การศึกษาวิชชาธรรมกาย
วันอาทิตย์ที่
๒๑ มีนาคม พ.ศ.
๒๕๕๓ (๑๓.๓๐ -
๑๕.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากัน หลับตาเบาๆ
พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรา ทั้งเนื้อทั้งตัวให้มีความรู้สึกว่า สบาย
ไม่ให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเราตึงหรือเกร็ง ให้ผ่อนคลาย ขยับเนื้อ ขยับตัว ของเราให้ดี
ให้มีความรู้สึกว่า เรานั่งได้ถูกส่วน เลือดลมในตัวเดินได้สะดวก จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อยกันนะจ๊ะ
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเรา ให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น
ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด
ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันจากทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ
สิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต
ความไม่ปลอดภัยในสังสารวัฏ
ปลด ปล่อย วาง คลายความผูกพันจากทุกสิ่ง แล้วก็พิจารณาไปตามความเป็นจริงของชีวิตในสังสารวัฏ
คือ การเวียนว่ายตายเกิดในภพทั้ง ๓ ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ
ไม่ว่าจะไปเกิดเป็นอะไรก็ตาม แต่ละชีวิตล้วนไม่ปลอดภัยทั้งสิ้น เพราะว่ายังไม่หมดกิเลสอาสวะ
โอกาสที่จะเพลี่ยงพล้ำ ในยามที่อกุศลเข้าสิงจิตให้กระทำความผิดด้วยกาย ด้วยวาจา
ด้วยใจ แล้วก็มีวิบากกรรมเป็นผลดึงดูดไปสู่ภพภูมิของอบาย มีทุกข์ทรมานมาก
กว่าจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์
มาพบพระพุทธศาสนาก็ยาก พบแล้วเกิดกุศลศรัทธาอยากฟังธรรม อยากปฏิบัติธรรม
อยากบำเพ็ญบุญก็ไม่ใช่ง่าย แม้เกิดเป็นชาวพุทธ ร่างกายของมนุษย์ทุกคนอยู่ในสภาวะไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา คือมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาไปสู่จุดสลายเสื่อมลงไปเรื่อยๆ
ทั้งแก่ ทั้งเจ็บ ค่อยๆ ทำให้ชีวิตไปสู่จุดเสื่อมสลายด้วยกันทั้งสิ้น แล้วก็บังคับบัญชาให้เป็นไปตามความปรารถนาของเราก็ไม่ได้
ชีวิตในสังสารวัฏมีทุกข์อย่างนี้
จุดที่ปลอดภัยจากสังสารวัฏ
เราจะได้ปลด ปล่อย วาง คลายความผูกพันจากทุกสิ่ง
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเราในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ ชีวิตในสังสารวัฏนั้นมีที่ปลอดภัยเพียงแห่งเดียว
คือที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ กลางท้องเหนือสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ ตรงนี้เป็นที่ปลอดภัยจากอบายภัยในสังสารวัฏ แล้วก็ภัยจากความทุกข์ทรมานของชีวิต
เพราะว่าเป็นตำแหน่งที่ถูกต้องและดีงาม ที่จะหยุดใจของเรา ทำให้เกิดแสงสว่างภายใน
ทำลายความมืดในใจให้หมดไป
เข้าถึงดวงปฐมมรรค
เมื่อใจหยุดนิ่ง เครื่องกั้นการเห็นก็ถูกทำลายไป
ใจก็สว่าง เป็นความสว่างที่มาพร้อมกับความสุข ความรู้สึกอบอุ่นใจ ปลอดภัย
เมื่อมองผ่านแสงสว่างที่เกิดขึ้นภายใน ก็จะเห็นสภาวธรรมไปตามความเป็นจริง
คือเห็นภาพภายในที่มีอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยรู้ว่ามี เพราะเราหลับตาแล้วมืด
เมื่อหลับตาแล้วสว่าง จึงเห็นภาพภายใน
เห็นความบริสุทธิ์เบื้องต้น เป็นดวงธรรมดวงแรก กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว ใส
บริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย อย่างน้อยก็ใสๆ เหมือนน้ำใสๆ
เหมือนน้ำแข็งบ้าง ใสเหมือนกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้าบ้าง ใสเหมือนเพชรต้องแสงบ้าง แต่ว่าดึงดูดตาดึงดูดใจ
นั่นคือ ดวงธรรมเบื้องต้น
เป็นความบริสุทธิ์เบื้องต้น ที่เห็นได้
สัมผัสได้ เข้าถึงได้ ธรรมดวงนี้ เรียกว่า ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
หรือ ดวงปฐมมรรค
หนทางเบื้องต้นที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน ดับทุกข์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะได้เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย
ปรากฏเกิดขึ้นในกลางกาย แล้วก็เห็นเรื่อยไปเป็นชั้นๆ เข้าไปภายใน ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยของชีวิตก็เพิ่มขึ้นไปตามการเห็นภายใน
ดวงธรรมภายใน
ในกลาง ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ก็มี ดวงศีลซ้อนอยู่ ลักษณะเดียวกัน กลมรอบตัวแต่ว่าใสบริสุทธิ์กว่า
ในกลาง ดวงศีล
ก็มีดวงสมาธิที่ใสบริสุทธิ์กว่า
ในกลาง ดวงสมาธิ
ก็มีดวงปัญญา ลักษณะเดียวกัน แต่ว่าใสบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น
ในกลาง ดวงปัญญา
ก็มีดวงวิมุตติ ลักษณะเดียวกัน แต่ว่าใสบริสุทธิ์หนักขึ้นไปอีก
ในกลาง ดวงวิมุตติ
ก็มีดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ใสบริสุทธิ์ ใสเกินใส เกินความใสใดๆ ในโลก
ในกลาง ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
ก็เห็นจุดเล็กๆ ใสๆ ที่ขยายออกมาเป็นกาย
เป็นชีวิตใหม่ที่ซ้อนอยู่ภายในตัวของเราในอิริยาบถสมาธิ หน้าตาคล้ายๆ กับเรา แต่ว่าสดใสกว่าอยู่ในวัยเจริญกว่า
ซ้อนอยู่ภายใน เรียกว่า กายมนุษย์ละเอียด
หรือ กายฝัน
กายภายใน
กายมนุษย์ละเอียด หรือ กายฝัน คือ เวลาเรานอนหลับ กายมนุษย์ละเอียดก็ออกไปทำหน้าที่ฝัน
ตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ที่ตรงนี้ เป็นชีวิตใหม่ที่อยู่ภายในที่ยกระดับสูงส่งขึ้น
บริสุทธิ์เพิ่มขึ้น ซ้อนอยู่ภายในจะเป็นชั้นๆ อย่างนี้เข้าไปเรื่อยๆ
เห็นกายในกาย
เห็นธรรมในธรรม เห็นดวงธรรมก่อนแล้วก็เห็นกายในกายแล้วก็ความรู้สึกสุขเพิ่มขึ้น เรียกว่า
เห็นเวทนาอยู่ในเวทนา ความรู้สึกเป็นสุขเพิ่มขึ้น เห็นจิตในจิตก็เป็นดวงใสๆ มีคุณสมบัติคนละอย่างกันนะ
แต่ลักษณะคล้ายๆ กันอย่างนั้น ซ้อนๆ กันอยู่เป็นชั้นๆ เข้าไป ชวนติดตามเข้าไปเรื่อยๆ
กระทั่งเห็นกายทิพย์
กายรูปพรหม และกายอรูปพรหม ก็เป็นกายในกายที่ซ้อนๆ กันอยู่ แต่เดิม เราไม่เคยรู้เคยเห็นมาก่อน เพราะหลับตาแล้วมืด
แต่ว่าเมื่อใจหยุดนิ่ง หลับตาแล้วก็สว่างจึงเห็นไปตามลำดับ
ความลับของชีวิตก็ถูกเปิดเผย
กายธรรมที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
กระทั่งเข้าถึง
กายธรรมโคตรภู เกตุดอกบัวตูมใส
บริสุทธิ์ ใสเกินความใสใดๆ ในโลก สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันหลายๆ ดวง
สว่างแต่ไม่จ้าตา ไม่แสบตา สวยงามมาก มากกว่ากายที่ผ่านมา
เข้าถึงกายนี้ ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยก็เพิ่มขึ้น
จนไม่มีความรู้สึกว่า กังวลอะไรเลย มีความรู้สึกปลอดภัย สุขใจ ใส สว่าง อยู่ภายในกลางองค์พระธรรมกายที่ใสเหมือนเพชร
ยิ่งกว่าเพชร เหมือนรัตนชาติ ถึงเรียกว่า พุทธรัตนะ
กายทั้งก้อนประกอบด้วยธรรมล้วนๆ จึงเรียกว่า ธรรมกาย
หรือ กายธรรม
เป็นกายของ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว ที่เรียกว่า ผู้รู้ เพราะว่า ความลับไม่มีในธรรมกาย ความลับเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ล้วนอยู่ภายใต้สายตาของพระธรรมกาย ที่เรียกว่า ธัมมจักขุ
เห็นถึงไหน รู้ถึงนั่น เป็นความรู้แจ้ง แจ่มแจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้งด้วยธัมมจักขุที่สว่างไสว
ได้ชื่อว่า
เป็น ผู้ตื่นจากหลับ คนหลับเหมือนคนที่ตายแล้ว
แม้มีชีวิตอยู่ก็เหมือนกับตายแล้ว เพราะไม่รู้อะไรเลย แต่เป็นผู้ตื่น ตั้งแต่ตื่นตัวภายใน
ตื่นตา ตื่นใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็เข้าใจว่าชีวิตเป็นอย่างไร จะดำรงชีวิตอย่างไรถึงจะไปสู่จุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย
แล้วก็มีชัยชนะ ดับทุกข์ได้ ทุกข์จึงไม่มีในธรรมกาย ท่านจึงเป็น ผู้เบิกบาน เหมือนดอกไม้ที่เบ่งบาน ขยายออกไปอย่างไม่มีขอบเขต
สว่างไสวอยู่ภายในเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว
พระธรรมกาย
จึงเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง สิ่งอื่นไม่ใช่ จะไปพึ่งต้นหมากรากไม้
ภูเขาเลากา สิ่งเหล่านั้นยังไม่เที่ยง ยังเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอดเวลา ยังดูแลตัวเองไม่ได้
เพราะฉะนั้นเป็นที่พึ่งไม่ได้ แม้แต่เทวดา หมดบุญก็ต้องจุติ เพราะยังไม่หมดกิเลสอาสวะ
พรหม อรูปพรหม ก็เช่นเดียวกัน ตกอยู่ในสภาวะแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตา ยังไม่เป็นตัวของตัวเอง ยังไม่เป็นอิสรภาพ
แต่พอถึงกายธรรม ใจจะใส เป็นอิสรภาพ
เป็นอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง นั่งเป็นสุข ยืนเป็นสุข เดินเป็นสุข นั่ง นอน ยืน
เดินเป็นสุข สุขอยู่ในกายธรรม สว่างไสว เป็นสุขที่ไม่มีสิ่งใดมาเทียบได้
สุขเป็นชั้นๆ เข้าไปเรื่อยๆ
ลำดับกายธรรมภายใน
ตั้งแต่กายธรรมโคตรภู คือ สุขแล้ว พอนิ่งต่อไปก็ไปเจอกายธรรมที่นิ่งกว่ากายธรรมโคตรภู
คือ กายธรรมพระโสดาบัน นิ่งกว่าก็สุขกว่า
บริสุทธิ์กว่า กายใหญ่โตกว่า หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา เป็นปกติ ใส สว่างมาก
ความบริสุทธิ์ก็เพิ่มขึ้น
ในกลางกายธรรมพระโสดาบัน ก็มี กายธรรมพระสกิทาคามี ที่นิ่งกว่า หยุดนิ่ง
ที่นิ่งแน่นกว่ากายธรรมพระโสดาบัน หน้าตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา กายก็โตใหญ่ขึ้น ใสยิ่งขึ้น บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น สว่างยิ่งขึ้น
ในกลางกายธรรมพระสกิทาคามี
ก็มี กายธรรมพระอนาคามี ที่นิ่งกว่า
หยุดนิ่งกว่า เป็นชั้นๆ เข้าไปอย่างนี้ หน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา รูปร่างหน้าตาเหมือนกันหมด
ต่างแต่ความใส ความบริสุทธิ์ ความสว่าง ขนาดกาย
ในกลางกายธรรมพระอนาคามี
ก็มีกายที่นิ่งกว่าคือ กายธรรมอรหันต
หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา ใส บริสุทธิ์ หนักขึ้น สว่างขึ้น ทุกกายซ้อนๆ
กันอยู่ภายใน เห็นได้เมื่อเครื่องกั้นความเห็นถูกทำลายด้วยใจที่หยุดนิ่ง
จนแสงสว่างเกิดขึ้นภายใน ก็จะเห็นเป็นชั้นๆ เข้าไปตามลำดับ นี่อัศจรรย์นักทีเดียว
สุขที่แท้จริง
ชีวิตของเราจะมีคุณค่า
ถ้าเข้าถึงพระธรรมกาย จะมีความสุขอย่างพูดไม่ออก บอกไม่ถูก สว่างไสวในทุกหนทุกแห่ง
เป็นสุข อยู่ในป่าในเขาก็เป็นสุข ใต้ต้นไม้ก็เป็นสุข ทุกหนทุกแห่งเป็นสุขทั้งนั้นเลย
สุขสดชื่นอยู่ในกลางกายธรรม
ลูกทุกคนเป็นชาวพุทธ
จะต้องดำเนินรอยตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทำอย่างไรเราก็ทำอย่างนั้น ดังนั้นท่านเป็นอย่างไรเราก็จะเป็นอย่างนั้น
ใจก็จะใส สะอาด บริสุทธิ์ มีสุขเพิ่มขึ้นไปตามลำดับ ตามกำลังแห่งบุญบารมีของเราที่ได้สั่งสมมา
พอถึงกายธรรมแล้ว
มีสุขแล้ว เมื่อมองย้อนหลังชีวิตของเราที่ผ่านมาก่อนความสว่างภายในเกิดขึ้น
จะเห็นว่ามันแตกต่างกันมากมายทีเดียว
สุขที่หลับตาแล้วยังมืดอยู่
ที่เราเข้าใจว่า เป็นความสุข ไม่ว่าจะเป็นสุขที่ได้มาจาก ลาภ
ยศ สรรเสริญ หรืออะไรก็แล้วแต่ ล้วนแค่ความเพลินให้มันหมดไปวันๆ เสียเวลา
ไม่เกิดประโยชน์อันใด และเทียบไม่ได้กับความสุขที่เข้าถึงกายธรรมได้เลย
ถ้ามองย้อนหลังไป
เราเป็นอย่างไร ชาวโลกก็เป็นอย่างนั้น ชีวิตที่ใจตกอยู่ในความมืด ย่อมเดินหลงทาง หลงผิด
หลงเข้าใจผิด แล้วก็ไปติดในสิ่งเหล่านั้น และหลงใหลในสิ่งที่ไม่ควรหลงใหล เพราะใจมันมืด
นี่ถ้าเรามองย้อนหลังไป
วันใดที่เราเข้าถึงกายธรรมแล้ว
มันจะเห็นชีวิตว่า ที่ผ่านมาชีวิตเหมือนต้นกล้วยที่ไม่มีแก่นสาร เหมือนคนที่ว่างเปล่าจากสาระแก่นสารของชีวิต มีชีวิตไปวันๆ เหมือนชีวิตนก ชีวิตกา แล้วก็แก่
เจ็บ ตายไปเหมือนกับคนทั่วๆ ไป
ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก
ประสบสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น เป็นทุกข์เศร้าโศก เสียใจ
คับแค้นใจ ร่ำพิไรรำพัน อารมณ์ก็แปรปรวนขึ้นๆ ลงๆ ไปตามสภาวะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
มีปัญหา มีแรงกดดันของชีวิต แล้วก็คลี่คลายด้วยทางที่ไม่ถูกต้อง แค่เพลินๆ
หมดกันไปวันๆ หนึ่ง
เมื่อเราเข้าถึงกายธรรมแล้วมองย้อนหลังก็จะเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น ใจหยุด จึงเป็นสิ่งที่สำคัญนัก เกิดมาทั้งทีต้องหยุดใจนิ่งให้ได้
เข้าถึงแก่นสารของชีวิตให้ได้ การเกิดมาในชาตินี้จึงจะเรียกว่า สมหวังสมปรารถนา มีชีวิตที่ประเสริฐ
ศึกษาวิชชาธรรมกาย
เมื่อถึงกายธรรม
ก็จะได้ศึกษาวิชชาของกายธรรม เขาเรียกว่า วิชชาธรรมกาย
ซึ่งมีสิ่งที่น่าศึกษาเรียนรู้อีกเยอะแยะมากมาย และมีทะเลแห่งความรู้อันบริสุทธิ์ ที่ไม่มีขอบเขต
เป็นความรู้คู่ความสุข คู่ความบริสุทธิ์ที่บังเกิดขึ้น แต่ว่าต้องเข้าถึงกายธรรมที่อยู่ภายในตัวก่อน
ให้เป็นอันหนึ่งเดียวกับท่านให้ได้ ให้นิ่ง แน่น เป็นหนึ่งเดียว ชัด ใส แจ่ม
กระจ่าง แล้วจะได้เริ่มศึกษาเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตของตัวเรา
ศึกษาเรื่องของตัวเราก่อน
แล้วก็ศึกษาเรื่องของผู้อื่นว่า ตั้งแต่ก่อนมาเกิด เรามีสภาพเป็นอย่างไร
เกิดมาทำไม เกิดมาจากไหน เกิดมาทำไม เกิดมาเท่าไรแล้ว สาวไปเรื่อยๆ สาวไป นิ่งไป หยุดไป มองไป ในไส้กลางของกลางกายธรรมไปตามลำดับ
สาวไปเรื่อย มองต่อไปหลังประวัติศาสตร์ชีวิตของเราก็จะเห็นเป็นเรื่องเป็นราวไป
แต่ต้องเป็นหนึ่งเดียวกันกับธรรมกายก่อน แล้วก็มาศึกษาวิชชาธรรมกายเพิ่มเติม
วิชชาธรรมกาย
เฉพาะพระธรรมกาย สอนโดยพระธรรมกาย แล้วก็เรียนรู้ได้ด้วยธรรมกายเท่านั้น กายอื่นเรียนไม่ได้
เป็นวิชชาของพระธรรมกายภายในที่น่าศึกษาเรียนรู้มาก เช่น วิชชา ๓ วิชชา ๘ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ วิชชาเกี่ยวกับการระลึกชาติหนหลัง
จุตูปปาตญาณ วิชชาเกี่ยวกับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิต่างๆ อาสวักขยญาณ วิชชาที่จะขจัดกิเลสอาสวะ
ความโลภ ความโกรธ ความหลง
ได้ยินแต่ละชื่อแล้วก็รู้สึกด้วยอาการว่า โลภเป็นอย่างนี้
โกรธเป็นอย่างนี้ หลงเป็นอย่างนี้ แต่ไม่เคยเห็นตัวจริงว่า โลภเป็นอย่างไร
โกรธเป็นอย่างไร หลงเป็นอย่างไร ทั้งหมดมีอยู่ข้างในตัว
พอถึงธรรมกายแล้วก็เห็นได้
ลักษณะมันเป็นอย่างไร มาจากไหน นี่ก็สาวไปได้ ไปให้สุดสายแห่งความโลภ ถึงต้นเหตุแหล่งผลิต
กระทั่งสาวไปหาเหตุว่า ทำไมต้องผลิต ก็ต้องสาวไปเรื่อยๆ ทำไมต้องเป็นเรา
ชาวโลกอะไรต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น ความลับอะไรต่างๆ
ก็เปลี่ยนมาเป็นความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้ง
ทั้งหมดขึ้นอยู่กับใจหยุดนิ่งทำลายความมืดในใจให้ได้เสียก่อน
บรรพชิตคือชีวิตที่ประเสริฐ
เพราะฉะนั้น ชีวิตของบรรพชิตจึงมีโอกาสมากกว่าเพศของคฤหัสถ์
ที่ยังมีเครื่องกังวล มีปลิโพธ ความกังวลเรื่องครอบครัว เรื่องการทำมาหากิน
ทำมาค้าขาย เจอปัญหา แรงกดดัน ก็จะหมดเวลาไปกับเรื่องปัญหา
การแก้ปัญหาแรงกดดันนั้น หมดกันไปวันๆ
มีแต่เรื่องเพลินๆ กับเพลียๆ มีการผูกเวรกัน
จองเวรกันไป จึงไม่ค่อยมีเวลาและอารมณ์ที่จะศึกษาเรียนรู้ความรู้ภายใน
แต่บรรพชิตมีชีวิตที่อิสระ กว้างขวางกว่า เพราะว่าไม่ต้องทำแบบชาวโลกเขาทำ
แต่สิ่งที่จะต้องทำ คือ การศึกษาเรียนรู้ความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น ท่านรู้เห็นอย่างไร
เราก็รู้เห็นอย่างนั้น ท่านเป็นอย่างไร เราก็จะเป็นอย่างนั้นไปตามลำดับแห่งกำลังบารมีของแต่ละคน
ที่สั่งสมมาไม่เท่ากัน เหมือนพระอริยสาวกในสมัยพุทธกาล
ชีวิตบรรพชิตจึงประเสริฐ
ถ้าใช้เป็น เพราะว่าเราโอกาสดีมาก เราสวนกระแสได้เป็นมนุษย์มหัศจรรย์ เป็นนักบวช เหมือนปลาที่หันหัวมาทางหาง ปลาที่ปกติว่ายไปตามกระแสน้ำก็ทวนกระแสได้
เป็นชีวิตที่ประเสริฐที่เลิศ แล้วก็มุ่งศึกษาความรู้ภายในด้วยใจที่หยุดนิ่ง
นุ่ม เบา สบายไปเรื่อยๆ อาศัยร่างกายที่เปื่อยเน่านี้เข้าไปสู่กายเดิมแท้ ที่พ้นจากสภาวะอย่างนี้
ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย คือกายธรรมนั่นเอง
อาศัยกายที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย เปื่อยเน่านี้
หยุดเข้าไปข้างใน เข้าไปถึงกายที่ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่เปื่อย ไม่เน่า คือ กายธรรม
แล้วก็ศึกษาวิชชาธรรมกายเพิ่มเติมไปเรื่อยๆ เป็นชั้นๆ เข้าไป
เพราะฉะนั้น ลูกทุกคนมีบุญมากที่มาได้ยินได้ฟังเรื่องเหล่านี้
ก็ให้ใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ ตั้งใจปฏิบัติธรรม บำเพ็ญสมณธรรม ฝึกใจให้หยุดนิ่ง
ให้เข้าถึงสิ่งที่มีอยู่ในตัวของเราให้ได้ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565