เราไม่ได้ใครจะได้เล่าลูกเอ๋ย
ทำเสบยใจสบายได้แหง๋แหง๋
ก็พวกเราท่านผู้รู้เขาดูแล
ล้วนแต่ธาตุแก่แก่ในนิพพาน
ตะวันธรรม
อย่าท้อ
วันอาทิตย์ที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
Link ไฟล์เสียงนำนั่งสมาธิใน youtube
ง่ายแต่ลึก 2 |EP.32| : อย่าท้อ
(เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้วต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ........)
...อย่าท้อ
อย่าทอดทิ้งความเพียร
ทำไปทุกวัน
แม้ว่าในช่วงนี้เราอาจจะมีความรู้สึกว่า
ผลการปฏิบัติยังไม่เกิดขึ้นชัดเจน
คือยังเข้าไม่ถึงพระรัตนตรัยในตัว
หรือยังมืดมัวอยู่
ก็อย่าไปวิตกกังวล
เพราะทุกครั้งที่เรานั่งหลับตา
ฝึกใจให้หยุดนิ่ง แม้แสงสว่างยังไม่เกิด หรือสุขจากสมาธิยังไม่ได้ ภาพต่างๆ
ยังไม่มีมาให้เราดูก็ตาม ก็ไม่ได้แปลว่าเราฝึกแล้วไม่ก้าวหน้า หรือไม่ได้อะไรเลย
ซึ่งเรามักจะใช้คำนี้กันอย่างผิดๆ ว่า เราไม่ได้อะไรเลย หรือไม่ก้าวหน้า
ที่จริงมันก้าวหน้า
แต่เราไม่รู้ตัว เพราะมันเห็นไม่ชัดเจนเหมือนเราปลูกต้นไม้ เรารดน้ำพรวนดินไป
รดน้ำทุกวันวันละกระป๋อง เรามองไม่ออกหรอกว่า
ต้นไม้มันเจริญเติบโตทุกวันจากผลการรดน้ำของเรา เรามองไม่ออกว่า มันโตขึ้นวันละกี่มิลกี่เซ็นต์
แต่เมื่อเรารดไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งก็จะมีดอกมีผลให้เราได้ชื่นชม
สิ่งที่เราทำแล้วไม่มีผลเป็นไม่มี แต่ทุกอย่างก็ต้องมีเวลาของมัน
การปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน
ก็มีเวลาสว่างของเขา เมื่อเราบ่มอินทรีย์ให้แก่กล้าขึ้นไปทุกวันด้วยการหมั่นเจริญสมาธิภาวนา
วันนี้มืดแต่ก็ไม่ได้หมายถึงจะมืดตลอดกาล เหมือนความมืดในยามราตรี มันก็มีเพียง ๑๒
ชั่วโมง ไม่ได้มืดไปถึง ๑๓, ๑๔, ๑๕ ชั่วโมง
หรือมืดตลอดกาลก็ไม่ใช่ มันก็มีเวลาสว่างเหมือนกัน เมื่อถึงเวลา
ถ้าเราคิดอย่างนี้ว่า
ยิ่งมืดก็ยิ่งดึก ยิ่งดึกก็ยิ่งใกล้สว่าง จะได้มีกำลังใจ
แต่ตอนนี้ทำความเข้าใจก่อนว่า
ที่ว่าไม่มีผลหรือไม่ได้อะไรเลยนั้นไม่จริงสมาธิจะค่อยๆ
ก่อตัวขึ้นทีละเล็กทีละน้อยอย่างที่เราไม่รู้สึกตัว นึกไม่ออก ไม่ชัดเจน
แต่ว่าเมื่อถึงวันเวลาแล้ว มันก็ให้ได้ผล เป็นรางวัลสำหรับผู้ทำความเพียร คือใจก็จะค่อยๆ
โล่ง ค่อยๆ โปร่ง ค่อยๆ เบาสบาย ตัวก็จะขยายออกไป จนกระทั่งไร้น้ำหนักไร้ตัวตน
ตกศูนย์ไป ดวงธรรมเกิด กายภายในเกิดตามเห็นกายภายในเข้าไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวก็เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวเอง ตามขั้นตอนของสมาธิ
เพราะฉะนั้นให้นั่งไปเรื่อยๆ
เหมือนเรานั่งรถไฟจะไปที่หมาย รถไฟเสียงมันก็บอกอยู่แล้ว ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง
ก็นั่งกันเรื่อยไป สุดท้ายก็ไปถึงปลายทางจนได้ เราก็ต้องนั่งเรื่อยไปนะ
ทำให้ได้ทุกวัน
อย่างสม่ำเสมอ อย่าให้ขาดเลยแม้แต่เพียงวันเดียว ไม่ว่าเราจะทำงานหนัก
จะเหน็ดเหนื่อย หรือนอนดึกก่อนนอนเราก็ต้องนั่งธรรมะ หรือจัดสรรเวลาทำการบ้านที่ให้ไว้สิ่งนั้นก็จะค่อยๆ
สั่งสมไป สั่งสมบุญ สั่งสมบารมี อินทรีย์ของเราก็ถูกบ่มให้สุกงอมขึ้นมา
ถ้าเป็นการเรียนหนังสือเหมือนกับเราค่อยๆ เก็บคะแนนสั่งสมไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวบุญของเราก็มากขึ้นเอง พอถึงขีดถึงคราวมันก็พรึบขึ้นมาเป็นรางวัลให้แก่เรา
ในสมัยพุทธกาลก็มีอย่างนี้
แม้แต่ผู้ที่ใกล้ชิดพระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งเป็นนักบวชก็มี ทั้งเป็นฆราวาส
คฤหัสถ์ก็มีอีกเหมือนกัน ที่ว่ากว่าจะเข้าถึงธรรมก็มีระยะเวลาเขาเหมือนกัน
บางคนก็เร็ว บางคนก็ช้า ขึ้นอยู่กับการสั่งสมบุญบารมีข้ามชาติมา ถ้าเราทำมามาก
ขยันมามากชาติในการทำความเพียร สั่งสมบุญมาเยอะ
สิ่งที่ยากในกาลก่อนมันก็มาง่ายในตอนนี้ พอฟังธรรมไม่กี่คำก็บรรลุแล้ว สว่างแล้ว
เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวแล้ว
ที่เรายากในปัจจุบันก็เพราะขี้เกียจในอดีตนั่นแหละ
ไม่ได้ตั้งใจทำกันจริงจัง เพราะฉะนั้นก็เลยมายากชาตินี้ แต่แม้ยากก็ยากไม่มาก
มันก็ยากพอสู้ เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นจะต้องไปรู้ว่า เมื่อไรเราจะเห็น
เพราะถ้าใครถามคำนี้ก็จะตอบได้ว่าเมื่อหยุด เราถึงจะเห็น
ทีนี้เราอยากจะเห็นเมื่อไร
มันก็แล้วแต่เรา ถ้าหยุดตอนนี้มันก็เห็นตอนนี้ ถ้าหยุดพรุ่งนี้มันก็เลื่อนไปอีกวันหนึ่ง
ถ้าหยุดอาทิตย์หน้าก็เลื่อนไปอีก ๑ อาทิตย์ ถ้าทำๆ หยุดๆ ก็อีกนานถ้าทำไม่หยุดเลย
มันก็เร็วหน่อย เดี๋ยวความหยุดมันก็จะเกิดขึ้นกับเรานะลูกนะ
เพราะฉะนั้น อย่าไปท้อ
ให้ทำความเพียรกันต่อไป ให้สม่ำเสมอ เพราะนี่คือกรณียกิจ เป็นกิจที่แท้จริง
หรือพูดภาษาชาวบ้านว่า
เป็นงานที่แท้จริงของชีวิตหนึ่งที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์มาพบพระพุทธศาสนา
แม้ไม่พบก็ตาม ชีวิตหนึ่งที่เกิดมาก็เพื่อการนี้ ถ้าพบพระพุทธศาสนาก็รู้เรื่องเร็ว
แต่ถ้าไม่พบพระพุทธศาสนาก็รู้เรื่องช้า เพราะว่าไม่มีใครจะมาสอนกันเรื่องเหล่านี้
มักจะสอนว่าตายแล้วสูญบ้าง
หรือตายแล้วไปสวรรค์บ้าง ถ้าเชื่ออย่างนั้น อย่างนี้ก็จะไปสวรรค์
แล้วก็เป็นสวรรค์ที่นิรันดรคล้ายๆ นิพพานของเรา
แต่ความจริงชีวิตมันไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะว่ายังมีกิเลสกันอยู่
เมื่อกิเลสยังไม่หมด อยู่ๆ จะไปนิพพาน จะไปสวรรค์นิรันดรเลยไม่ได้
มันต้องขจัดเชื้อที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิดให้หมดไปเสียก่อน มันถึงจะไม่เกิด
ก็คือการทำพระนิพพานให้แจ้งนั่นเอง
หรือถ้าจะย่นระยะเวลาในการเกิดก็ต้องทำพระรัตนตรัยนี้ให้แจ่มแจ้ง
คือท่านมีอยู่ในตัวเรานี่แหละ แต่ถูกความมืดด้วยนิวรณ์มาบดบังเป็นเครื่องกั้นให้มันมืด
เพราะฉะนั้น เราจำง่ายๆ
ว่า ถ้าจะให้สว่างก็ต้องหยุดนิ่งฝึกใจไปเรื่อยอย่างสบายๆ ด้วยความเบิกบาน
สนุกสนานเหมือนคนที่เขาสนุกกับการทำงาน สนุกกับการเรียน สนุกกับการเล่น
หรือสนุกกับการดูการละเล่น เพลิดเพลินในสิ่งที่ตัวชอบอะไรอย่างนั้น
ต้องมีความสุขสนุกสนานกับการเจริญภาวนาสิ่งที่ยากมันก็จะง่าย
สิ่งที่ง่ายมันก็ง่ายมากเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นแสนง่ายล้านง่าย
ทุกอย่างยังเป็นความลับของชีวิตที่ทำให้เราไม่รู้เรื่องเลยไม่รู้เรื่องเลยนี่ภาษาธรรมะเขาเรียกว่า
อวิชชา ไม่มีความรู้เรื่องราวความจริงของชีวิต
มันมาบดบังหนาแน่น ทั้งหุ้มทั้งเคลือบ ทั้งเอิบอาบ ซึมซาบ ปนเป็น สวมซ้อน ร้อยไส้
บังคับในธาตุ ในธรรม ในเห็น ในจำ ในคิด ในรู้ บังคับกันหนาแน่นมองไม่เห็นเลย
เราก็ไม่รู้
เหมือนคนตาบอด
อยู่ในที่มืด แถมโดนผูกตาเสียอีก ทำให้ไม่รู้อะไรเลย
อวิชชาที่เขาเข้ามาบังคับนี่ก็เหมือนกัน มันหนาแน่นหลายชั้นมาก ไม่ใช่แค่ ๓
ชั้นที่ยกตัวอย่างไว้ แต่ว่ามันนับชั้นไม่ถ้วน สิ่งเหล่านี้ก็เลยเป็นความลับของชีวิต
จนกว่าเมื่อไรเราทำความสว่างให้เกิดขึ้นในใจของเราโดยการหยุด การนิ่ง
สิ่งเหล่านี้ก็จะถูกเปิดเผยออกมา
เมื่อไรใจเราติดที่ศูนย์กลางกาย
เหมือนติดกาวอย่างดีติดไว้กับกลางกาย ความสว่างก็จะเจิดจ้า
ยิ่งเข้าถึงพระธรรมกายพระรัตนตรัยในตัว ก็จะยิ่งเจิดจ้าเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ
อย่าขี้เกียจนั่ง
อย่าท้อ วันนี้นั่งไม่ได้ผล เลิกเสียเถอะ เอาไว้ขยันเมื่อไรก็มานั่งต่อ
เราจะมานั่งตามอารมณ์อย่างนี้ มันไม่เหมาะ มันต้องให้เป็นกิจวัตรเหมือนเราอาบน้ำ
ล้างหน้า แปรงฟัน ไม่ต้องมีใครมาเตือนเรา พอถึงเวลาเราก็ทำกิจวัตรนั้น ภาวนานี่เป็นกิจสำคัญยิ่งกว่าการอาบน้ำ
ล้างหน้า แปรงฟันเสียอีก เราก็จะต้องทำให้สม่ำเสมอ ให้ติดเป็นนิสัย
เป็นจริตอัธยาศัย จนกระทั่งเป็นขันธสันดานนั่นแหละ
มันติดกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่าไปทำตามอารมณ์ ต้องคุมอารมณ์ให้ได้
แล้วเมื่อไรที่เราถึงจุดที่ความสว่างเกิด
เมื่อเราได้สุขของสมาธิที่เกิดขึ้น ความรู้สึกว่าทำตามอารมณ์นั้น เบื่อๆ
อยากๆหรือมีอารมณ์ก็นั่ง ไม่มีอารมณ์ก็ไม่นั่งก็จะหมดไป
เราจะมีความสุขสนุกสนานกับการทำภาวนา
จากการที่เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวนี่ยังมีสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้กันอีกเยอะเลย
เรียนรู้เรื่องภพภูมิต่างๆ ๓๑ ภูมิ กามภพรูปภพ อรูปภพ นิพพาน ภพสาม โลกันตร์
ยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้กันอีกเยอะ ซึ่งมันคุ้มกับการลงทุนปฏิบัติธรรม
ฝึกใจให้หยุดนิ่ง ไม่มีวิชาใดหรือศาสตร์ใดๆ
ในโลกที่จะทำให้เราแจ่มแจ้งหายสงสัยได้นอกจากพุทธศาสตร์
เพราะพุทธศาสนาคือศาสตร์แห่งความรู้ของท่านผู้รู้ที่จะทำให้แจ่มแจ้ง และมีความสุข
เป็นความรู้คู่ความสุข คู่คุณธรรม ฉะนั้นเราต้องขยัน
เพราะมีสิ่งที่จะต้องไปเรียนรู้กันอีกเยอะ
เหมือนอย่างพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ
ของเรา ท่านศึกษาท่านก็มีความสุขในการเรียนรู้ทั้งวันทั้งคืน คุณยายอาจารย์ฯ
ก็เช่นเดียวกัน จะศึกษาเรียนรู้กันตลอด ๒๔ น. มันมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ
นี่คือสิ่งที่เราควรจะทุ่มเทชีวิตจิตใจให้มาก
สิ่งใดที่คุ้มสิ่งนั้นจึงควรแก่การอุทิศตนสำหรับศึกษาเรียนรู้เพื่อการนี้
เมื่อความรู้ภายในเราสว่าง
เมื่อเราสว่างแล้วเดี๋ยวโลกก็สว่างตาม จากคำแนะนำที่ดีที่มีพลังของเรานี่แหละ
เพราะเรามีประสบการณ์ภายใน จะทำให้โลกสว่างตาม แล้วเมื่อสว่างกันไปพร้อมๆ
กันจะมีสิ่งที่เรานึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเกิดขึ้นในยุคของเราให้ลูกทุกคนเอาใจหยุดนิ่งๆ
ให้ใจใสๆ อยู่ที่กลางกายนะต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2565