้สึกว่า ใจเราอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ในกลางท้องของเรา เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือก็ได้
เราถนัดอย่างไหน เราก็ทำอย่างนั้น อย่างสบายๆ
ใจเย็นๆ ให้ใจใสๆ อย่างนี้นะจ๊ะ
ประคองใจ
ส่วนผู้ที่ใจหยุดนิ่งได้ในระดับที่เห็นความสว่างภายใน
ตัวหายไป และก็มองเข้าไปในกลางของความสว่าง เห็นดวงใสๆ ที่แตกต่างจากบริกรรมนิมิต
เห็นดวงธรรมปรากฏเกิดขึ้นก็เอาใจหยุดนิ่งไปที่กลางดวงธรรม
ใครที่เข้าถึงองค์พระภายใน เห็นชัด ใส แจ่ม
กระจ่างอยู่กลางกายก็เอาใจหยุดนิ่งๆ ไว้ในกลางองค์พระที่เราเห็นอย่างเบาๆ สบายๆ
พอถูกส่วนเดี๋ยวดวงธรรมจะขยายกว้างออกไป องค์พระก็จะขยายกว้างออกไป จะชัด ใส แจ่ม
กระจ่างอยู่ตรงกลางกายของเรา ที่ขยายออกไปโตใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ
ดวงธรรมกับองค์พระที่มาพร้อมกับความสุขและความบริสุทธิ์นี้เป็นฐานที่จะรองรับบุญใหญ่ที่จะเกิดขึ้น
จากการหล่อพระธรรมกายประจำตัวในวันนี้ ให้ตรึกอย่างนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
ไปเรื่อยๆ
พิธีหย่อนมหาสุวรรณนิธิ หล่อพระธรรมกายประจำตัว
แล้วก็น้อมเอามหาสุวรรณนิธิที่เป็นโลหะกลมๆ น้อมเอาไว้ตรงกลางดวงใสๆ หรือกลางองค์พระใสๆ แตะใจไปเบาๆ
สบายๆ มหาสุวรรณนิธินี้ก็จะแปรสภาพที่ใสบริสุทธิ์ ใสเกินความใสใดๆ ในโลก
สว่างอยู่ในกลางดวงธรรมหรือองค์พระตรงนี้นะจ๊ะ
แล้วก็อาราธนามหาปูชนียาจารย์ทุกท่าน
ซึ่งท่านเชี่ยวชาญในวิชชาธรรมกาย มีพระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี (สด
จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย และคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เป็นต้น
อาราธนาท่านประกอบวิชชาธรรมกาย
นำมหาสุวรรณนิธินี้ ไปตามหลักวิชชาของท่านให้ทับทวีกันไปในอายตนนิพพาน อาราธนาพระนิพพานให้ลงมาซ้อนในมหาสุวรรณนิธิ
แล้วก็คุมบุญพิเศษให้กับพวกเราทุกคน เพราะว่าพระธรรมกายประจำตัวที่หล่อในวันนี้จะประดิษฐานที่มหาธรรมกายเจดีย์เป็นเวลาอย่างน้อย
๑,๐๐๐ ปี
ให้มนุษย์และเทวดาเคารพสักการะบูชา จะได้บันดาลความศักดิ์สิทธิ์
ความสำเร็จในสิ่งที่ทุกท่านได้ปรารถนาเอาไว้ และเป็นการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาไปด้วย
ปกป้องผองภัยของพระพุทธศาสนา นำความสุข ความเจริญรุ่งเรืองให้บังเกิดขึ้นกับผู้มีบุญที่มาร่วมหล่อพระธรรมกายประจำตัวเป็นครั้งสุดท้ายในวันนี้
เพราะฉะนั้น
ก่อนที่เราจะประกอบพิธี ก็ให้ลูกทุกคนประคับประคองใจให้หยุดนิ่ง ด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ จนกว่าจะถึงเวลาสว่างเราจะได้พร้อมใจกัน
ประกอบพิธีหล่อพระธรรมกายประจำตัวครั้งสุดท้ายนี้ร่วมกัน ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
นะจ๊ะ
(กล่าวคำอธิษฐานจิต)
(ช่วงพิธีกรรมหล่อพระธรรมกายประจำตัว)
เมื่อเราได้พร้อมใจกันประกอบพิธีหย่อนมหาสุวรรณนิธิ
คือหล่อพระธรรมกายประจำตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไปให้ลูกทุกคน หลับตาเบาๆ
ผ่อนคลาย สบาย ไม่พูดไม่คุยกันนะจ๊ะ
เพราะนี่เป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับการสร้างบารมีของเรา
ให้ลูกทุกคน
รวมใจหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างสบายๆ เพื่อที่จะให้กระแสบุญที่เราได้พร้อมใจกันหล่อพระธรรมกายประจำตัวมาเชื่อมต่อทุกๆ
กายของเรา ให้เราได้มีความสุขความสำเร็จในชีวิต
ตั้งแต่เป็นปุถุชนจนกระทั่งเป็นพระอริยเจ้า กระทั่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม บุญนี้ก็จะได้เป็นผังสำเร็จติดตัวของเราไป
ทุกขั้นตอนของพิธีกรรมนำมาซึ่งบุญบารมีของตัวเรา
จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งนะจ๊ะ ลูกทุกคนต้องไม่พูดไม่คุยกัน ให้ใจใสๆ อย่างเบาๆ
สบายๆ เพื่อที่เราจะได้เข้าสู่บรรยากาศแห่งพิธีจุดธัมมจาริณีประทีปกันต่อไป
ให้ลูกหยุดนิ่ง
นุ่ม เบา สบาย ให้ใจใสๆ ให้ใจของเราเยือกเย็น ทำความเคารพเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ประดุจว่าเรานั่งอยู่เฉพาะพระพักตร์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน
ท่ามกลางพระอริยเจ้าทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์บริบูรณ์ทั้งมวลเหล่านั้น
เป็นผู้มีอานุภาพอันไม่มีประมาณ ทรงคุณธรรม คุณวิเศษ เป็นผู้คงแก่เรียน ได้บรรลุถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้วดับทุกข์ได้แล้ว
เพราะฉะนั้นเราจะต้องหยุดนิ่ง นุ่ม เบา สบาย ให้ใจของเราใสที่สุด บริสุทธิ์ที่สุด
ตั้งแต่เราเกิดมาเป็นมนุษย์
วันนี้เป็นวันแห่งความบริสุทธิ์ของเราในระดับที่เราปลื้มปีติว่า
เราเป็นผู้บริสุทธิ์ แม้ยังไม่ได้หมดกิเลสแล้วก็ตาม แต่เป็นความบริสุทธิ์ที่เราปลื้มใจ
ปีติใจ มีปีติสุขหล่อเลี้ยงใจ ใจของเราจะได้เป็นฐานที่จะรองรับบุญใหญ่ในการประกอบพิธีจุดธัมมจาริณีประทีปกันนะจ๊ะ
ให้ใจหยุดนิ่ง
นุ่ม เบา สบาย ใจใสๆ ใจเย็นๆ ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ
หรือตรึกนึกถึงองค์พระใสๆ ใจหยุดอยู่ในกลางองค์พระใสๆ ด้วยความเคารพเลื่อมใสในพระรัตนตรัยให้ใจใสๆ
ให้ใจบริสุทธิ์ ผ่องใส เยือกเย็นนะลูกนะ นิ่งอยู่ในกลางกาย นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
ซึ่งก่อนที่เราจะประกอบพิธีจุดธัมมจาริณีประทีป เราก็จะต้องจุดเทียนธูปบูชาพระรัตนตรัย
และก็ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565