หากลูกละเอียดแล้ว
เมื่อใด
งานหยาบเสร็จเร็วไว เมื่อนั้น
หากลูกเถลไถล เรื่องหยุด
งานหยาบชะลอขั้น สำเร็จให้ห่างไกล
ตะวันธรรม
เมื่อเราสว่างโลกก็สว่างด้วย
วันอาทิตย์ที่
๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
Link ไฟล์เสียงนำนั่งสมาธิใน youtube
ง่ายแต่ลึก 2 |EP.25| : เมื่อเราสว่างโลกก็สว่างด้วย
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ทำใจของเราให้เบิกบาน สดชื่น ให้ไร้กังวล แล้วก็ค่อยๆ
หยุดใจไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา
ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือจำง่ายๆ ว่า อยู่ในกลางท้องของเรา
ทำความรู้สึกว่าใจเราอยู่ตรงนั้น หรือไปรับรู้อยู่ที่ตรงนั้นที่เดียวอย่างเบาสบายๆ
คล้ายๆ ขนนกที่ค่อยๆ ล่องลอย แล้วก็ตกไปสัมผัสที่แผ่นพื้นน้ำเรียบๆ
ใจต้องนุ่มนวลละมุนละไมอย่างนั้นนะ
ตรงนี้เป็นหลักสำคัญทีเดียว ถ้าทำเป็นเดี๋ยวใจก็จะรวมลงได้อย่างง่ายๆ ต้องค่อยๆ
ประคับประคองใจเบาๆ โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับลูกนัยน์ตาแต่ทำความรู้สึกนิดหนึ่งว่า
อยู่ในกลางท้อง กลางกายของเรา
แล้วก็นึกว่าตัวของเราเป็นศูนย์กลางของสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลายแล้วก็นิ่งๆ
อย่างเดียว อย่างสบาย
วิธีนึกภาพ
จะนึกเป็นภาพองค์พระ ดวงแก้ว เพื่อช่วยให้ใจหยุดนิ่งในกลางตัวไปด้วยก็ได้
ซึ่งการนึกถึงองค์พระ ดวงแก้ว ดวงใสๆ พวกเพชรพลอยใสๆ ก็ไม่ใช่ของยากอะไร
ให้นึกธรรมดาๆ เหมือนเรานึกถึงดอกบัว ดอกกุหลาบ ของที่เราคุ้นเคย ขันล้างหน้า
แปรงสีฟัน ยาสีฟัน นึกถึงลูกปิงปอง ผลส้ม ส้มโอ แตงโม มะพร้าว หรือของที่เรารัก
คนที่เรารัก เห็นไหมจ๊ะ เรายังนึกได้เลย มันก็ไม่ได้ยากอะไร นึกคล้ายๆ อย่างนั้น
แต่ชัดหรือไม่ชัดนี่อีกเรื่องหนึ่ง
เอาว่านึกได้ นึกถึงองค์พระหรือดวงแก้วก็เหมือนกันให้ใช้วิธีนึกธรรมดาอย่างนั้น
อย่าไปเน้นมากเกินไป นึกง่ายๆ แต่ให้ต่อเนื่องสำคัญตรงนี้ ที่พลาดกันคือมันไม่ต่อเนื่อง
คือพอเรานึกได้แป๊บเดียว มันก็ฟุ้งไปเรื่องอื่นอีกแล้ว ไปเรื่องที่เราคุ้น
ทีนี้จะทำอย่างไรจะให้นึกได้ต่อเนื่องก็ต้องนึกบ่อยๆ นั่นแหละ
ภาวิตาพาหุลีกตา
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการฝึกฝน
ไม่มีพรมาจากสวรรค์ แม้เทวดาล้านองค์หรือพร้อมใจกันทั้งสวรรค์จะให้ศีลให้พรเราว่า
ขอให้เรานึกดวงนึกองค์พระได้ ไม่สำเร็จหรอกจ้ะ เขาก็ได้แต่เป็นกองเชียร์
เหมือนกองเชียร์รอบสนามฟุตบอลเราจะเชียร์ให้เขาเตะเข้าโกล
แค่ไหนก็แล้วแต่แต่จะเป็นดาวซัลโวได้ก็ต้องอาศัยตัวเองฝึกฝนศึกษา เรียนรู้ ทำบ่อยๆ
ซ้ำๆ
ภาษาบาลีเขาใช้คำว่า ภาวิตา พาหุลีกตา
แปลว่า ต้องบ่อยๆ เนืองๆ ถ้านานๆ ทำทีมันก็นานๆ นึกได้ทีหนึ่ง
ถ้าทำทีแล้วนึกต่อเนื่องนานๆ มันก็นึกได้นานๆ บ่อยๆ ซึ่งก็เป็นหลักธรรมดา
เพราะฉะนั้นมันอยู่ในวิสัยที่ไม่ง่าย ไม่ยาก ยากพอสู้ พอที่เราจะฝึกฝน และก็ง่ายพอที่เราจะเข้าถึงได้
ไม่เหลือวิสัย ดังนั้นขึ้นอยู่ที่การฝึกฝนนะลูกนะ
อากาศในฤดูนี้ที่จริงมันน่าจะร้อนแต่พอลมพัดมาเอื่อยๆ
ให้เรา มันสบายใจ คล้ายๆ
กับว่าจะเกื้อหนุนให้เราได้เข้าถึงธรรมด้วยบุญที่เราได้สั่งสมเอาไว้จึงบันดาลให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นให้กายเราสบาย
ใจเราจะได้สงบ เราก็ค่อยๆ ฝึกกันไปนะ
ฝึกไปเรื่อยๆ อย่าท้อ
เพราะนี่คือกรณียกิจ เป็นกิจที่เราต้องทำ เป็นงานที่แท้จริงงาน
อื่นยังไม่ใช่งานจริงแท้ มันเป็นงานแค่ทำมาหากิน ได้ทรัพย์มาซื้ออาหารหวานคาว
ปัจจัย ๔ เพื่อนำมาหล่อเลี้ยงสังขาร ให้ดำรงชีวิตอยู่ได้
อยู่ก็เพื่อทำงานที่แท้จริง คือหยุดกับนิ่งนี่แหละ
ตอนนี้เราก็วางใจอย่างสบายๆ
ต้องให้ความสำคัญกับตรงนี้ให้มากนะ ให้เห็นคุณค่าของการเกิดมาเป็นมนุษย์
เพื่อวัตถุประสงค์นี้ให้มากๆ มากกว่าอย่างอื่น อย่างอื่นมันไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรหรอก
มันก็ซ้ำๆ ซากๆ เหมือนกับที่เราผ่านมาในภพชาติก่อนๆ โน้น
เพราะฉะนั้น
เราก็ไม่ควรจะเป็นเหมือนคนเดิมทุกครั้งไปควรจะมีอะไรแปลกแตกต่างจากคนเดิมบ้าง
ที่เคยทำเหมือนชาวโลกทั่วๆ ไปอย่างนั้น เราควรจะมีความแตกต่างบ้าง
ด้วยการมาทำงานที่แท้จริง มาฝึกหยุดฝึกนิ่ง ฝึกไปเรื่อยๆ ทำใจให้สบายๆ
วิธีแก้กดลูกนัยน์ตา
...สมมติว่าเราอดที่จะกังวลศูนย์กลางกายมากเกินไปไม่ได้
คือพยายามอดแล้ว มันก็อดไม่ได้ มันเหมือนเราเสพเสียจนติดเสพคุ้นกับการกดลูกนัยน์ตา
แล้วก็กังวลกับศูนย์กลางกายมากเกินไป อดไม่ได้ ก็ให้ทำอย่างนี้นะ
ให้สมมติว่า
ศูนย์กลางกายนี้ขยายออกไปสุดขอบภพ หรือสุดขอบฟ้าที่ครอบเรา แล้วเหมือนกายของเรา
ที่เป็นก้อนเพชรใสๆ เข้าไปนั่งอยู่ตรงกลางนั้น นิ่งเฉยอย่างเดียว
นึกอย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน ใจสบายที่ไหน เราก็เอาตรงนั้น
เพราะตอนนี้เราขยายศูนย์กลางกายไปสุดขอบฟ้าแล้ว
หน้าที่เราตอนนี้ก็นิ่งอย่างเดียว
โดยไม่คำนึงว่า จะเห็นหรือไม่เห็นอะไร เห็นไม่เห็นก็ไม่เห็นจะเป็นไร ทำใจนิ่งเฉยๆ ทำตรงนี้ให้ได้กันเสียก่อน
ให้นิ่งอย่างสบายๆ นิ่งๆ นุ่มๆ ละมุนละไม ให้ใจใสๆ เฉยๆ อย่างนี้ไปก่อนนะ
แล้วมันก็จะค่อยๆ ปรับไปสู่ภาวะที่ละเอียดเพิ่มขึ้น คือเราจะมีความรู้สึกว่า
เริ่มโล่ง เริ่มโปร่ง เริ่มเบา สบาย ตัวขยายบ้าง ตัวหายไปบ้าง
หรือหล่นจากที่สูงลงไปบ้าง มันวื้ดลงไป
มันจะหล่นอย่างไรก็อย่าไปฝืนยับยั้ง
อย่าไปตกอกตกใจ อย่าไปฝืนหิ้วกลับเอาขึ้นมาใหม่ ไม่ต้อง
มันอาจจะมีความรู้สึกเสียวนิดๆ แต่ก็ไม่ถึงกับหวาดเสียว เหมือนเราขึ้นรถเร็วๆ
นั่งรถเร็วๆ ขึ้นสะพานแล้วมันวื้ดลงไปอย่างนั้น หรือคล้ายๆ
เราโดดน้ำวื้ดลงไป หรือคล้ายๆ ขึ้นเครื่อง
แล้วเราเปิดประตูเครื่องบินแล้วกระโดดวุบลงมาโดยไม่มีร่มกางอย่างนั้น
มันก็ต้องเสียวบ้างนิดหน่อย เราก็ต้องยอมให้มันเสียว โดยหยุดนิ่งเฉยๆ
เดี๋ยวจะมีรางวัลสำหรับคนที่หยุดนิ่งเฉยๆ
ได้ ซึ่งรางวัลนี้เราจะลืมไม่ลง คงไม่ลืมเลย ปลื้มกันไปทุกชาติ
ที่จะเป็นรางวัลให้กับเราจากการที่หยุดนิ่งเฉยๆ สบายๆ ต้องทำอย่างนี้นะ
ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวใจก็จะค่อยๆ เบาสบาย เริ่มบริสุทธิ์ เมื่อเราหยุดคิดเรื่องราวต่างๆ
จะไปสู่ภาวะแห่งการไม่คิด ซึ่งเราไม่คุ้น แต่ว่าสถานที่นั้นมีจริง
เป็นที่ปลอดความคิด ปลอดความกังวล ปลอดจากภัยทั้งปวง
เป็นแหล่งที่มีแต่พลังแห่งความบริสุทธิ์ ซึ่งจะเป็นต้นกำเนิดของความคิดที่ดี พูดดี
ทำดี มีวิบากที่ดี นี่ต้องทำอย่างนี้ ให้นิ่งเฉยๆ สบายๆ
ถ้าจะนึกเป็นภาพ ก็นึกถึงดวงใสๆ
องค์พระใสๆ ใสสบาย ถ้าไม่นึกเป็นภาพ ก็นิ่งๆ นุ่มๆ ละมุนละไม สบายๆ
ทำอย่างนี้นั่งแล้วจะไม่ปวดหัว ไม่ตึง ไม่เกร็ง ไม่เครียด แล้วเราก็จะได้ค่อยๆ
ไปสัมผัสแหล่งแห่งความสุขที่เกิดจากสมาธิ ซึ่งแตกต่างจากความสุขทั่วๆ
ไปที่เราเคยเข้าใจว่ามันเป็นความสุขดูหนัง ดูละคร ดูทีวี การละเล่น การเที่ยวเตร่
ได้พูดคุยกับคนที่ถูกอกถูกใจ รู้ใจ ได้อ่านหนังสือดีๆ หรือได้ดูแหวนเพชร
ดูเพชรดูพลอยอะไรเหล่านั้น มันก็ปลื้มนิดๆ ปลื้มเล็กๆ แต่นี่ปลื้มใหญ่
ปลื้มอลังการ ถ้าเราเข้าไปสัมผัสแหล่งแห่งความบริสุทธิ์ของใจ
แล้วจะมีข้อสังเกตว่า
เวลาที่ใจสงัดจากกาม อกุศลธรรมจากบาปทั้งปวงนั้น ใจจะบริสุทธิ์ มีคุณภาพ มีความสุข
เบิกบานแช่มชื่น ใจมันจะนิ่ง นุ่ม เบา สบาย เบิกบาน อยู่คนเดียวก็ยิ้มได้สดใส
แล้วความสดใสภายในก็จะขยายออกมาสู่ระบบประสาทกล้ามเนื้อ ทุกส่วนของร่างกาย
มันขยายออกมา ทำให้ผิวพรรณวรรณะผ่องใส เหมือนดอกไม้ที่สดใส
ก็แปลว่าน้ำหล่อเลี้ยงข้างในดี จึงทำให้ดอกไม้สดใส ใบไม้เขียวชอุ่ม
กายมนุษย์ก็คล้ายๆ อย่างนั้น ถ้าใจใสๆ กายก็จะใสตามไปด้วย
ซึ่งมันขึ้นอยู่กับการฝึกฝนทุกวันนะลูกนะ เราก็ค่อยๆ ฝึกไป
เราไม่ใช่คนเก่ง
เราจะเอาความเก่งมาใช้อย่างนี้ไม่ได้ ฝึกแบบนักเรียนอนุบาลนั่นแหละ ค่อยๆ
สั่งสมความสงัดจากกามจากอกุศลธรรม จากบาปทั้งปวง ด้วยการทำใจนิ่งๆ นุ่มๆ ละมุนละไม
สบ๊าย สบาย ไม่ต้องคิดอะไรเลย เฉยๆ
สุขอย่างนี้แหละ
ที่มนุษย์ไม่ค่อยเข้าใจ เพราะเขาไม่ให้โอกาสตัวเองมาศึกษา มาเรียนรู้ มาฝึกฝน
แต่ว่าไปสนใจเรื่องอื่นที่เขาโหมกระหน่ำโฆษณาประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่างๆ
เรามีเชื้ออยู่แล้ว มันมีอายตนะแล่นไปรับสิ่งเหล่านั้นได้ เพราะฉะนั้นใจก็จะถูกหล่อหลอมให้นึกคิด
พูด ทำในสิ่งที่เขาอยากจะให้ทำ
อย่างมนุษย์ผู้ผลิตรายการทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา
กายหยาบเขาก็เหมือนหุ่น เหมือนเราอย่างนี้แหละ เขามีความคิดคำพูด และการกระทำ
แต่แหล่งที่มาของความคิดของเขาตรงนั้นไม่บริสุทธิ์ ดำมืดเลย มันกระตุ้นให้คิดอยู่เรื่อยๆ
แล้วก็บังคับให้คิด พูด ทำ แล้วก็ให้เพลินกับการนึกคิดเหล่านั้น
และให้เข้าใจผิดว่าเป็นความสุข แถมมีเครื่องล่อคือได้ทรัพย์ ได้รับการยกย่อง
ชื่นชม สรรเสริญไปด้วย
พอเกิดความเข้าใจผิด
แล้วก็เพลินในสิ่งเหล่านี้ มันก็ทำต่อเนื่องกันไป โดยขาดความรับผิดชอบต่อเพื่อนมนุษย์
ต่อสังคมว่า สิ่งที่ตัวคิด ตัวพูด
ตัวทำนั้นจะมีผลต่อเพื่อนมนุษย์อย่างไรจากตัวเราจะขยายไปสู่โลกอย่างไร
ไม่ได้คำนึงถึง ก็จะไปคำนึงถึงเม็ดเงินบ้าง การยกย่อง การชื่นชม
การสรรเสริญกันไปบ้างโลกมันเป็นอย่างนี้นะลูกนะ
เพราะฉะนั้น แหล่งที่มาของความคิดตรงนั้นไม่บริสุทธิ์จึงกระตุ้นให้คิดไม่บริสุทธิ์
พูดไม่บริสุทธิ์ ทำไม่บริสุทธิ์ แล้วตัวเองก็ไม่รู้ว่าไม่บริสุทธิ์ด้วย
พอมันขยายออกมาสู่การกระทำหยาบๆ ก็พลอยไม่บริสุทธิ์
พอไปกระทบกับอายตนะของบุคคลอื่น ที่เขามีตา มีหู จมูก ลิ้น กายใจ
มันก็ดูดเข้าไปอยู่ในใจเขา
ก็เท่ากับว่าเราเสียบปลั๊กแห่งอกุศลธรรมไปในใจของเพื่อนมนุษย์ มันก็ไปกระตุ้น
ให้คิด ให้พูด ให้ทำอย่างนั้น วนๆ กันไป โลกก็เดือดร้อน
เพราะฉะนั้น
โลกยังขาดแคลนความรู้ประสบการณ์ภายในที่ถูกต้อง และความเข้าใจชีวิตว่าเกิดมาทำไม
อะไรคือเป้าหมายของชีวิต จึงจำเป็นที่ลูกๆ
ทุกคนผู้มีบุญจะต้องฝึกตนให้เข้าถึงแสงสว่างภายในซึ่งมีอยู่แล้วให้เข้าถึงดวงธรรมภายใน
ถึงพระรัตนตรัยในตัว จนกระทั่งเรามีความผาสุก เบิกบาน สดชื่น ตื่นแล้ว
เมื่อเราสว่างโลกก็จะได้สว่างตามไปด้วย เพราะเราก็จะขยายความรู้นี้ ประสบการณ์นี้
ถ่ายทอดไปยังมวลมนุษยชาติ โดยเริ่มต้นจากผู้ที่ใกล้ชิดก่อน
และต่อไปพอเห็นหน้าตาเป็นมนุษย์ เราก็จะขยายไปสู่มวลมนุษยชาติ
การทำอย่างนั้น
ก็คือการให้ธรรมทานนั่นเอง การให้ความรู้อันบริสุทธิ์
ความรู้ที่แท้จริงของชีวิตแก่เพื่อนมนุษย์ เป็นการให้ที่สุดยอด
เป็นยอดสุดของการให้ ยิ่งกว่าการให้เสื้อ ให้ผ้าให้อาหาร ซึ่งมันอยู่ไม่นาน
ใช้ไปก็ผุพังไป แต่ให้ธรรมทานให้ความรู้ให้คำแนะนำที่ดีนี่อยู่นาน
จะอยู่กับตัวของเรานานข้ามชาติทีเดียว เพราะว่าเขาได้ไปแล้ว
เขาก็เอาไปใช้ได้ตลอดชาติ ชาตินี้ ชาติหน้า ชาติต่อๆ ไป มีความสุขไปยาวนานทีเดียว
ส่วนเสื้อผ้าอาหารมันแป๊บเดียวก็พังแล้ว อาหารพอเข้าไปจากอาหารใหม่
ก็เป็นอาหารเก่า เสื้อผ้าใหม่ก็เป็นเสื้อผ้าเก่า
นี่แหละนะลูกนะ
เราจึงจำเป็นที่จะต้องฝึกใจให้หยุดนิ่งๆ ให้เข้าถึงสิ่งที่มีอยู่ในตัวของเรา
อย่างถูกหลักวิชชา แล้วด้วยกำลังใจอันสูงส่ง ที่จะต้องปฏิบัติให้เข้าถึงให้ได้
ด้วยกำลังเรี่ยวแรงแห่งความเพียรของเรา ความตั้งใจจริงของเรา
กับหลักวิชชาที่ถูกต้อง ฝึกไปเรื่อยๆ จากมืดก็จะมาสว่าง จากนั่งแล้วทึบๆ อึดอัด
ก็จะมาโล่ง โปร่ง เบา สบาย ขยายออกไป อยู่ที่หยุดกับ
นิ่งอย่างเดียว
เพราะฉะนั้น
หลักของชีวิตมีแต่หยุดกับนิ่งเท่านั้น หยุดกับนิ่งแล้วความสว่างจึงจะเกิด
เป็นแสงแห่งความบริสุทธิ์ ถ้าไม่หยุดไม่นิ่งมันมืด พอมืดมันก็ไม่รู้สิ
เมื่อไม่รู้เรื่องราวชีวิต
ของเราจึงยังเป็นความลับสำหรับเรา แล้วก็เป็นข้อสงสัยทำให้เกิดความคลางแคลงใจในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด
ในเรื่องกฎแห่งกรรม ในเรื่องบาปบุญคุณโทษอะไรต่างๆ เหล่านั้น
เพราะฉะนั้นหยุดนี่แหละสำคัญ ฝึกเอาไว้นะ
ลูกทุกคนเกิดมาเพื่อที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้เกิดประโยชน์ต่อโลกไม่ใช่แค่มัวแต่ทำมาหากิน
มีครอบครัว เลี้ยงลูก เลี้ยงหลาน แล้วก็ตายไป เรามีเป้าหมายยิ่งกว่านั้น
คือมาช่วยสถาปนาสิ่งที่ถูกต้องให้บังเกิดขึ้นในโลกนี้ ก่อนที่เราจะจากโลกนี้ไป
อย่างผู้มีชัยชนะ ไปอย่างผู้ที่มีความปีติ เบิกบาน
และภาคภูมิใจในการที่ได้ใช้ร่างกายนี้ ชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง
และต่อชาวโลก เหมือนอ้อยที่เขาคั้นเอาความหวานเหลือแต่ชานก็เอาทิ้งไป
แล้วก็เอาความหวานเป็นบุญเป็นบารมีของเราติดตัวเราไปในภพเบื้องหน้า
ซึ่งจะเป็นที่พึ่งของเราต่อไปในอนาคต
วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2565