งานฝึกใจ
วันอาทิตย์ที่ ๒๙ มกราคม
พ.ศ. ๒๕๔๙ (๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย-ปรับใจ-วางใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ หลับตาเบาๆ
พอสบายๆ รวมใจให้ไปหยุดนิ่งๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ ประคองใจให้หยุด ให้นิ่งๆ นุ่มๆ สบายๆ ด้วยบริกรรมนิมิตกับบริกรรมภาวนา ๒
อย่าง
งานที่แท้จริง
จะต้องฝึกฝนอบรมใจกันให้ได้ทุกวันเลย
ฝึกหยุดฝึกนิ่งกันเอาไว้ เพื่อตัวของเราเอง ไม่ใช่เพื่อใคร เป็นกรณียกิจ เป็นงานที่แท้จริงของเราที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในแต่ละครั้ง
ตราบใดใจไม่หยุดนิ่ง ยังเข้าไม่ถึงพระรัตนตรัยในตัว
เราก็จะไม่รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต จิตก็จะไม่บริสุทธิ์ ก็จะไม่หลุดพ้นจากความทุกข์ของชีวิตไปได้
เพราะว่าพลังบุญของเรามันอ่อน แต่ถ้าหากหยุดนิ่งได้ เข้าถึงพระรัตนตรัย พลังบุญบารมีของเราก็แก่กล้า
แก่รอบขึ้น เมื่อธรรมจักขุและญาณทัสสนะบังเกิดขึ้น เราจะได้รู้เห็นอะไรไปตามความเป็นจริง
แล้วพลังบุญนั้นก็จะไปขจัดสาเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลาย กระทั่งดับทุกข์ได้
เราเกิดขึ้นมาแต่ละชาติก็เพื่อการนี้
อย่างน้อยที่สุดการฝึกใจให้หยุดนิ่ง จะทำให้เราได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง ที่ไม่มีในที่อื่น
นอกจากการทำใจให้หยุดให้นิ่งเท่านั้น และก็เป็น ปัจจัตตัง
ทำแทนกันไม่ได้ ต้องทำด้วยตัวเอง
เพราะฉะนั้น
ต้องให้ความสำคัญกับตรงนี้ให้มากๆ ควบคู่กับการทำมาหากินของเรา หรือการครองเรือน หรือการศึกษาเล่าเรียน
ให้ควบคู่กันไป บริหารเวลาของเราให้มันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ต้องให้รู้ว่า นี่คือ งานที่แท้จริงของเรา นอกนั้นเป็นงานที่คอยประคับประคองให้ชีวิตดำรงอยู่ได้เพื่อแสวงหาหนทางพ้นทุกข์
ฝึกให้ชำนาญ
หมั่นฝึกใจให้หยุด
ให้นิ่ง มีชั่วโมงหยุด ชั่วโมงนิ่ง ชั่วโมงกลางให้ได้เยอะๆ แล้วความชำนาญจะเกิดขึ้น
ที่เรียกว่า วสี มีความชำนาญ พอเรานึกน้อมให้หยุดนิ่ง
ใจก็ไปอยู่ตรงนั้น
จะยากตรงหยุดแรก
เพราะเราไม่เคยหยุดมาก่อน ถ้าหยุดใจหยุดแรกได้ หยุดที่ ๒,๓,๔ ก็ง่ายขึ้น แต่ถึงง่ายขึ้นก็ไม่ควรประมาท
ชะล่าใจ ต้องทำบ่อยๆ ในทุกอิริยาบถ ทั้งนั่ง ทั้งนอน ทั้งยืน ทั้งเดิน ฝึกบ่อยๆ มันจะสอดคล้องกับการกระทำในชีวิตประจำวันได้
คือ ข้างนอกเคลื่อนไหว แต่ข้างในหยุดนิ่ง เห็นดวงธรรม เห็นกายภายใน หรือองค์พระชัดใสแจ่มได้ตลอดเวลา
ถ้าเราทำจนชำนาญ
ความชำนาญจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเรามีความเพียร
ต้องฝึกฝน ทำให้ได้ทุกอิริยาบถ
หมั่นสังเกต
หมั่นสังเกตว่า ที่เราทำถูกหลักวิชชาไหม
ตึงไปไหม หย่อนไปไหม ให้สังเกตให้ดี แล้วก็ปรับให้อยู่ในระดับที่พอดี
ให้สังเกตจากความพึงพอใจที่บังเกิดขึ้น
การนั่งจะมีความรู้สึกว่า เวลามันผ่านไปเร็ว เราไม่เบื่อหน่ายในการนั่ง มีความสุข สนุกกับการนั่งแม้จะยังมืดอยู่
แต่เป็นความมืดที่เรารูสึกว่าเป็นมิตรกับตัวเรา แล้วเราก็ไม่คาดหวังว่า เราจะได้อะไร
เห็นอะไรเหล่านั้น และหลังจากนั้นความละเอียดก็ค่อยๆ สั่งสมกันไปเรื่อยๆ ในทุกๆ อิริยาบถ
ต้องฝึกกันไปอย่างนี้ ทุกวันเลย
นั่งดีแล้วก็อย่าประมาท
สำหรับใครที่เห็นดวงธรรมแล้ว ก็อย่าชะล่าใจว่า
จะทำเมื่อไรก็ได้ มีเพื่อนนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาหลายๆ ท่าน เคยคิดอย่างนี้มาก่อน
เมื่อได้ดวงใสๆ ก็ประมาทชะล่าใจ แล้วมันก็จะเลือนหายไปเมื่อจิตหยาบขึ้น ภายหลังต้องการจะเข้าไปสู่อารมณ์นั้นอีก
ก็ถูกความอยากได้แบบเดิมมาครอบงำจิตใจ ทำให้ใจหยาบยิ่งขึ้น เกิดความเพียรจัด
ตั้งใจมากเกินไป เพราะฉะนั้นอารมณ์มันก็ไม่ละเอียด
ดังนั้น ถ้าหากเราได้ถึงจุดที่หยุดนิ่งได้
กระทั่งดวงธรรมเกิดเป็นดวงใสๆ หรือแม้ในระดับของบริกรรมนิมิต ที่หยุดนิ่งได้ ในขั้นของ
อุคคหนิมิต มั่นคง เห็นชัดแจ่ม แต่ความสุขยังไม่เกิดขึ้น
หรือในระดับ ปฏิภาคนิมิต ที่มันเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้น
ดวงใสๆ เริ่มขยายได้ ย่อได้ เล็กได้ ก็อย่าชะล่าใจเหมือนกัน ถึงตรงนี้ก็ต้องฝึกกันต่อไป
จนกระทั่งถึงจุดที่ตกศูนย์ ดวงธรรมเกิดแล้วหยุดนิ่งไปเรื่อยๆ อย่างนี้อย่างเดียวเรื่อยไป
เห็นแล้วก็ต้องฝึกให้เฉยๆ
แต่อดดีใจไม่ได้ จนกระทั่งมันหายไป ภาพมันหายไป ก็ช่างมัน เราก็เริ่มต้นใหม่ ให้ลืมไปว่า
เราเคยเห็นมาก่อน อย่าไปเสียดาย สิ่งที่เราเคยได้ ให้ทำตัวง่าย ๆ เหมือนนักเรียนอนุบาล
แล้วก็ฝึกใหม่ เริ่มต้นใหม่อย่างง่ายๆ เหมือนไม่เคยเจอสิ่งนั้นมาก่อน และเดี๋ยวใจก็จะค่อยๆ
ละเอียดไปเอง ละเอียดลงไปๆๆ ถึงจุดที่มีความสุข เพราะความรู้ภายในจะต้องคู่กับความสุข
ความบริสุทธิ์ หยุดนิ่งจนใจบริสุทธิ์ มีความสุข มีความสว่าง พอสว่างเกิดขึ้นก็เห็นภาพ
เป็นดวงใส เป็นกายภายใน เป็นองค์พระ
ไม่หวาดหวั่นในมรณภัย
เราก็เฝ้าเพียรฝึกกันไปอย่างนี้
เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด มากกว่าสิ่งอื่นทั้งหมด เราจะรู้ได้แท้จริงเมื่อถึงวันสุดท้ายที่จะเดินทางไปสู่ปรโลก
เราจะรู้ด้วยตัวเราเลยว่า อะไรคือแก่นสารของชีวิต อะไรที่ยังไม่ใช่ แต่ก็ต้องอาศัยสิ่งนั้น
มันจะแยกออก
เพราะตอนจะเดินทางไปสู่ปรโลก
เขาวัดกันที่ความดีกับความชั่ว ใส หรือ หมอง
ไม่ใช่ความเก่งอะไรต่างๆ เหล่านั้น ตรงนั้นแหละของจริงของชีวิต เพราะอะไรก็ช่วยไม่ได้เลย
นอกจากความใส ความบริสุทธิ์ของใจที่เกิดจากการสั่งสมบุญ การฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง
เพราะในยามนั้น เมื่อเรานอนอยู่บนเตียงคนป่วย
ทรัพย์ก็ช่วยเราไม่ได้ ผู้ที่เป็นที่รักของเราก็ช่วยเราไม่ได้ คน สัตว์ สิ่งของ ทรัพย์สินเงินทอง
พวกพ้องบริวาร อำนาจวาสนา อะไรก็ช่วยไม่ได้เลย ในตอนนั้นเราต้องช่วยตัวเราเอง คนอื่นได้แต่เป็นกองเชียร์ แต่เราต้องช่วยตัวเอง เราต้องสามารถนึกถึงบุญได้
ต้องสามารถฝึกใจให้หยุดนิ่งได้ จนใจเป็นหนึ่ง มั่นคง ไม่หวาดหวั่นในมรณภัย หรือกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ
ตอนนั้นเราจะเป็นคนป่วยที่สง่างาม
อยู่กับบุญกุศลที่ปรากฏให้เราเห็นเป็นกรรมนิมิต ที่จะทำให้จิตเราผ่องใสเบิกบาน และคตินิมิตก็จะสว่าง
สว่างจนกระทั่งทำให้เราเดินทางไปสู่ปรโลกด้วยความสง่างาม ไปแบบผู้ที่มีชัยชนะ เหมือนพระราชาที่รบชนะศึก
ที่ออกจากแว่นแคว้นที่รบชนะแล้ว และเราก็ไม่รู้สึกกังวลเกี่ยวกับเรื่องความตาย หรือการพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก
ใจจะใสๆ สว่าง จะอยู่ตรงกลาง จะเห็นดวงธรรมชัด
ถ้าเราฝึกจนกระทั่งเข้าถึงพระธรรมกายภายในได้ชัด
ก็ถือว่าเราได้เตรียมตัวของเราอย่างดีที่สุดแล้ว พระธรรมกายท่านจะมาปรากฏชัดใสแจ่ม
ดับทุกขเวทนาที่บังเกิดขึ้นได้ และถึงตอนนั้นก็เป็นขั้นตอนของการเดินทางไปสู่ปรโลก
ที่จะประกอบไปด้วยภาพที่อลังการ สง่างาม สมเกียรติ สมศักดิ์ศรี ของการมาเกิดเพื่อสร้างบารมี
จะมีบริวาร มีเทวรถ หรือมีวิมานมาอย่างนั้น มากันเยอะแยะ แล้วก็กลับไปสู่ที่พักกลางทางดุสิตบุรี
วงบุญพิเศษ เขตบรมโพธิสัตว์
ลูกทุกคนเป็นผู้มีบุญ รู้ว่าเป้าหมายชีวิตเราจะไปที่สุดแห่งธรรม
ที่พักกลางทางอยู่ที่ดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ รู้ว่าเกิดมาสร้างบารมี เราก็ได้สั่งสมบุญบารมี
เราได้เปรียบคนอื่นเขา เป็นผู้มีบุญ มีโชค ที่ได้เรียนรู้ศึกษาในสิ่งเหล่านี้ และได้สั่งสมกุศลธรรม
ประกอบกุศลกรรมเอาไว้อย่างดี
กิจกรรมภาคบ่าย
ภาคบ่ายในช่วงนี้ เราก็มาตรึกระลึกนึกถึงบุญกุศลของเราให้ใจใสๆ
ก่อนที่เราจะได้มารับของขวัญ หรืออั่งเปาเพื่อเป็นสิริมงคลของชีวิต ในวันขึ้นปีใหม่
ตามธรรมเนียมจีน จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการสั่งสมบุญและสิ่งที่ดี มีพยานทางวัตถุ
คือ อั่งเปาที่มอบให้นี้ เป็นเครื่องระลึกนึกถึงบุญที่ผ่านมา ที่เราจะใช้ในปีต่อไป
และผู้ที่จะได้รับของขวัญจากการสั่งสมบุญเสาแก้ว หรือบุญต่างๆ ใจของเราก็จะได้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่
ว่าใจเราใสบริสุทธิ์ ที่เกิดจากการหยุดการนิ่ง
และเราจะได้อุทิศบุญกุศลไปยังบรรพบุรุษ
บุพการี ญาติสนิท มิตรสหาย สัมพันธชน ที่ละโลกไปแล้ว รวมทั้งคู่กรรมคู่เวรที่เราเคยไปพลาดพลั้งล่วงเกินเขา
ในยามที่อกุศลเข้าสิงจิต ให้กระทำความผิดด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ และติดมาเป็นวิบากกรรม
บุญนี้จะได้ไปตัดรอนวิบากกรรมเหล่านั้น
และเราจะได้นึกถึงบุญ อธิษฐานจิตเป็นผังสำเร็จ
ออกแบบชีวิตในอนาคตให้เหมาะสมต่อการสร้างบารมีของเรา เพราะเราได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่จำเป็นต่อการสร้างบารมี
ของเราในอนาคตนั้น อย่างน้อยมีรูปสมบัติ มีทรัพย์สมบัติ มีคุณสมบัติ มีพวกพ้องบริวาร
ที่เป็นบัณฑิตนักปราชญ์ หรือ ครอบครัวธรรมกาย หรือเกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกายที่จะต้องอธิษฐานล้อมกรอบเอาไว้
อย่างนี้ เป็นต้น เราจะได้ตั้งผังสำเร็จไปในช่วงภาคบ่ายของวันอาทิตย์นี้
แต่ในช่วงนี้ให้ลูกทุกคน หยุดใจนิ่งๆ
หยุดไปที่ศูนย์กลางกายอย่างสบายๆ วางใจของเราเบาๆ ให้ใจใสๆ โดยไม่กังวลหรือสนใจในสิ่งแวดล้อม
ให้ทำประหนึ่งว่า เรานั่งอยู่คนเดียวในโลก เราไม่เคยมีเครื่องกังวลมาก่อน แล้วก็เป็นศูนย์กลางของสรรพสัตว์
และก็สรรพสิ่งทั้งหลาย วางใจหยุดใจนิ่งกันอย่างเดียว ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565