แผนผังของชีวิต
วันพฤหัสบดีที่ ๗ เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ (๐๙.๐๐ -
๑๑.๐๐ น.)
วันครูวิชชาธรรมกาย ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไป ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย
ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตา
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูกพอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ
อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตานะจ๊ะ หลับตาพอสบายๆ เบาๆ ไม่ต้องถึงกับปิดสนิท
ให้มีความรู้สึกว่า สบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ปรับใจ
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทำใจของเราให้ว่างๆ ให้ปลด
ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันในทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจการงานบ้านช่อง
การศึกษาเล่าเรียน หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้
แล้วก็มาสมมติว่า ภายในร่างกายของเรานั้น ปราศจากอวัยวะ
สมมติว่าไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น ให้เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ เป็นปล่อง เป็นช่อง
เป็นโพรง คล้ายลูกโป่งที่เราเป่าลมเข้าไปแล้วมันพอง ภายในกลวงๆ อย่างนั้นนะ
การวางใจ
แล้วเราก็รวมใจของเรา ใจที่คิดแวบไปแวบมา ในเรื่องราวต่างๆ
นั้น เรื่องคน สัตว์ สิ่งของนั้น มารวมหยุดนิ่งๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ รวมหยุดนิ่งๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒
นิ้วมือ
โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม
เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หรือจำ ง่ายๆ ว่าอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ ตรงนี้แหละเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ความสำคัญของ ฐานที่ ๗
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นที่เกิด
ที่ดับ ที่หลับ แล้วก็ที่ตื่น
ที่เกิด คือ เวลาเรามาเกิด
เราเป็นกายละเอียด เราก็จะมาเข้าที่ปากช่องจมูกของบิดาก่อน หญิงซ้าย ชายขวา แล้วก็เคลื่อนไปที่หัวตา
ตรงที่น้ำตาไหล เรียกว่า ฐานที่ ๒ แล้วเคลื่อนมาที่กลางกั๊กศีรษะ ในระดับเดียวกับหัวตาของเรา
แล้วก็มาฐานที่ ๔ ที่เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก แล้วก็มาปากช่องคอ เหนือลูกกระเดือก
แล้วก็เคลื่อนไปที่ฐานที่ ๖ ตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสองดังกล่าวนั่น แล้วก็ถอยหลังขึ้นมา
๒ นิ้วมือ ตรงฐานที่ ๗
กายละเอียดของเราจะมาตกศูนย์อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ของบิดา แล้วก็จะบังคับให้บิดาไปหามารดา เพื่อประกอบธาตุธรรมส่วนหยาบ ห่อหุ้มกายละเอียดของเรา
เมื่อถูกส่วนกันแล้วก็เคลื่อนย้ายจากฐานที่ ๗ ของบิดาไปตามฐานต่างๆ ๖, ๕, ๔, ๓, ๒,
๑
ออกจากปากช่องจมูกบิดา แล้วก็เข้าสู่ปากช่องจมูกของมารดา
แล้วก็ไปตั้งที่ฐานที่ ๗ ของมารดา ธาตุธรรมส่วนหยาบก็ห่อหุ้มกายละเอียดเอาไว้ แล้วก็เจริญเติบโตด้วยอาหารของมารดาที่รับประทานกลั่นเป็นเลือดเนื้ออะไรต่างๆ
เหล่านั้นหล่อเลี้ยงกายหยาบของเรา มาเกิดก็ต้องเริ่มต้นด้วยศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ตรงนี้แหละ
ไปเกิด คือ
เมื่อเราคลอดออกจากครรภ์มารดาแล้ว มาเป็นกายมนุษย์หยาบ เจริญเติบโตขึ้น เมื่อถึงคราวที่จะหมดอายุขัย
ใจของเราก็จะมาอยู่ตรงนี้แหละ ตรงฐานที่ ๗ เราก็จะมีอาการสะดุ้งเฮือก ๓ ครั้ง ๓ เฮือก
ก็เคลื่อนไปตามลำดับ จนกระทั่งออกทางปากช่องจมูกของกายมนุษย์หยาบของเรา เป็นกายละเอียดไปแสวงหาที่เกิดใหม่
ไปเกิดมาเกิดต้องเริ่มต้นที่ฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละ
เป็นที่หลับ
คือ เวลาเราหลับ เราก็มาหลับอยู่ที่ตรงนี้ หลังจากเราผ่านความคิดอะไรมากมาย จนกระทั่งหมดเรื่องราวที่จะคิดใจก็ตกศูนย์นิ่งอยู่ตรงนี้
มาหลับตรงฐานที่ ๗ ตื่นก็เริ่มต้นจากตรงนี้ก่อน
เกิด ดับ หลับ ตื่น อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ตรงนี้ ที่เหนือจากจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสองจากสะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย ขึ้นมา
๒ นิ้วมือ นอกจากนี้ ฐานที่ ๗ ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่จะเข้าถึงความสุขภายในที่แท้จริง
ที่เดินทางไปสู่อายตนนิพพาน เป็นทางบรรลุมรรคผลนิพพาน ที่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย
ท่านเริ่มต้นจากที่ตรงนี้ ตรงฐานที่ ๗
แต่ของเรา เราเว้นช่วงเอาไว้ ตั้งแต่มาเกิดกระทั่งตาย
ส่วนใหญ่เราจะไม่ให้ความสำคัญกับฐานที่ ๗ เพราะเราไม่รู้จักความสำคัญตรงนี้ แต่ความปรารถนาเดียวกันคือ
อยากจะได้พบความสุขที่แท้จริง แต่เราไปแสวงหาผิดที่นอกตัว ทางรูปบ้าง เสียง กลิ่น
รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์ อำนาจ วาสนา ต่างๆ เหล่านั้น จึงไม่เจอ
ช่วงระหว่างตรงนี้เราเว้นไป
แต่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านเริ่มต้นตรงนี้
ตรงฐานที่ ๗ เพราะว่าท่านเบื่อหน่ายในความทุกข์ เบื่อหน่ายชีวิตในสังสารวัฏ เห็นภัยในวัฏสงสาร
อยากพ้นทุกข์ อยากสลัดตนให้พ้นจากกองทุกข์ อยากตัดทุกข์ได้ ท่านก็คลายความผูกพันในทุกสิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ อะไรต่างๆ เหล่านั้น จนกระทั่งใจท่านว่างเปล่า ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดเลย
แม้กระทั่งชีวิตของตัวเอง ใจก็จะมาหยุดนิ่งๆ ตรงฐานที่ ๗ ที่เดียวกันตรงนี้ ที่เดียวกับที่เกิด
ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่น ต่างแต่ว่า ท่านมีสติกับสบายอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องตรงฐานที่
๗ ตรงนี้
แผนผังของชีวิต
ใจท่านจะมาหยุดอยู่ตรงนี้ พอถูกส่วนเข้าก็ตกศูนย์
เหมือนหล่นจากที่สูงลงไป วูบเข้าไปภายใน หลังจากผ่านความรู้สึกโล่ง โปร่ง เบา สบาย
ตัวขยาย กระทั่งไม่มีความรู้สึกที่ร่างกายคือ ร่างกายหายไปเลย เหมือนไม่มีตัวตนแล้ว
ใจก็จะตกศูนย์ไปที่โล่งๆ ว่างๆ แล้วก็มีสิ่งหนึ่งลอยขึ้นมาจากฐานที่ ๖ จะเป็นดวงใสๆ
มาอยู่ที่ฐานที่ ๗ เราจะเห็นฐานที่ ๗ ได้ชัดเจนตอนนี้
ดวงที่เกิดนี้ คือ ดวงธรรมความบริสุทธิ์ในเบื้องต้น
อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวันหรือใหญ่กว่านั้น
หรือโตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ใสบริสุทธิ์ ประดุจน้ำใสๆ บ้าง เหมือนกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้าบ้าง
เหมือนเพชรใสๆ บ้าง หรือใสเกินใส เกินกว่าความใสใดๆ ในโลก มาพร้อมกับความสุขที่เราไม่เคยเจอมาก่อน
สุขที่ไม่มีประมาณ
ธรรมดวงนี้แหละ คือ ความบริสุทธิ์เบื้องต้น ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ของเราพระมงคลเทพมุนี
(สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ท่านเรียกว่า ดวงปฐมมรรค
หรือดวงธัมมานุปัสนาสติปัฏฐาน เกิดขึ้นในกลางกายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายเกิดขึ้นตรงนี้
เมื่อใจหยุดนิ่งถูกส่วน แล้วท่านก็หยุดไปเรื่อยๆ ไม่ผูกพันกับสิ่งใดทั้งสิ้น อยากจะดับทุกข์พ้นทุกข์อย่างเดียว
ท่านก็หยุดไปในกลางดวงปฐมมรรคนี้
พอถูกส่วนดวงธรรมนี้ก็จะขยาย ตรงกลางก็จะมีดวงธรรมดวงใหม่เกิดขึ้น
กลมรอบตัวเหมือนกัน แต่ใสสะอาดบริสุทธิ์กว่า เรียกว่า ดวงศีล แล้วก็จะเกิดไปอย่างนี้ในทำนองเดียวกัน
ก็จะมีดวงสมาธิ เกิดขึ้นกลางดวงศีล ดวงปัญญาเกิดขึ้นในกลางดวงสมาธิ ดวงวิมุตติเกิดขึ้นในกลางดวงปัญญา
ดวงวิมุตติญาณทัสสนะเกิดขึ้นในดวงวิมุตติ ทั้งหมด ๖ ดวงเป็นหนึ่งชุด เกิดขึ้นตรงกลางของแต่ละดวงนั้น
ใจก็ยิ่งบริสุทธิ์ไปเรื่อยๆ เพราะธรรมทั้ง ๖
ดวงนั้น จะกลั่นกาย วาจา ใจ เราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในระดับที่เข้าถึงกายภายในที่ซ้อนอยู่ในกายหยาบภายนอก
หน้าตาเหมือนกับตัวเรานี่แหละ แต่ว่าสดใสกว่าอยู่ในวัยเจริญ นั่งทำสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา
กายนี้เรียกว่า กายฝัน เวลาเรานอนหลับแล้วออกไปฝันกายนี้แหละไปทำหน้าที่ฝัน
แล้วก็กลับมารายงานกายหยาบ บางครั้งก็จำได้ บางครั้งก็จำไม่ได้ หรืออีกนัยน์หนึ่ง เรียกว่า
กายไปเกิดมาเกิด หรือกายมนุษย์ละเอียด หมายเอากายนี้เกิดขึ้นในกลางกาย
แล้วใจก็จะหยุดนิ่งไปเรื่อยๆ ในกลางกายมนุษย์ละเอียดก็จะเข้าถึงดวงธรรมอีกชุดหนึ่งในทำนองเดียวกัน
เหมือนดวงธรรมชุดหนึ่ง ๖ ดวงนี่ เป็นสิ่งที่เชื่อมต่อระหว่างกายต่อกาย ก็จะเข้าถึงกายทิพย์
กายทิพย์ ที่มีเครื่องประดับที่ใสบริสุทธิ์โตขึ้นมาอีก
ในกลางกายทิพย์ก็จะมีดวงธรรมอีกชุดหนึ่งในทำนองเดียวกัน เชื่อมถึง กายรูปพรหม ซึ่งก็คล้ายๆ
กายทิพย์แต่สวยกว่า ประณีตกว่า บริสุทธิ์กว่า มีเครื่องประดับที่ละเอียดลงไปอีก มีรายละเอียดเพิ่มขึ้น
ในกลางกายอรูปพรหมก็จะมีดวงธรรมอีก ๑ ชุด เชื่อมเข้าไปถึงกายอรูปพรหมที่ลักษณะคล้ายกัน
แต่ว่าสวยกว่า สว่างกว่า กายจะตั้งตรง ที่ตรงเหมือนกายพรหมนั่น หรือกายอรูปพรหมสง่างามมาก
ในกลางกายอรูปพรหมก็จะเข้าถึงดวงธรรมอีกชุดหนึ่ง เชื่อมมาถึงกายธรรมโคตรภู ซึ่งมีทั้งหยาบละเอียด
เช่น เดียวกับกายต่างๆ ที่ผ่านมา
กายธรรมโคตรภู ก็คือ กายพุทธรัตนะ
กายผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว เป็นสรณะ ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของเรา เป็นกายพระที่ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ
แต่มีเกตุดอกบัวตูม ไม่ใหญ่ไม่เล็ก เหมือนดอกบัวสัตตบงกชป้อมๆ อย่างนั้น จะใสบริสุทธิ์
กายนี้มีธรรมจักขุที่ทำให้เห็นได้รอบตัว มีญาณทัสสนะ
กายนี้แหละ เรียกว่า พุทธรัตนะ
เป็นกายตรัสรู้ธรรมของเรา มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนในโลก ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติศาสนา
เผ่าพันธุ์ผิวพรรณใดก็ตาม ก็จะมีกายนี้ กายองค์พระ
ในกลางกายธรรมโคตรภู ที่หน้าตักหย่อนกว่า ๕
วา นิดหน่อย สูงก็หย่อนกว่า ๕ วา หน้าตักกับความสูงเท่ากัน นั่งอยู่บนแผ่นฌานสมาบัตินั้น
ก็จะเข้าถึงดวงธรรมอีกชุดหนึ่ง ๖ ดวง ซึ่งจะเชื่อมให้เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน หน้าตัก
๕ วา สูง ๕ วา มีทั้งหยาบและละเอียด คือ โสดาปัตติมรรค และโสดาปัตติผล
ในกลางกายพระโสดาบัน ก็จะเข้าถึงดวงธรรมอีกชุดหนึ่ง
เชื่อมเข้าไปถึงกายธรรมพระสกิทาคามี หน้าตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา โตใหญ่หนักยิ่งขึ้น บริสุทธิ์เพิ่มขึ้น
มีทั้งหยาบละเอียด คือ พระสกิทาคามิมรรค พระสกิทาคามิผล
ในกลางกายธรรมพระสกิทาคามี ก็จะเข้าถึงดวงธรรมอีกชุดหนึ่ง
๖ ดวง เชื่อมเข้าไปถึงกายธรรมพระอนาคามี หน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา โตใหญ่หนักยิ่งขึ้น
บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น จะหน้าตาเหมือนกันหมด ลักษณะมหาบุรุษเดียวกัน ต่างกันแต่ขนาด และความบริสุทธิ์
ในกลางกายพระอนาคามีก็จะเข้าถึงกายธรรมพระอรหัต
หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา เชื่อมด้วยดวงธรรมอีก ๖ ดวง ๑ ชุดเช่นเดียวกัน นี่กายธรรมสุดท้ายเรียกว่า
กายธรรมอรหัตผล หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐
วา เกตุดอกบัวตูม มีทั้งกายอรหัตมรรคและอรหัตผลนี่แหละโตเท่ากัน
ทั้งหมด ๑๘ กายนี้ ซ้อนอยู่ในกลางกายของเรา
กลางกายของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ที่ท่านได้เข้าถึง จนกระทั่งหลุดพ้นไปตามลำดับ เมื่อพ้นแล้วท่านก็นำมาสั่งสอนต่อผู้มีบุญทั้งหลาย
มีพระปัญจวัคคีย์ เป็นต้น มีพระโกณฑัญญะได้เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบันก่อน
เป็นคนแรกของโลกในจักรวาลนั่นแหละ ท่านจึงให้สมญานามว่า อัญญาโกณฑัญญะ แปลว่า
โกณฑัญญะเห็นตามไปแล้ว เห็นเหมือนแล้ว เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบันแล้ว
และหลังจากนั้นก็ถ่ายทอดให้คนได้เข้าถึงกันมาตามลำดับ
ได้บรรลุกายธรรมไปตามลำดับ คือ กายธรรมโคตรภู ก็เป็นโคตรภูบุคคล มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
เป็นชาวพุทธแท้ แล้วก็เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี เป็นพระอริยเจ้า
กระทั่งเข้าถึงกายธรรมอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ ท่านก็ถ่ายทอดสั่งสอนอบรมกันไปอย่างนี้
ลดหย่อนลงมาก็เป็นฌานลาภีบุคคล มีฌาน โลกุต
มีฌานโลกียฌานสมาบัติ หย่อนลงไปกว่านั้นก็เป็นกัลยาณชน คนดีที่ดำเนินชีวิตถูกต้องไม่ผิดพลาดปิดอบายไปสวรรค์ได้
ทั้งหมดนี้คือแผนผังของชีวิต ที่เริ่มต้นจากศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เราได้ความรู้นี้ มาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าเมื่อพระองค์ดับขันธปรินิพพานไปแล้วได้
๕๐๐ ปี คำสอนที่เราจะปฏิบัติให้ได้เข้าถึง เหมือนในสมัยพุทธกาลก็เริ่มเลือนจางหายไป
เพราะว่าขาดความเอาใจใส่ของพุทธบริษัท ๔
แต่ก็ยังโชคดีมีบุญที่มีการบันทึกคำว่า ธรรมกาย เอาไว้อยู่ในพระไตรปิฎกในหลายตอน แล้วก็กระจัดกระจายไปอยู่ตามคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาในนิกายต่างๆ
หลากนิกาย เพราะฉะนั้นคำสอนดั้งเดิมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกระจัดกระจายไปตามภูมิภาคต่างๆ
ทั่วโลกตามนิกายต่างๆ
ดังนั้นความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องธรรมกายนี้จึงไม่ลึกซึ้งเหมือนในสมัยพุทธกาล
มีคง คำว่า ธรรมกาย แล้วก็ตีความหมายคำนี้ไปตามความเข้าใจของตัวด้วยจินตมยปัญญา คือ
คิด ด้นเดาหาเหตุหาผลกันไป ซึ่งมักจะสรุปรวมว่า เป็นที่รวมประชุมแห่งธรรมทั้งปวง เรียกว่าธรรมกาย
มักจะได้ความหมายเพียงแค่นี้เป็นส่วนใหญ่ ส่วนย่อยๆ
ก็ตีความหมายของคำว่าธรรมกายเลอะเลือนจากนี้ไป จนกระทั่งกล่าวถึงคำว่า หมดยุคหมดสมัยแห่งการบรรลุธรรมกาย
บรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว อย่างนี้ เป็นต้น
หลวงปู่สด พยานตรัสรู้ธรรม
จนกระทั่ง ๘๐ กว่าปี นับจากนี้ถอยหลังไปนั่นแหละ
มีการบังเกิดขึ้นของพระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรา เกิดขึ้นด้วยรูปกายเนื้อที่แผ่นดินใบบัว
อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เกิดขึ้นด้วยรูปกายเนื้อ แล้วเกิดขึ้นในเพศสมณะ
ที่วัดสองพี่น้อง ตรงข้ามกับที่เกิดขึ้นด้วยรูปกายเนื้อของท่าน
แล้วก็มาเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในกลางพรรษาที่
๑๑ เมื่ออายุได้ ๓๓ ปี คือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันนี้แหละ ที่ในโบสถ์วัดโบสถ์บน
บางคูเวียง จังหวัดนนทบุรี ด้วยการสละชีวิตในยามเย็นว่า ไม่ได้ตายเถอะ
วันนี้เป็นไงเป็นกัน ถ้าไม่ได้บรรลุธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุ ก็จะยอมตายไม่ลุกจากที่
เนื้อเลือดจะแห้งเหือดหายไป เหลือแต่กระดูกหนังช่างมัน ท่านยอมตาย
และในที่สุด เมื่อท่านปล่อยวางทุกสิ่งได้ คือ
เมื่อปล่อยชีวิตได้ ก็ปล่อยคลายความผูกพันในสิ่งอื่นได้ จะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ
ตึกรามบ้านช่อง ทรัพย์สินเงินทอง ไร่นาสาโท สมณศักดิ์อะไรต่างๆ เหล่านั้น ใจท่านก็เบิกบานแช่มชื่น
เพราะไม่ผูกพันกับสิ่งใด
ในที่สุดก็หยุดนิ่งไปเรื่อยๆ ในตอนดึก แล้วก็ได้บรรลุธรรมกาย
เมื่อบรรลุแล้วก็รู้จักว่านี่แหละเรียกว่า ธรรมกาย
แล้วก็เห็นกายต่างๆ ไปตามลำดับ
การบังเกิดใหม่ของท่านด้วยธรรมกายนี้แหละ
เป็นพยานในการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ชาวโลกทั้งหลายมีความมั่นใจในการปฏิบัติธรรม
เชื่อมั่นว่า เราสามารถสลัดตนให้พ้นจากกองทุกข์ได้ เพราะมรรคผลนิพพานไม่พ้นสมัย ไม่จำกัดกาลเวลา
เข้าใจคำว่า อกาลิโก
ได้แจ่มชัดยิ่งขึ้นว่า ไม่เกี่ยวเนื่องกับกาลเวลา เพราะมรรคผลนิพพานมีอยู่แล้วในตัวของเรา
เป็นแต่เพียงเราไม่รู้ว่าอยู่ตรงนี้ แล้วก็สามารถเข้าถึงได้ ด้วยวิธีง่ายๆ ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แม้เป็นของลึกซึ้งก็เข้าถึงได้ ไม่ถูกผูกขาดเฉพาะพระธุดงค์ หรือต้องปลีกตัวตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างเด็ดขาด
จริงอยู่การตัดขาดจากโลกภายนอกนั้น ทำให้เรามีโอกาสว่างมากกว่าชาวโลก
แล้วก็เข้าถึงได้ง่ายกว่า แต่ก็ไม่ได้แปลว่า ทุกคนในโลกที่มีภารกิจประจำวัน จะเข้าถึงไม่ได้
เพราะสิ่งนี้มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน แล้วก็ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ก็มีอยู่
หยุดเป็นตัวสำเร็จ
ท่านสรุปวิธีการที่จะเข้าถึง ด้วยวิธีลัดที่สุด
ตรงที่สุด แล้วก็ง่ายที่สุดว่า หยุดเป็นตัวสำเร็จ คือ
ใจจะต้องมาหยุดนิ่งๆ อยู่ที่ตรงนี้ ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี้ เท่านั้น จึงจะเป็นตัวสำเร็จได้
ให้ได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง ที่มาพร้อมกับแผนผังของชีวิต คือ
เข้าถึงดวงธรรมดังกล่าว ถึงกายมนุษย์ละเอียดทิพย์ พรหม อรูปพรหม แล้วก็เข้าถึงกายธรรมโคตรภู
โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหัต
ชาวพุทธที่แท้จริง
โดยเฉพาะเข้าถึงกายธรรมเบื้องต้น
เป็นโคตรภูบุคคล ผู้อยู่กึ่งกลางระหว่างปุถุชนกับพระอริยเจ้า เข้าถึงตรงนี้ได้ ก็ได้ชื่อว่า
เป็นชาวพุทธที่แท้จริง ถ้าเป็นพระก็เป็นพระแท้ ถ้าเป็นสามเณรก็เป็นสามเณรที่แท้จริง
ที่เรียกว่า เทือกเถาเหล่ากอของสมณะ เมื่อได้เข้าถึงพระธรรมกายในตัวอย่างนี้
ถ้าเป็นชาวพุทธก็จะเป็นชาวพุทธที่แท้จริง
แม้จะทำมาหากินอยู่ แต่ก็เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ก็ได้ชื่อว่า เป็นชาวพุทธที่แท้จริง
เหมือนท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านมหาอุบาสิกาวิสาขา เป็นต้น เป็นนักธุรกิจ มีธุรกิจมากมาย
แต่สามารถเข้าถึงได้ ทำให้เศรษฐกิจกับจิตใจไปด้วยกันได้ ท่านก็เป็นชาวพุทธที่แท้จริง
แล้วก็มีดวงปัญญาว่า ทรัพย์ที่ได้มานั้น ต้องมาทำนุบำรุงสนับสนุนการเผยแผ่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็แปลว่า ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ คำว่า หยุดเป็นตัวสำเร็จนี้ กับการได้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวของพระเดชพระคุณหลวงปู่
นำมาซึ่งความสมหวังของเราและชาวโลก
บูชาธรรมท่านด้วยการปฏิบัติบูชา
วันนี้วันดีมีสิริมงคล มาพ้องกับวันที่ท่านเกิดใหม่ด้วยธรรมกาย
โดยการสละชีวิต ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ เรามาตามระลึกนึกถึงพระคุณของท่าน ด้วยการปฏิบัติบูชา
และน้อมบุญที่เกิดขึ้นนี้บูชาธรรมท่าน
เพราะฉะนั้น ในช่วงนี้ ก่อนที่เราจะได้กล่าวคำบูชาครูมหาปูชนียาจารย์
ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ให้ลูกทุกคน
ที่เดินทางมาจากทุกภูมิภาคทั่วโลกและภายในประเทศได้วางต่อเครื่องธุรกิจการงานมาเพื่อการนี้
พึงตั้งใจปฏิบัติธรรม ฝึกใจให้หยุดให้นิ่ง ให้ใจเราใสสะอาดบริสุทธิ์
เหมาะสมที่จะได้บูชาธรรมแด่มหาปูชนียาจารย์เช่นท่าน คือ พระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรา
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร
การบูชามหาปูชนียาจารย์ ด้วยการปฏิบัติบูชานี้
เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความพึงพอใจแก่ท่าน เพราะการสละชีวิตเพื่อบรรลุธรรมของท่าน ก็เพื่อการนี้
ท่านจะปีติยินดีเมื่อเราทำได้อย่างท่าน ท่านทำได้อย่างไร เราทำได้อย่างนั้น ท่านเป็นอย่างไร
เราเป็นอย่างนั้นด้วยเหตุนี้แหละ
ต่อจากนี้ไปให้ลูกทุกคนหยุดใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ แต่วันนี้เป็นวันของท่าน
ของพระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรา เราจะนึกน้อมอาราธนาท่าน รูปหล่อทองคำของท่านหรือภาพของท่านที่เราคุ้นเคย
อาราธนาให้ท่านมานั่งขัดสมาธิเจริญสมาธิภาวนาอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ของเรานะจ๊ะ ขนาดใหญ่เล็กก็แล้วแต่ใจเราชอบ จะชัดแค่ไหนก็ได้แต่ต้องสบาย
ให้ลูกทุกคนนึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่อย่างสบายๆ
โดยไม่ตั้งใจเกินไป จนกระทั่งเกิดอาการตึงและเกร็งที่กล้ามเนื้อ ให้นึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่อยู่ในกลางกาย
ซึ่งเราก็ได้ทำต่อเนื่องกันมาหลายวันแล้ว
วันนี้วันของท่าน ก็ผูกใจไว้กับท่าน สายบุญนี้จะได้เชื่อมโยงกับท่าน
แล้วท่านก็จะได้กลั่นกาย วาจา ใจ เราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ เหมาะสมที่จะเข้าถึงพระธรรมกายในตัว
เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว แล้วก็จะได้รองรับบุญใหญ่ที่จะมาร่วมอัญเชิญรูปหล่อทองคำของท่าน
ประดิษฐานที่มหาวิหาร
และได้รับของขวัญอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งบังเกิดขึ้นได้ยากในโลกที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ของเราซ้อนเข้าไปถึงที่สุดละเอียดของท่าน
เช่นเดียวกับทำความสิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ของพระของขวัญ รุ่นที่ ๑, ๒, ๓ ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่
ที่วัดปากนี้ภาษีเจริญ ท่านได้ซ้อนทำความศักดิ์สิทธิ์ในของขวัญ และทุกคนที่มาร่วมบุญกันในวันนี้
ถือว่าเป็นเจ้าของบุญเจ้าของ ของขวัญอันศักดิ์สิทธิ์นี้
เราได้กำหนดกฎเกณฑ์ไว้ว่า ต้องบริสุทธิ์ทั้งภายนอกภายใน
เสื้อผ้าอาภรณ์ก็จะต้องสีขาวสดใส เป็นการให้เกียรติแด่พระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรา ด้วยอาภรณ์
นุ่งห่มด้วยอาภรณ์ที่สดใส มีกาย วาจา ใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ผูกใจไว้กับท่าน
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แล้วก็ประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาว่า สัมมาอะระหังๆๆ
เรื่อยไป จนกว่าใจจะหยุดนิ่งบริสุทธิ์ผ่องใส เราก็จะได้พร้อมใจกันกล่าวคำบูชาครูมหาปูชนียาจารย์
ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายกันต่อไป ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะลูกนะ
เมื่อกาย วาจา ใจ เราสะอาดบริสุทธิ์เหมาะสมที่จะประกอบวิชชา
ประกอบพิธีบูชามหาปูชนียาจารย์ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ให้ลูกทุกคนนั่งพับเพียบ หลับตาพนมมือขึ้นพร้อมๆ
กัน นึกถึงภาพพระเดชพระคุณหลวงปู่ไว้ที่กลางกายให้ชัด แจ่มทีเดียวนะจ๊ะ ด้วยใจที่เลื่อมใสในท่าน
เคารพบูชาในท่าน ให้ใจใสๆ ให้หยุดให้นิ่งอยู่ในกลางกาย เห็นภาพพระเดชพระคุณหลวงปู่ชัด
ใส แจ่ม กระจ่างอยู่ในกลางกาย
กล่าวคำบูชาครูวิชชาธรรมกาย
ข้าพระพุทธเจ้ารวมใจ ขอนอบน้อมกราบไหว้ แด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้เป็นเจ้าของวิชชาธรรมกาย พระองค์นั้น ขออาราธนาบารมีธรรมของพระองค์ จงมาบังเกิดขึ้น
ในจักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร มโนทวาร แห่งข้าพระพุทธเจ้า ในกาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
วันนี้วันดี วันเพ็ญเดือนสิบชัยศรี เป็นวันคล้ายวันที่
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ขอทำพิธีใหญ่ ไหว้ครูวิชชาธรรมกาย เพื่อรับความสวัสดีมีชัย เพื่อการเข้าถึงพระรัตนตรัย
ของข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ญาณรัตนะ ข้าพระพุทธเจ้ารวมใจ
บูชากราบไหว้ แด่บรมพุทธเจ้า พระต้นธาตุต้นธรรม ของวิชชาธรรมกาย ในอายตนนิพพาน ทั้งลับทั้งเปิดเผย
จะนับจะประมาณมิได้
พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ญาณรัตนะ ข้าพระพุทธเจ้ารวมใจ
บูชากราบไหว้ แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้าทั้งหลาย พระมงคลเทพมุนี
(สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย และคุณยายอาจารย์ มหารัตนอุบาสิกาจันทร์
ขนนกยูง ผู้เป็นมหาปูชนียาจารย์ ที่เคารพบูชา ของข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ในปัจจุบันนี้
พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ญาณรัตนะ ด้วยอำนาจแห่งความตั้งใจจริง
บูชาครูวิชชาธรรมกาย ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จงปราศจากทุกข์โศกโรคภัย ทั้งอุปัทวันตราย
จงพินาศสิ้นไป ให้สุขภาพพลานามัยแข็งแรง จิตใจแกร่งกล้าร่าเริง บันเทิงอาจหาญในธรรม
ให้รวมใจหยุดเป็นหนึ่ง เข้าถึงวิชชาธรรมกาย ได้สำเร็จวิชชาศักดิ์สิทธิ์ รุ่งเรืองด้วยบุญบารมี
รัศมีกำลังฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ เฉียบขาด ให้สามารถปราบมาร ประหารกิเลส ตราบสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ
เข้าสู่นิพพานเทอญ นิพพานะ ปัจจโย โหตุ
แล้วเราก็หยุดใจนิ่ง อยู่ในกลางพระเดชพระคุณหลวงปู่
ที่อยู่ในกลางกายของเรานะจ๊ะ อย่างสบายๆ ให้นิ่งๆ ให้ใจเราไปเชื่อมกับบุญบารมีรัศมีกำลังฤทธิ์
อำนาจสิทธิเฉียบขาดของท่าน ที่ท่านจะน้อมไปเชื่อมกับพระนิพพาน พระพุทธเจ้าทั้งหลายพระอรหันต์
ทั้งนิพพานถอดกายไม่ถอดกาย กระทั่งไปถึงพระต้นธาตุต้นธรรมของวิชชาธรรมกาย เพื่อถ่ายทอดกระแสธาร
แห่งความบริสุทธิ์ พลังบุญบารมีรัศมีกำลังฤทธิ์ อำนาจสิทธิเฉียบขาด ไปเชื่อมโยงอยู่ศูนย์กลางกายเราให้เราได้บรรลุธรรม
บรรลุมรรคผลนิพพาน ได้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย ให้เราได้สมหวังดังใจในทุกสิ่ง แล้วให้สรรพสัตว์ทั้งมวล ตลอดแสนโกฏิจักรวาลอนันตจักรวาล
ได้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย เช่นเดียวกับตัวของเรา แล้วเข้าสู่อายตนนิพพานกันไปพร้อมๆ
กัน (สัพเพฯ.)
อย่าลืมรักษาใจให้ใสๆ
กันทั้งวันนะลูกนะ ในกลางกายเราก็ต้องมีพระเดชพระคุณหลวงปู่ให้อยู่ตลอดเวลาเลย ทั้งหลับตาลืมตานั่งนอนยืนเดิน
ส่วนใครที่ยังไม่ได้สวมเสื้อขาวนะจ๊ะ ก็ไปเปลี่ยนเสีย
เพราะว่าภาพนี้จะต้องถูกถ่ายทอดผ่าน DMC ไปทั่วโลก จะได้เห็นความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ของลูกหลานพระเดชพระคุณหลวงปู่ ผู้ที่จะนำวิชชาธรรมกายขยายไปทั่วโลก เราจะต้องมีความคิด
คำพูด และการกระทำที่เหมือนๆ กัน
เพราะฉะนั้น ใครที่ไม่ได้เตรียมตัวมาด้วยเสื้อขาว
เพราะว่าไม่ได้รับฟังข่าว แต่เกิดกุศลศรัทธาอย่างกะทันหัน ก็ยังมีเวลาไปเปลี่ยนนะจ๊ะ
หลังจากที่เราประกอบพิธีภาคเช้าเสร็จ ช่วงรับประทานอาหารเสร็จก็ไปเปลี่ยนเสีย จะได้เป็นหนึ่งเดียวกันไปทั่วโลกกันนะจ๊ะ
ขอให้ลูกทุกคนจงมีแต่ความสุขความเจริญ คิดอะไรในสิ่งที่ดีขอให้สมความปรารถนา
ให้มีดวงตาเห็นธรรม ได้เข้าถึงพระธรรมกาย มีมหาสมบัติจักรพรรดิมากมาย ติดตามตัวไปทุกภพทุกชาติ
ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมเทอญ (สาธุ)
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565