สิ่งที่ต้องแสวงหา
วันอาทิตย์ที่
๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐(๐๙.๐๐ -
๑๑.๐๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย-ปรับใจ
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย
ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูกพอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ
อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตานะจ๊ะ
แล้วก็ทำใจของเรา ให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น
ให้สะอาด บริสุทธิ์ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ให้ปล่อย
ให้วาง ทำใจของเราว่างๆ
วางใจ
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมาสองเส้น นำมาขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายไปอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท
จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗เป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ
ที่ตื่น และเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพานของเรา ที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านเริ่มหยุดใจที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ตรงนี้ภายหลังจากที่ท่านเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ท่านก็คลายความผูกพันกับทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต
หรืออะไรก็ตาม แม้กระทั่งชีวิตของท่าน
ท่านปลด ท่านปล่อย ท่านวาง ไม่ผูกพันกับสิ่งใดทั้งสิ้น
แล้วก็รวมใจมาหยุดนิ่งๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ กลางท้อง เหนือสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ นอกจากทำใจให้หยุด
ให้นิ่งอย่างเดียว ไม่ได้คิดอะไร เพราะปล่อยชีวิตแล้ว
สภาวธรรมภายใน
ชีวิตเป็นที่สุดของทุกสิ่ง เมื่อปล่อยได้ ใจท่านก็ตกศูนย์ฯ
เข้าไปสู่ข้างใน แล้วก็เห็นดวงธรรมลอยขึ้นมาเป็นดวงใสๆ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว ใสบริสุทธิ์เหมือนเพชรที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิเลย กลมรอบตัว สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
แล้วท่านก็หยุดใจของท่านไปเรื่อยๆ เพราะปล่อยชีวิตแล้ว
ในที่สุด ท่านก็เข้าไปเห็นดวงธรรมในดวงธรรม
เห็นกายในกายภายใน
เห็นกายมนุษย์ละเอียด ซ้อนอยู่ในกลางกายมนุษย์หยาบ
เห็นกายทิพย์ ซ้อนอยู่ในกลางกายมนุษย์ละเอียด
เห็นกายรูปพรหม ซ้อนอยู่ในกลางกายทิพย์
เห็นกายอรูปพรหม ซ้อนอยู่ในกลางกายรูปพรหม
เห็นกายธรรมโคตรภู ซ้อนอยู่ในกลางกายอรูปพรหม
เห็นกายธรรมพระโสดาบัน ซ้อนอยู่กลางกายธรรมโคตรภู
เห็นกายธรรมพระสกิทาคามี ซ้อนอยู่ในกลางกายพระโสดาบัน
เห็นกายธรรมพระอนาคามี ซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมพระสกิทาคามี
แล้วก็เห็นกายธรรมอรหัต ซ้อนอยู่ในกลางกายพระอนาคามี
ซ้อนเป็นชั้นๆ กันเข้าไป กายที่ใหญ่กว่าจะซ้อนอยู่ในกลางกายที่เล็กกว่า
ที่ของใหญ่ซ้อนอยู่ในของเล็กได้
เพราะของใหญ่ละเอียดกว่าจึงซ้อนอยู่ในกลางกายที่เล็กได้
กายที่หยาบกว่า ก็จะมีกิเลสหุ้มเป็นชั้นๆ ไป
มีชื่อเรียกกันไปต่างๆ นานา โดยเริ่มต้นมีอวิชชาเป็นรากเหง้า แล้วก็ขยายเป็นโลภะ โทสะ
โมหะ ราคะ โทสะ โมหะ กามราคานุสัย อวิชชานุสัย ไล่เรื่อยไปเลย
กระทั่งสังโยชน์เบื้องต่ำ เบื้องสูง อย่างนี้เป็นต้น
กระทั่งถึงกายธรรมอรหัตผลจึงหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวง
แล้วก็มีอายตนนิพพานเป็นที่ไป ใจล่อนจากกิเลส
เหมือนเงาะที่เนื้อกับเปลือกไม่ติดกัน เหมือนมะขามอย่างนั้นแหละเนื้อกับเปลือกไม่ติดกัน ล่อนออกไปเลย หลุดพ้นไปเลย เหลือหยุดกับนิ่งอย่างเดียว
เพราะฉะนั้น หยุดนิ่ง จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หยุดใจได้ ก็จะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
ซึ่งมีอยู่ในตัวของเรา ไม่ได้อยู่ที่ไหน เพราะว่ามีอยู่ในตัวของทุกคนจึงไม่พ้นสมัยที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
ขึ้นอยู่กับการทำความเพียรสม่ำเสมอต่อเนื่องในทุกอิริยาบถ ทั้งหลับตาและลืมตา และต้องให้ถูกหลักวิชชาคือ
หยุดกับนิ่งอย่างเดียวก็จะเข้าถึงได้ทุกๆ คน
สิ่งที่ต้องแสวงหา
วันนี้เรามาทำกิจที่สำคัญ
คือการดำเนินรอยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่ท่านดับขันธปรินิพพานไปแล้ว
ทิ้งไว้แต่ความรู้และเรื่องราวของท่านให้เป็นต้นบุญต้นแบบที่ดีของเรา
เมื่อเรามาอยู่ในยุคนี้
มาอยู่ในร่มเงาของพระพุทธศาสนา ในบุญเขต ได้ทราบวัตถุประสงค์ของชีวิตแล้ว ก็ต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจ
ในการฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ซึ่งเป็นที่สุดแห่งการแสวงหา
สิ่งที่เราเคยแสวงหามาก่อนนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เราปรารถนาที่แท้จริง
แม้ได้มาก็ยังไม่ได้ชื่อว่าสมปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ
ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา อันใดก็ตาม ไม่ได้ให้ความพึงพออันใจสูงสุด จนกระทั่งไม่อยากได้อะไรอีกเลย
มีแต่ได้มาแล้วก็อยากได้เพิ่มขึ้น ได้มาหายเห่อ หาใหม่ ได้มาเสียไป ก็เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา
แต่สิ่งที่เราแสวงหาจริงๆ นั่นคือ
ความสุขที่แท้จริง ใจที่สะอาดบริสุทธิ์ หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ
บริกรรมนิมิต
เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้ดีแล้ว ต่อจากนี้ไปก็จะได้เริ่มต้นหยุดใจที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ โดยตรึกระลึกนึกถึงดวงใสๆ หรือเพชรสักเม็ดหนึ่งขนาดไหนก็ได้ แต่ว่ากลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว
อยู่ที่กลางท้องของเราในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
นึกอย่างสบายๆ คล้ายกับนึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย
ให้ต่อเนื่องกันไป อย่าให้เผลอ ให้มีสติ สบาย และความสม่ำเสมอ
อย่าให้ใจหลุดไปคิดเรื่องอื่น
บริกรรมภาวนา
ถ้าใจจะหลุดไปคิดเรื่องอื่น
เราก็ต้องดึงกลับมานึกถึงเพชรเม็ดนี้ ในกลางท้องใหม่ พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ สบายๆ
สม่ำเสมอ ว่า สัมมาอะระหังๆๆ ให้ดังออกมาจากในกลางท้องของเรา
ภาวนากี่ครั้งก็ได้ จนกว่าเราจะพึงพอใจ หรือจนกว่าใจไม่อยากจะภาวนาต่อไป
อยากหยุดใจนิ่งไว้ที่ศูนย์กลางกาย ที่เพชรเม็ดนั้นในกลางท้องของเรา ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้
เราก็ไม่ต้องภาวนา สัมมาอะระหัง ต่อไป แต่ว่าเมื่อใดใจฟุ้งไปคิดเรื่องอื่นจึงย้อนกลับมา
ภาวนา สัมมาอะระหังกันใหม่ ให้ประคองใจกันไปอย่างนี้นะจ๊ะ
เช้านี้อากาศกำลังสดชื่น
เหมาะสมที่ลูกผู้มีบุญทุกคน จะได้ทำความเพียร บำเพ็ญกรณียกิจ คืองานที่แท้จริงของการมาเกิดเป็นมนุษย์
ก็ให้ตั้งอก ตั้งใจทำความเพียรกันต่อไป ให้ลูกทุกคนสมหวังดั่งใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
ทุกๆ คน นะลูกนะ ต่างคน ต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565