มรรคผลนิพพานอยู่ในตัวเรา
วันอาทิตย์ที่ ๙ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ (๐๙.๐๐ -
๑๑.๐๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ลูกทุกคนตั้งใจให้แน่แน่วมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย
ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายวางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ
อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา ผ่อนคลายสบายๆ
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น
ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด
ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันในคน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงานบ้านช่อง
การศึกษาเล่าเรียน หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้นะจ๊ะ ให้คลายความผูกพันทั้งหมด
ทำประหนึ่งว่า เราอยู่คนเดียวในโลก ไม่เคยมีพันธนาการของชีวิตมาก่อนเลย
ให้คลายความผูกพัน ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย เพราะว่าสิ่งเหล่านั้น
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ต้องเสื่อมสลายไปในที่สุด ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ เมื่อเกิดขึ้นตั้งอยู่ล้วนไปสู่จุดสลายทั้งสิ้น
แม้แต่ตัวของเราเอง สักวันหนึ่งเราก็ต้องจากโลกนี้ไป
มรรคผลนิพพานอยู่ในตัวเรา
เรามาเกิดในโลกนี้ ก็เพื่อมาสร้างบารมี
เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงหามรรคผลนิพพานซึ่งมีอยู่ในตัวของเรานี่แหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหน
เพราะฉะนั้นการบรรลุมรรคผลนิพพานนั้นไม่พ้นสมัย ยังใหม่เสมอ เพราะมรรคผลนิพพานนั้น
มีอยู่แล้วในตัวของเรา
มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ หมายถึง
โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล
สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล
พระอนาคามิมรรค พระอนาคามิผล
พระอรหัตมรรค อรหัตผล
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นกายองค์พระหรือพระธรรมกายที่อยู่ภายในตัวของเรานั่นแหละ
ที่หน้าตาสวยงาม เกตุดอกบัวตูม ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการเลย นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในนั่นแหละ
ต่างแต่ขนาด และความบริสุทธิ์
ถ้าโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล หน้าตัก ๕ วา สูง
๕ วา
สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล หน้าตัก ๑๐ วา สูง
๑๐ วา
พระอนาคามิมรรค พระอนาคามิผล หน้าตัก ๑๕ วา
สูง ๑๕ วา
พระอรหัตมรรค อรหัตผล หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา
มรรคผลนิพพานอยู่ในตัว นิพพานมีทุกๆ
กายเลย นิพพานของกายธรรมพระโสดา พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหัต
มีนิพพานของตนทั้งนั้นของท่าน ที่เขาเรียกว่านิพพานเป็น คือ นิพพานของกายธรรมต่างๆ
เหล่านั้น ภาษาบาลีเขาเรียก สอุปาทิเสสนิพพาน ถ้าดับขันธ์ปรินิพพานนั้นเป็น อนุปาทิเสสนิพพาน
ไม่กลับมาเกิด
แต่นิพพานมีอยู่ในตัว เป็นแหล่งแห่งบรมสุข เอกันตบรมสุข
สุขล้วนๆ เลย จะเกิดจากความบริสุทธิ์ของกาย วาจา ใจ ธาตุ ธรรม เห็น จำ คิด รู้ อะไรต่างๆ
ทั้งหมด บริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งบริสุทธิ์ก็ยิ่งมีความสุขมาก สุขอย่างไม่มีประมาณเลย
มรรคผลนิพพานนี่แหละ เป็นเป้าหมายของชีวิตที่เกิดมาเป็นมนุษย์
มีอยู่ในตัวของเรา เพราะฉะนั้น ความบริสุทธิ์จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่จะบริสุทธิ์ได้
ใจต้องหยุดต้องนิ่ง
คือ ใจพอคลายความผูกพันจากสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์
ไม่เป็นสาระแก่นสารของชีวิตแล้ว มันก็จะมาหยุดนิ่งอยู่ภายใน แต่ถ้าหากยังมีกิเลสอาสวะเจือปนอยู่
มันก็จะถูกดึงออกจากภายในไปสู่ภายนอก ไปติดในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ สิ่งที่เราได้เห็น
ได้ยิน ได้ดม ได้ลิ้มรส ได้ถูกต้องสัมผัส และนึกคิดทางใจก็จะถูกดึงออกไป ตรึงไปติดกับสิ่งเหล่านั้น
เมื่อเราจะแสวงหาหนทางมรรคผลนิพพาน ก็จะต้องทำความเข้าใจว่า
สิ่งเหล่านั้น มันไม่เป็นสาระแก่นสาร ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มันไปสู่จุดสลาย
แล้วก็เป็นแหล่งกำเนิดแห่งความทุกข์ ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ โศกเศร้าเสียใจ คับแค้นใจ
ร่ำพิไรรำพัน อาลัย อาวรณ์ และก็ไม่ได้เป็นตัวเป็นตนที่แท้จริง เพราะว่ายังตกอยู่ในอำนาจของมาร
๕ ฝูง ตั้งแต่กิเลสมาร ขันธมาร เทวบุตรมาร อภิสังขารมาร และก็มัจจุมาร
เพราะฉะนั้น ใจต้องกลับมาหยุดนิ่งๆ
อยู่ภายในตัว ทำอย่างนี้อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านผ่านชีวิตทางโลกของการครองเรือนมาแล้ว ผ่านชีวิตทั้งระดับล่าง
ระดับกลาง ระดับสูง เป็นมาหมดในทุกสิ่ง และเห็นว่าสิ่งเหล่านั้น
ไม่ได้เป็นสิ่งที่ควรจะแสวงหาหรือยึดมั่นถือมั่นเลย เพราะตกอยู่ในสภาพ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้น ท่านก็ปลด ปล่อย วาง แล้วก็ออกบวชเป็นบรรพชิตเพื่อจะได้มีโอกาสว่าง
ไม่มีเครื่องพันธนาการของชีวิต แสวงหาทางหลุด ทางพ้นจากความทุกข์ของชีวิต ที่มีกิเลสอาสวะเป็นสาเหตุ
ปรุงให้เกิดความทะยานอยาก อยากได้ อยากมี อยากเป็น เป็นต้น
แล้วก็เอาโอกาสที่ปลอดกังวลจากเครื่องพันธนาการของชีวิตดังกล่าว
มาหลับตาเจริญสมาธิภาวนาอย่างที่พวกเรากำลังทำอยู่นี่แหละ ท่านก็หลับตาเบาๆ ผ่อนคลายสบาย
แล้วก็เอาใจมาหยุดนิ่งอยู่ภายใน
คือ โดยธรรมชาติของใจ เมื่อมันไม่ติดสิ่งภายนอก
มันจะกลับมาสู่ที่ตั้งดั้งเดิมภายในที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้เอง เป็นอัตโนมัติ
เมื่อท่านคลายความผูกพัน ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านั้น
เพราะเห็นว่าไม่เป็นสาระแก่นสารแล้ว พอเบื่อหน่ายก็คลาย คลายก็หลุดจากสิ่งเหล่านั้น
ใจก็หยุดนิ่งๆ สงบ บริสุทธิ์ พอถูกส่วนก็เข้าถึงสิ่งที่มีอยู่แล้วในตนนั่นแหละ
ตั้งแต่กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม
เบื้องต้นก็เห็นดวงธรรมผุดเกิดขึ้นมาก่อน เป็นดวงใสๆ ที่ใสเหมือนน้ำบ้าง เหมือนกระจกใสๆ
บ้าง เหมือนเพชรใสๆ ที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย หรือใสเกินใส ขนาดตั้งแต่ เล็กเท่ากับดวงดาวในอากาศ
เท่ากับพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญบ้าง เท่ากับพระอาทิตย์ยามเที่ยงวันบ้าง เท่าฟองไข่แดงของไก่บ้าง
หรือโตยิ่งกว่านี้ แล้วแต่กำลังบารมีของแต่ละท่านที่สั่งสมมาไม่เท่ากัน แต่จะเห็นเป็นดวงใสๆ
เหมือนกัน ชัดเจน แจ่มใส ยิ่งกว่าลืมตาเห็น คือตาเห็นวัตถุภายนอกนี่ มันก็ชัดเจนระดับหนึ่ง
ยังเก็บรายละเอียดไม่ได้ แต่ถ้าชัดยิ่งกว่าลืมตาเห็นก็แปลว่า มันเก็บรายละเอียดได้
เหมือนมองผ่านกล้องเลนส์ที่ขยายวัตถุเหล่านั้น
จะเห็นชัดใสแจ่มกระจ่างอยู่กลางกาย เป็นดวงใสๆ
ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรา พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร ท่านเรียกว่า
ดวงธัมมานุปัสนาสติปัฏฐาน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
ดวงปฐมมรรค แปลว่า จุดเริ่มต้นหรือต้นทางที่จะไปสู่อายตนิพพาน
เป็นจุดเริ่มต้นที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
และต่อจากนั้น ท่านก็หยุดใจนิ่งอย่างเดียวไปเรื่อยๆ
เพราะหยุดเป็นตัวสำเร็จที่จะทำให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว มรรคผลนิพพานดังกล่าว
วันนี้ เราก็จะมาฝึกใจของเราให้หยุดนิ่ง เราจะได้พบของจริง
สัจธรรมของชีวิต แล้วก็พบความจริงที่พระอริยเจ้าท่านได้บรรลุ
เราก็มารวมใจของเรามาหยุดนิ่งๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกาย
ฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายมา ๒ เส้น มาขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม
สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือตรงนี้แหละ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ซึ่งเป็นที่เกิด ที่หลับ ที่ดับ ที่ตื่น เป็นที่ตั้งดั้งเดิมของใจเรา
แล้วก็เป็นทางไปสู่อายตนนิพพาน
บริกรรมนิมิต บริกรรมภาวนา
แล้วจะต้องนำใจมาหยุดตรงนี้ ทำความรู้สึกว่า
ใจอยู่ในกลางท้อง ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หยุดใจนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ
สบายๆ
กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ เพื่อสร้างมโนภาพว่า
ในกลางกายของเรา มีเพชรสักเม็ดหนึ่งกลมรอบตัว ขนาดไหนก็ได้ อยู่ในกลางกาย เอาขนาดที่เราพึงพอใจ
กำหนด คือ นึกสมมติว่า มีสิ่งนี้อยู่
ทำความรู้สึกอย่างเบาๆ สบายๆ คล้ายๆ กับเรานึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย
อย่าตั้งใจมากเกินไป อย่าไปบีบไปเค้นให้เห็นภาพ อย่ากดลูกนัยน์ตา นึกธรรมดาๆ อย่างที่เรานึกถึงคน
สัตว์ สิ่งของ สิ่งที่เราคุ้นเคย สิ่งที่เรารักนั่นแหละ
ให้นึกนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
ให้ต่อเนื่องกันไป มีสติคู่กับความสบาย สติ คือ ความรู้สึกอยู่ที่ตรงนั้น แล้วก็ให้สม่ำเสมอต่อเนื่อง
อย่าให้เผลอไปคิดเรื่องอื่น ถ้าเผลอไปคิดเรื่องอื่น เราก็ต้องดึงกลับมาใหม่
และก็ประคองใจด้วยบริกรรมภาวนาว่า สัมมาอะระหังๆๆ
อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะภาวนากี่ครั้งก็ได้ ๑๐ ครั้ง ๑๐๐ ครั้ง พันครั้ง หมื่นครั้ง แสนครั้งก็ได้
จนกว่าเราจะพึงพอใจ หรือหมดความจำเป็นที่จะภาวนา เราอยากจะหยุดใจนิ่งเฉยๆ อย่างเดียว
โดยไม่ต้องคิดเรื่องอื่น อยากจะหยุดนิ่งอย่างนี้ ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องภาวนา
สัมมาอะระหัง อีกต่อไป แต่เราจะนำกลับมาใหม่ เมื่อใจฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น ประคับประคองกันไปอย่างนี้นะ
ดวงใสๆ หรือจะนึกถึงพระแก้วใสๆ ก็ได้ จะเป็นพระเดชพระคุณหลวงปู่ของเราก็ได้
อย่างใดอย่างหนึ่งนะจ๊ะ เอาอย่างเดียว แต่นึกอย่างหนึ่งไปเห็นอีกอย่างหนึ่งก็ไม่เป็นไร
เช่น นึกถึงดวงใส กลับไปเห็นองค์พระ หรือพระเดชพระคุณหลวงปู่ เราก็ดูเรื่อยไป ดูไปอย่างสบายๆ
คล้ายกับเราดูทิวทัศน์ โดยไม่ต้องคิดอะไรเลย ให้ทำอย่างนี้แค่นี้เท่านั้น ต้องผ่อนคลาย
สบาย จึงจะถูกหลักวิชชา
ถ้าลูกทุกคนทำอย่างนี้ได้ เช้านี้ ก็จะเป็นเช้าแห่งความสมปรารถนา
ในชีวิตของลูกทุกคน สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้บรรลุกรณียกิจ กิจที่ต้องทำ
ซึ่งเป็นงานที่แท้จริงของชีวิต ในการมาเกิดแต่ละครั้ง ของทุกภพทุกชาติ ที่ผ่านมาก็ดี
ในปัจจุบันก็ดี แล้วที่จะมีต่อไปในอนาคตก็ดี
เพราะฉะนั้น ให้ลูกทุกคนประคองใจ ภาวนาสัมมาอะระหัง
เรื่อยไป ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ที่กลางดวงใส เท่าที่เราจะนึกถึงภาพนี้ได้อย่างสบายๆ
ถ้านึกแล้วมันไม่สบาย ต้องผ่อนคลายด้วยการเผยอเปลือกตาขึ้นมานิดหนึ่ง
แล้วพอรู้สึกสบาย ก็รักษาจังหวะแห่งความสบายของร่างกายและจิตใจ ให้มีสติสบายอย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย คือ ใจหยุดใจนิ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเอง แล้วภายหลังจากนั้นก็จะเข้าถึงเอง
เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ
เพราะฉะนั้น ก็ขอให้ลูกทุกคนได้ตั้งใจอย่างนี้นะ
เช้านี้เป็นเช้าแห่งความสว่างไสวให้ลูกทุกคนได้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวอย่างสบายๆ อย่างง่ายดาย
อย่างถูกต้องร่องรอยตรงไปตามความเป็นจริงกันนะจ๊ะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565