มรรคผลนิพพานเป็นอกาลิโก
วันอาทิตย์ที่ ๒๓ กรกฎาคม
พ.ศ. ๒๕๔๙ (๐๙.๐๐ -
๑๑.๐๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไป ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ นะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขวาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก
พอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตานะจ๊ะ
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทำใจของเราให้ว่างๆ ให้คลายความผูกพันในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นคน
สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน บ้านช่อง เรื่องครอบครัวการศึกษาเล่าเรียน หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้นะจ๊ะ
แล้วก็มาสมมติว่า ภายในร่างกายของเรานั้น
ปราศจากอวัยวะ ไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น ให้เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง
เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ กลวงภายใน คล้ายลูกโป่ง หรือคล้ายเป็นท่อ ท่อแก้ว ท่อเพชรใสๆ
วางใจ
คราวนี้ เราก็รวมใจของเราให้กลับมาหยุดนิ่งๆ
อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา
๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายเส้นหนึ่ง
ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้แหละ
เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ฐานที่
๗ ต้นทางพระนิพพาน
ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เป็นที่เกิด ที่หลับ ที่ดับ ที่ตื่น และทางไปสู่อายตนิพพาน ที่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย
ท่านเริ่มต้นหยุดใจอยู่ที่ตรงนี้ กระทั่งถูกส่วน แล้วก็ตกศูนย์ลงไปภายใน เหมือนหล่นลงมาจากท้องฟ้าอย่างนั้น
หล่นลงไปแล้วก็มีดวงธรรมลอยขึ้นมา เป็นดวงใสๆ กลมรอบตัว เหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ที่เจียระไนแล้ว
กลมรอบตัว ใสเกินใส เกินกว่าความใสใดๆ ในโลก
แล้วก็สว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แต่ว่าเป็นความสว่างที่ ใส เย็น เหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
ปรากฏเกิดขึ้นมาในกลางกาย
ธรรมดวงแรกนี้ พระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรา
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายท่านเรียกว่า ดวงธัมมานุปัสนาสติปัฏฐาน หรือ ดวงปฐมมรรค แปลว่าจุดเริ่มต้นที่จะไปสู่อายตนิพพาน
เป็นทางหลุดทางพ้นจากกิเลสอาสวะ แล้วก็เป็นทางบรรลุมรรคผลนิพพาน
แล้วท่านก็จะหยุดใจเรื่อยไปเลย
ในกลางดวงธัมมานุปัสนาสติปัฏฐานนี้ หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ปฐมมรรค แล้วก็เห็นไปตามลำดับ
ในสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัว ตั้งแต่ ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
ซ้อนๆ กันอยู่ และก็เห็นกายในกาย กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม
กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี แล้วก็กายธรรมพระอรหัต
ทั้งหยาบละเอียดซ้อนๆ กันอยู่ รวมทั้งกายหยาบด้วย นับได้ ๑๘ กาย จะซ้อนกันอยู่ภายในเป็นชั้นๆ
เข้าไป
กายที่สำคัญก็ตั้งแต่กายธรรมโคตรภูขึ้นไป
เกตุดอกบัวตูม ตั้งอยู่บนจอมกระหม่อมซึ่งเป็นลักษณะพิเศษ อยู่บนพระเศียร ซึ่งมีเส้นพระศกขดเรียงเป็นทักษิณาวัตร
หมุนขวาตามเข็มนาฬิกา เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ อยู่บนพระวรกายที่ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ
นั่งขัดสมาธิเจริญสมาธิภานา หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา
ที่สำคัญคือ เป็นตัวพุทธรัตนะ
เป็นกายผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว ที่รู้เพราะมี ธรรมจักษุทำให้เห็นแจ้ง
มี ญาณทัสสนะ ทำให้รู้แจ้ง บังเกิดขึ้นแล้วก็พ้นจากความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ แล้วก็ความไม่ใช่ตัวตน เป็นผู้พ้นแล้วในระดับหนึ่ง
กายธรรมโคตรภู หน้าตักหย่อนกว่า
๕ วานิดหน่อย
กายธรรมพระโสดาบัน ที่ซ้อนอยู่
หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา
กายธรรมพระสกิทาคามี
หรือซ้อนอยู่ ในกายธรรมพระโสดาบัน หน้าตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา
กายธรรมพระอนาคามีที่ซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมพระสกิทาคามี
หน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา
กายธรรมอรหัต
หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา ซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมพระอนาคามี
กายธรรมอรหัตผล
คือเป้าหมายที่เราจะต้องไปให้ถึง เพราะเป็นกายที่พ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย
มรรคผลนิพพานเป็นอกาลิโก
มรรคผลนิพพานมีอยู่ในตัวของเรานี่แหละ
เพราะฉะนั้นจึงไม่พ้นสมัยในการที่จะบรรลุ มรรคผลนิพพาน
เป็นอกาลิโก ไม่จำกัดกาลเวลา ไม่เกี่ยวข้องเรื่องกาลเวลา ใจหยุดนิ่งถูกส่วนเมื่อไร
ก็เข้าถึงเมื่อนั้น
วันนี้ เรากำลังจะมาเรียนรู้เรื่องสำคัญสำหรับชีวิตของเรา
ที่เกิดมาในแต่ละชาติ มาเป็นมนุษย์ มาเพื่อที่จะแสวงหาความรู้ เพราะชีวิตที่ผ่านมามันไม่รู้
ความรู้แจ้งนี้จะเกิดขึ้นจากการเห็นแจ้ง และก็จะได้หลุดพ้นจากสิ่งที่ไม่เป็นสาระแก่นสาร
ไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสิ่งที่เป็นสาระแก่นสาร คือ กายธรรมอรหัตผลหน้าตัก ๒๐ วา
สูง ๒๐ วา
เพราะฉะนั้น จุดเบื้องต้นที่สำคัญคือ
ต้องฝึกใจให้หยุด ให้นิ่ง หยุดเป็นตัวสำเร็จ
ที่จะทำให้เราเข้าถึงกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมดังกล่าว หรือให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
ใจหยุดจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่จะเข้าสู่เส้นทางมรรคผลนิพพาน
ซึ่งถูกวัตถุประสงค์การมาเกิดเป็นมนุษย์ในแต่ละภพชาติ โดยเฉพาะชาตินี้
บริกรรมนิมิต
เราก็จะต้องมาเริ่มหยุดใจของเราตรงนี้ให้ได้
ใจที่ซัดส่ายคิดไปในเรื่องราวต่างๆ จะต้องดึงกลับมาสู่ที่ตั้งดั้งเดิม คือที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ด้วยการกำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ เป็นดวงใสๆ เป็นดวงแก้วใสๆ ใสเหมือนกับเพชร เหมือนกระจกน้ำแข็ง
เหมือนน้ำใสๆ อย่างนั้นแหละ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว ใสเหมือนกับเพชร สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
กำหนดขึ้นมา คือสมมติมันขึ้นมา หรือสร้างมโนภาพขึ้นมา เพื่อให้เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา
ไม่ชัดไม่เป็นไร แต่ต้องนึกอย่างสบายๆ
ธรรมดาๆ สบายๆ คล้ายกับเรานึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย เพราะวัตถุประสงค์ต้องการให้ใจมาอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ จึงต้องสมมติกำหนดบริกรรมนิมิตนี้ขึ้นมา
ส่วนขนาดจะใหญ่จะเล็กก็แล้วแต่ใจของเราชอบ
นึกขึ้นมาอย่างธรรมดา ถ้าเราสามารถวางใจหยุดนิ่งๆ หรือทำความรู้สึกว่า ใจอยู่ในกลางท้องของเราในระดับที่เหนือจากสะดือ
๒ นิ้วมือ ถ้านึกได้ เราก็ทำความรู้สึกอย่างนี้นะจ๊ะ จะนึกเป็นภาพก็ได้
หรือจะหยุดในนิ่งเฉยๆ ส่วนภาพจะเป็นดวงใสๆ คือองค์พระแก้วใสๆ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
บริกรรมภาวนา
พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่ง
ด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ ประคองใจให้หยุดนิ่งๆ ภาวนาในใจเบาๆ ว่า สัมมาอะระหังๆๆ จะภาวนากี่ครั้งก็ได้
จนกว่าจะเกิดความรู้สึกว่าเราไม่อยากจะภาวนาต่อไป อยากหยุดใจนิ่งเฉยๆ อยู่ที่บริเวณกลางท้อง
ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือตรงนี้ เมื่อใดเกิดความรู้สึกอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องภาวนาต่อไป
แต่ว่าเมื่อใดใจฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น
เราจึงจะต้องย้อนกลับมาภาวนา สัมมาอะระหัง ต่อไป ภาวนาเบาๆ สบายๆ คล้ายกับบทสวดมนต์ที่เราคุ้นเคย
สัมมาอะระหังๆๆ ให้ดังออกมาจากในกลางท้องของเรา เหมือนเป็นเสียงแห่งความบริสุทธิ์ ที่มาจากแหล่งแห่งความบริสุทธิ์ภายใน
ที่มีอานุภาพไม่มีประมาณ ในอายตนิพพานไหลผ่านมากลางกายของเรา กลั่นกาย วาจา ใจ ของเราให้สะอาด
บริสุทธิ์ จนใจหยุดนิ่งตกศูนย์เข้าไปสู่ภายใน และเห็นดวงธรรมดังกล่าว
เราก็ภาวนาไปเรื่อยๆ
อย่างเบาๆ สบายๆ ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ ประคองใจกันไปอย่างนี้
เช้านี้อากาศกำลังสดชื่น
เหมาะสมที่ลูกผู้มีบุญทุกคนจะได้ทำความเพียร จะได้ปฏิบัติธรรม ภิกษุสามเณรก็จะได้บำเพ็ญสมณธรรม
ในพรรษาแห่งการบรรลุธรรม เพราะฉะนั้นประคองใจกันไปเรื่อยๆ อย่าให้ใจไปคิดเรื่องอื่น
คิดเรื่องอื่นไม่มีประโยชน์อันใด ถ้าคิดเรื่องบริกรรมนิมิตภายใน ใจจะใสสะอาดบริสุทธิ์
เราจะพบกับความสุขที่แท้จริง แล้วก็พบหนทางที่จะไปสู่อายตนิพพาน ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจ
ในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565