บ่วงแห่งมาร
วันอาทิตย์ที่ ๒๗ สิงหาคม
พ.ศ. ๒๕๔๙ (๑๓.๓๐ -
๑๕.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย - ปรับใจ
เมื่อเราได้จุดเทียนใจไฟนิรันดร์อนันต์ชัย
บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไป ให้ลูกทุกคนตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ
หลับตาเบาๆ
พอสบายๆ หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายของเรา ทำใจให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทำใจให้ว่างๆ คลายความผูกพันในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์
สิ่งของ หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ทำให้ติดเป็นนิสัยเลย
วางใจ
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒
นิ้วมือ รวมใจของเราไปหยุดไปนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
บริกรรมนิมิต
ให้ตรึกนึกถึงดวงใส
หยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ หรือตรึกนึกถึงพระแก้วใสๆ หยุดอยู่ในกลางองค์พระแก้วใสๆ หรือจะตรึกนึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่ของเราไว้ที่กลางกาย
อย่างเบาๆ สบายๆ ใจเย็นๆ ให้ใจหยุด ใจนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบาย
เอาอย่างเดียวนะ
จะเป็นองค์พระ เป็นดวงใส เป็นพระเดชพระคุณหลวงปู่ก็อย่างเดียว โดยมีวัตถุประสงค์ต้องการที่จะดึงใจให้หลุดพ้นจากความสับสนวุ่นวาย
มาหยุดนิ่งๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี่คือวัตถุประสงค์ โดยมีบริกรรมนิมิตดังกล่าว
นึกน้อมเทียนใจถวายเป็นพุทธบูชา
แล้วเราก็นึกน้อมเทียนใจไฟนิรันดรอนันตชัย
เอาไว้ในกลางกายของเรา ใครที่เข้าถึงดวงธรรมก็เอาไว้ในกลางดวงธรรมใสๆ ใครเข้าถึงกายภายในเช่นกายมนุษย์ละเอียดที่หน้าตาเหมือนกับตัวเรา
ก็ไว้ในกลางกายนั้น ศูนย์กลางกายทุกกายอยู่ที่เดียวกับกายหยาบ ต่างแต่ขนาดที่โตใหญ่ขยายไปเรื่อยๆ
แต่ศูนย์กลางกายก็อยู่ที่เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายอรูปพรหม
กายรูปพรหม กายธรรมโคตรภู โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหัต ที่โตใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ
แต่ศูนย์กลางกายมาอยู่ที่เดียวกันตรงฐานที่ ๗
ถ้าเราหยุดได้สนิท
เราก็จะเห็นกายเหล่านั้นชัด ใส แจ่ม น้อยกว่าลืมตาเห็นก็มี เท่ากับลืมตาเห็นก็มี หรือยิ่งกว่าลืมตาเห็นวัตถุภายนอกก็มี
เห็นรายละเอียดได้ชัดคมทีเดียว เทียนใจไฟนิรันดร์อนันตชัยก็จะอยู่ตรงนี้ ตรงศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ต่างแต่ว่าจะใสเป็นแก้ว เป็นเพชร เปลวประทีปก็จะนิ่งๆ ใสๆ สว่างอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ของเรา ถ้าเข้าถึงดวงธรรมก็อยู่ในศูนย์กลางของดวงธรรม ถ้าเข้าถึงกายภายในดังกล่าวทุกๆ
กาย ก็จะไปอยู่ในศูนย์กลางกายภายในที่เราเข้าถึง จะใส บริสุทธิ์ สว่าง
แล้วเราก็กราบอาราธนามหาปูชนียาจารย์ของเราทุกท่าน
มีพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร มีคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาทองสุก
สำแดงปั้น เป็นต้น และทีมงานพระเดชพระคุณหลวงปู่ ที่ล้วนมีธรรมกายที่ใสสะอาดบริสุทธิ์อยู่ในกลางกายท่าน
อาราธนาให้ท่านคุมเรา แล้วก็น้อมถวายเทียนใจไฟนิรันดรอนันต์ชัย ไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า
พระอรหันตทั้งหลายที่ดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ถอดขันธ์ทั้ง ๕ ทุกๆ ขันธ์ออก เหลือแต่กายธรรมอรหัตผล
หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วาขึ้นไป เป็นต้น ใส บริสุทธิ์ สว่าง ในอายตนิพพาน อาราธนาให้ท่านคุมไปเลยควบไปเลย
ให้น้อมไปถวายเป็นพุทธบูชา
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ผู้พ้นจากบ่วงแห่งมาร
เราก็ทำใจหยุดนิ่งๆ
แล้วก็นึกถึงพระธรรมกายพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย นึกนิดเดียว การทำอย่างนี้เรียกว่า
ทำจิตให้เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระอรหันต์ ในพระรัตนตรัย คือใจของเราจะไปจรดที่ท่าน
ยกย่องเทิดทูนท่าน ให้ทำความเลื่อมใส มีสัทธาปสาทะในท่านเหล่านั้น เพราะท่านเป็นผู้พ้นแล้วจากกิเลสอาสวะทั้งปวง
ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครๆ ในวัฏสงสาร ในภพทั้ง ๓ นี้พ้นได้ยาก เพราะพญามารเอามาร ๕
ฝูงมาบังคับเอาไว้ มีกิเลสมาร ขันธมาร เทวบุตรมาร มัจจุมาร แล้วก็อภิสังขารมาร เอาหลักวิชชาของเขามาบังคับ
ธาตุธรรมของเขามาบังคับ แต่ท่านเหล่านี้พ้นได้
เขาบังคับให้ติดอยู่ในภพทั้ง
๓ ในกามภพบ้าง รูปภพบ้าง อรูปภพบ้าง ทำให้เราไม่รู้เรื่องราว
แล้วก็มีธาตุธรรมชนิดหนึ่ง ธาตุส่วนหนึ่ง ธรรมส่วนหนึ่ง บังคับเอาไว้
ที่เราเรียกว่า อวิชชา แปลว่า ทำให้เราไม่รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตว่า
ความเป็นมาของเราเป็นอย่างไร วัตถุประสงค์ของการมาเกิดเพื่ออะไร ทำให้เราไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้
หรือจะพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร ก็ไม่รู้วิธีการ ไม่เข้าใจ
อีกทั้งตรึงให้เราไปติดกับเรื่องการทำมาหากิน
การครองเรือนบ้าง ติดในอบายมุขบ้าง บังคับให้เราสร้างกรรม ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
แล้วก็เซ็ตโปรแกรมให้มีวิบากไว้ สร้างภพภูมิต่างๆ ความไม่รู้ทำให้เราไม่เข้าใจเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
ทำให้ดำเนินชีวิตไม่ถูกต้อง ไม่รู้จะทำอย่างไร
อีกทั้งทำให้สื่อสารกันไม่ได้
ให้มีความแตกต่างทั้งเชื้อชาติ ศาสนา และเผ่าพันธุ์ ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี
ภาษาต่างๆ ให้สื่อสารกันไม่ได้ คุยกันไม่รู้เรื่อง แม้ชาติเดียวกัน ภาษาเดียวกันก็คุยกันไม่รู้เรื่อง
ให้มีความเห็นความเชื่อที่หลากหลายแตกต่างกันออกไป แล้วก็ตรึงให้ติดกับความเชื่อเหล่านั้น
ทำให้ขัดแย้งกัน มีการผูกเวรกัน ขัดเคืองกัน ผูกพยาบาทจองเวร ก็หมุนกันไปวนกันไปอยู่อย่างนี้
ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นได้
อีกทั้ง
ทำให้สังขารมันเสื่อมลงไป แม้มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นกายเดียวที่สร้างบารมีได้ แต่ก็ทำให้เสื่อมคุณภาพลงไป
ตั้งแต่เป็นรังแห่งโรค มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ความไม่สมหวัง ไปเจอในสิ่งที่เราไม่อยากเจออะไรประเภทอย่างนั้น
เป็นต้น มีโศกเศร้า เสียใจ คับแค้นใจ ร่ำพิไรรำพัน บังคับไว้หนาแน่นไว้หมดเลย ในกายของมนุษย์ทุกๆ
คน
เพราะฉะนั้น
การที่มีผู้พ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้ ถือว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดา ที่ท่านสั่งสมบุญบารมี
อดทน อดกลั้น ในการที่จะทำสิ่งไม่ดี และเพียรพยายามทำสิ่งดี ทำใจให้บริสุทธิ์ สั่งสมบุญบารมี
๓๐ ทัศ จนเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ กาย วาจา ใจ สะอาดบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกรอบอวิชชา ผังที่เขาบังคับ
ที่ตรึงให้ติดอยู่ในวัฏฏะ หลุดเลย
หลุดออกไป เหมือนปลาหลุดจากข้อง นกหลุดจากรัง
สัตว์ที่ติดกับหลุดไปแล้วอย่างนั้น หลุดจากบ่วง หลุดออกไปเลยด้วยธรรมกาย กายธรรมอรหัตผลอย่างนั้น
แล้วก็รู้เรื่องราวเพราะหลุดพ้นไปแล้ว วิชชาก็เกิด วิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖
ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ วิโมกข์ ๘ จรณะ ๑๕ คือ วิชชาที่ยิ่งกว่าวิชาที่สอนกันอยู่ในโลก ที่ทำให้ข้องหรือติดอยู่ในภพ
วิชชาเหล่านั้นเกิดขึ้นเมื่อหมดกิเลส เราจะได้ยินบ่อยๆ ว่า
เมื่อหมดกิเลสแล้วก็ทรงอภิญญา ๖ ได้ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ บ้าง บางท่านได้วิชชา ๓
ได้ตอนหมดกิเลสแล้ว
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านได้ไปตามลำดับ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้ จุตูปปาตญาณ รู้การเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลาย
แล้วก็ขจัดกิเลสอาสวะหมดสิ้นไปได้ด้วยกำลังบารมีของท่าน
เพราะฉะนั้น
หลุดไปแล้วก็เป็นกายธรรมอรหัตผล กายธรรมพระปัจเจกพุทธเจ้า กายธรรมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่โตใหญ่หนักยิ่งขึ้น
ใสสะอาด บริสุทธิ์ สว่างด้วยธรรมรังสี แห่งความบริสุทธิ์ ที่เป็นวิราคธาตุ วิราคธรรม
บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสปรุงแต่ง กายธรรมเกตุดอกบัวตูม มีลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ
นั่งสงบนิ่งอยู่บนแผ่นโลกุตรฌาณสมาบัติ เข้านิโรธสงบนิ่งในอายตนิพพานที่ไม่มีอะไรกำบัง
บุญถวายเทียนใจเป็นพุทธบูชาแบบเข้าถึง
เราก็น้อมเทียนชัยไฟนิรันดร์อนันตชัยไปถวายเป็นพุทธบูชา
เหมือนเราจุดเทียนบูชาขอถึงพระพุทธเจ้า โดยมีพระพุทธรูปหรือพุทธปฏิมากรเป็นตัวแทน
นั่นขอถึง ก็ได้อานิสงส์ระดับหนึ่ง แต่นี่เราเข้าถึง มหาปูชนียาจารย์ทุกท่านน้อมไปถวายทุกพระองค์เลย
สว่างไสวไปหมด สว่าง
บุญก็เกิดขึ้นที่กลางกายของเราเป็นอัตโนมัติ
เพราะจิตเป็นกุศล ถวายแบบเข้าถึง ถูกตัวจริงของความเป็นพระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า
และพระอรหันต์สัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า กระแสธารแห่งบุญ บุญญาภิสันธาน ท่อธารแห่งบุญมาจรดกลางกาย
มารวมบุญธาตุเป็นดวงบุญใสๆ สว่างไสว อยู่ที่กลางกายเรา
เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิตทุกระดับ และมโนปณิธาน อธิษฐานบารมีที่เราตั้งเป้าหมายเอาไว้
ก็สมปรารถนาแล้วจากบุญที่เกิดขึ้น
เราบูชาท่านด้วยความสว่าง
เราก็จะได้ความสว่างที่ผิวกาย ที่ดวงปัญญา ที่ดวงตา ทางตาเนื้อ ตากายมนุษย์ละเอียด
ทิพย์ พรหม อรูปพรหม จนกระทั่งธรรมจักษุ มีมังสะจักษุ ตาเนื้อที่ดีสวยงาม ทิพยจักษุ
ตาทิพย์ สมันตจักษุ ตารอบทิศเลย ปัญญาจักษุ ที่รู้รอบ เกิดขึ้น ธรรมจักขุ ไม่มีอะไรกำบังเลย
ดวงตาที่เกิดขึ้นจากความบริสุทธิ์ล้วนๆ
พญามารเอาความตระหนี่บังคับ
ตอนนี้เราก็ตรึกระลึกนึกถึงบุญของเราเอาไว้ให้ดีนะจ๊ะ
ที่กลางกาย ทำใจให้ใสๆ บุญนี้ส่วนหนึ่งก็นำมาใช้แก้ไขข้อผิดพลาดในการดำเนินชีวิตของเราทั้งในอดีตถึงปัจจุบัน
บุญธาตุนี่ถ้าเราใช้อย่างเดียวเพื่อให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เราก็จะไปนิพพานได้เร็ว
แต่ว่ามันหมดเปลืองไปกับการเอาไปใช้ตัดรอนกับวิบากกรรมวิบากมาร เพราะฉะนั้นที่เหลือมันก็มีปริมาณที่ลดลง
จึงจำเป็นต้องทำบุญบ่อยๆให้ต่อเนื่องตลอดเวลา จึงจะถูกหลักวิชชา
แต่พญามารเขาก็เอาความไม่รู้ ความตระหนี่
ความหวงแหน ความประมาทชะล่าใจในการดำเนินชีวิตเข้ามาบังคับ ทำให้เราเกิดความรู้สึกทำเยอะแล้ว
หยุดก่อน คิดดูก่อน หรือกังวลเรื่องความปลอดภัยในชีวิต กลัวจะไม่มีกินไม่มีใช้ ซึ่งดูแล้วเหมือนว่าไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต
นั่นคือความคิดในระดับผิวเผิน แต่ในระดับลึกแล้วยังอยู่ในใจ
ราวกับว่าเรากำลังประมาทในการดำเนินชีวิต เพราะทรัพย์นอกจากจะมีไว้สำหรับหล่อเลี้ยงสังขาร
ให้ชีวิตเราสืบต่อไป เพื่อทำเป้าหมายของชีวิตให้แจ่มแจ้งแล้ว ก็ยังมีไว้สำหรับสร้างบารมีด้วย
ทรัพย์ที่เรามีอยู่ ยิ่งใช้สร้างบารมี บุญยิ่งเกิดมาก
สมบัติก็ยิ่งมาก แทนที่จะจนกลับมีแต่จะรวยเพิ่ม เหมือนผู้มีบุญในกาลก่อน
แต่เดิมก็เป็นคนธรรมดา แต่เห็นทุกข์เห็นโทษของความยากจน แล้วเข้าใจเหตุผลว่า เพราะเรามีความตระหนี่หวงแหนทรัพย์
แล้วก็ใช้ทรัพย์ไปในทางที่สนุกสนานเพลิดเพลินบ้าง อบายมุขบ้าง ทำมาหากินอย่างเดียวบ้าง
หมดเปลืองกันไปอย่างนั้น เราจึงลำบาก เพราะฉะนั้นเมื่อบุญเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต
ผู้มีบุญในกาลก่อนจึงสั่งสมบุญ แล้วก็มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง เป็นสมบัติอัศจรรย์เกิดขึ้น
คือ
ทำในภพที่รู้ตัว รู้เหตุ รู้ผล และหมั่นสั่งสมบุญเท่าที่ตัวมีอยู่ด้วยใจเบิกบาน เมื่อละโลกแล้วก็ไปสู่เทวโลก
เมื่อลงมาเกิด บุญก็ส่งผลอีกในมนุษยโลก เปลี่ยนฐานะจากยากจนไปเป็นคฤหบดี เมื่อไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต
สั่งสมบุญอีก แม้เกิดในยุคที่ไม่มีพระพุทธศาสนา ก็ทำบุญสงเคราะห์โลก หรือทำบุญกับผู้ที่เป็นนักบวชนอกพุทธศาสนา
ก็จะได้ฌานสมาบัติ อภิญญา ๕ ละโลกแล้วก็ไปเกิดในเทวโลก มีทิพยสมบัติเพิ่มขึ้น
ลงมาเกิดเป็นมนุษย์
จากคฤหบดี ก็มาเป็นมหาเศรษฐี ที่มีสมบัติมากมายกว่าชาติในอดีต นิสัยของการสั่งสมบุญเพิ่มขึ้น
ได้คบกัลยาณมิตร บัณฑิตนักปราชญ์ ยิ่งได้เกิดในยุคที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น
หรือคำสอนของพระองค์ยังอยู่ ได้ใช้ทรัพย์นั้นเพื่อสร้างบารมี ฝากฝังไว้ในพระพุทธศาสนา
สงเคราะห์โลก บุญนี้ก็ส่งผลอีก
ละโลกแล้วก็ไปสู่เทวโลก
มีทิพยสมบัติเพิ่มขึ้นไปอีก ลงมาเกิดในเมืองมนุษย์จากมหาเศรษฐีก็เป็นบรมเศรษฐี เมื่อมีสมบัติแล้วก็ทำอย่างเดิมซ้ำๆ
ละโลกแล้วก็ไปเกิดในเทวโลก ทิพยสมบัติเพิ่มขึ้น เป็นราชาแห่งเทวดาทั้งหลาย เป็นผู้ปกครองภพบ้าง
สวรรค์ชั้นต่างๆ บ้าง ลงมาเกิดในเมืองมนุษย์ ได้สมบัติจักรพรรดิ
สมบัติอัศจรรย์ทันใช้สร้างบารมี มันก็เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นทำมาแล้ว เมื่อบุญส่งผลแล้วต้องรวย
ดังนั้น
การที่เราเจอใครรวย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ก็ต้องรวย ต้องมีทรัพย์มาก เพราะเขาทำบุญมา
มันเป็นเรื่องธรรมดา เราไม่ต้องริษยาเขา อย่าไปกลุ้มใจที่เขามีทรัพย์มาก เพราะเขาทำมามาก
มันเป็นปกติธรรมดา
หรือเราเห็นคนจนลำเค็ญ
ก็เรื่องธรรมดาอีก เพราะเราทำของเรามา เราได้ออกแบบชีวิตข้ามชาติมาด้วยความตระหนี่
ในการไม่สั่งสมบุญ เมื่อมาเกิดใหม่ มันก็ยากจนก็เรื่องธรรมดา เราไม่ควรจะไปน้อยเนื้อต่ำใจ
เพราะอดทนกันมาชาติหนึ่ง ยอมรับความเป็นจริงของชีวิตว่า เราทำของเรามา
อดทนสร้างความดีกันต่อไป
จะลำเค็ญแค่ไหนก็ช่างมัน ตั้งใจทำมาหากินให้ได้ทรัพย์มาด้วยความบริสุทธิ์ แล้วนำทรัพย์นั้นมาบริจาคทาน
ทั้งสงเคราะห์โลก และทำในบุญเขต ในเนื้อนาบุญ ในอายุพระศาสนา เดี๋ยวบุญที่ได้สั่งสมแล้ว
มันก็จะเป็นขั้นเป็นตอน อย่างที่ได้กล่าวมา นี่ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของการออกแบบชีวิตของเรา
ของการทำบุญหรือไม่ได้ทำบุญอะไรต่างๆ เหล่านั้น มันเป็นปกติธรรมดา
เพราะฉะนั้น
วันนี้เราได้สั่งสมบุญแล้ว ตอนนี้ให้นึกถึงบุญให้ดีนะลูกนะ ให้ใจใสๆ แล้วเราจะได้พร้อมใจกันอธิษฐานจิต
ตอนนี้ให้ทำใจใสๆ อยู่ในกลางกายของเราอย่างสบายๆเมื่อกาย วาจาใจของเราใส สะอาด บริสุทธิ์ดีแล้ว
ต่อจากนี้ไปเราจะได้มาพร้อมใจกันอธิษฐานจิตกันนะ
กล่าวคำอธิษฐานจิต
ข้าพเจ้าทั้งหลายขอสักการบูชา
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และมหาปูชนียาจารย์ ด้วยการจุดเทียนใจ ไฟนิรันดร์อนันตชัย
ขอนอบน้อมกราบไหว้ ด้วยความเคารพเลื่อมใส ในพรรษาแห่งการบรรลุธรรมนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย
มีความตั้งใจจริง ที่จะประพฤติปฏิบัติธรรม และเพิ่มพูนคุณธรรม สั่งสมบ่มบารมี ทุ่มชีวีเป็นประธานกอง
ร่วมทอดกฐินสามัคคี ในพุทธศักราชนี้
ขอให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย
เป็นผู้มีความบริสุทธิ์ หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เอาชนะอุปสรรคทั้งมวล ให้ประสบความสำเร็จในชีวิต
ในภารกิจหน้าที่การงาน และสิ่งที่พึงปรารถนา ให้เป็นบรมเศรษฐี มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง
เอาไว้ใช้สร้างบารมี อย่างไม่รู้หมดสิ้น ให้มีกำลังใจเข้มแข็ง
ในการทำหน้าที่ผู้นำบุญ ยอดกัลยาณมิตร มีวาจาศักดิ์สิทธิ์
จะเชิญชวนผู้มีบุญให้มาสร้างบารมี เป็นประธานกองกฐินสามัคคี ขอให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์
ให้นักสร้างบารมีทั้งหลาย
ร่วมแรง ร่วมใจกัน ทำงานกันไปเป็นทีม อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุด ให้ทุ่มเทจนสุดกำลัง
โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่หวาดหวั่นต่ออุปสรรคอันใด มุ่งหน้าไปสู่เป้าหมาย คว้าธงชัยแห่งความสำเร็จ
ให้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย มีดวงปัญญาสว่างไสว มีญาณทัสสนะกว้างไกล มีดวงตาสดใส ทั้งมังสะจักษุ
ทิพยจักษุ ปัญญาจักษุ สมันตจักษุ และธรรมจักษุ ให้ได้บรรลุธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย และคุณยายอาจารย์ มหารัตนอุบาสิกาจันทร์
ขนนกยูง ที่ท่านได้บรรลุ
ให้ความปรารถนาทั้งมวล
ของข้าพเจ้าทั้งหลาย จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ จงทุกประการเทอญ
นิพพาน ปัจจโย โหตุ เราก็นึกถึงบุญ แล้วก็แผ่ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีประมาณ ตลอดแสนโกฏิจักรวาล
อนันตจักรวาล ภพทั้ง ๓ กำเนิดทั้ง ๔ ให้ทั่วถึงกันนะจ๊ะ
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565