สมาธิไม่ยาก เราทำได้
วันอาทิตย์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๕๔๙(๑๓.๓๐ -
๑๕.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ให้ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรา ตั้งแต่ศีรษะ ใบหน้า ลำคอ
บ่าไหล่ แขนทั้งสองถึงปลายนิ้วมือ ลำตัว ขาทั้งสองถึงปลายนิ้วเท้า
ทั้งเนื้อทั้งตัวให้ผ่อนคลาย
วางใจ
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ รวมใจหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
บริกรรมนิมิต
จะตรึกนึกถึงดวงใส หรือองค์พระใสๆ หรือพระเดชพระคุณหลวงปู่ก็ได้
โดยเฉพาะช่วงนี้ เป็นช่วงที่เรากำลังจะไปเชื่อมสายบุญกับท่าน เราจะไปตอกเสาเข็มสร้างอนุสรณ์สถานที่แผ่นดินดอกบัว
แดนเกิดด้วยรูปกายเนื้อของท่าน ในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๐
เราอยู่ในช่วงของการเตรียมใจของเราให้ใสๆ ให้สะอาด บริสุทธิ์ จะได้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในวันนั้น
เราจะนึกถึงภาพพระเดชพระคุณหลวงปู่ ซึ่งเราก็คุ้นเคยกับท่านอยู่แล้ว
จากภาพที่เราได้เห็นจากรูปหล่อทองคำที่เราได้มาร่วมหล่อกันตั้งหลายองค์แล้ว
อาราธนาให้ท่านนั่งเจริญสมาธิภาวนาอยู่ในกลางกายของเรา โดยเราจะทำความรู้สึกว่า เราอยู่ในกลางกายของท่านก็ได้
โดยใจของเราก็ไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นหลักที่สำคัญเลย
ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว จะเป็นองค์พระ เป็นดวงใสๆ
หรือพระเดชพระคุณหลวงปู่ ให้เราน้อมไว้ในกลางกายของเรา
มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อให้ใจของเราที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนั้น กลับมาสู่ที่ตั้งดั้งเดิมที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗
ใจหยุดนิ่งที่ฐานที่ ๗ คือหลักของชีวิต
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นต้นทางที่จะไปสู่อายตนนิพพาน
ที่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วนท่านก็ทำแบบเดียวกันอย่างนี้
คือ หยุดใจนิ่งให้สนิทติดตรงกลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้อย่างเดียว
ไม่ได้ไปทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้
แล้วใจก็จะเป็นกลางๆ ตั้งมั่น สงัดจากกาม และบาปอกุศลธรรม
ความบริสุทธิ์ของใจก็จะบังเกิดขึ้น ความสุขที่เราไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่เคยเจอก็จะบังเกิดขึ้น
ซึ่งเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่แบบที่เราพูดไม่ออก บอกไม่ถูก
เพราะฉะนั้น วัตถุประสงค์ก็ต้องการให้ใจมาหยุดอยู่ที่ตรงนี้
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ถ้าใจเราส่งออกไปข้างนอกอย่างที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน
เรื่องคน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน บ้านช่อง เรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้
เราจะพบว่า เราไม่เคยเจอความสุขที่แท้จริงเลย อย่างมากก็มีแต่ความเพลินๆ ให้เราได้ลืมความทุกข์ไปชั่วขณะ
ประเดี๋ยวเราก็กลับมาไม่สบายกาย ไม่สบายใจอีก แล้วมีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเกิดขึ้นด้วยเหตุต่างๆ
หยุดกับนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เป็นหลักของชีวิต สิ่งอื่นเป็นเรื่องรองลงมา
ความสุขที่แท้จริง
เราตะเกียกตะกายแสวงหาสิ่งต่างๆ ก็ปรารถนาที่จะได้เจอความสุข
ความสบายกาย สบายใจ ที่จะทำให้เราเกิดความพึงพอใจอย่างสูงสุดจนไม่ต้องการอะไรเลย
แต่จากประสบการณ์ที่เราผ่านมาในชีวิต
เราไม่เคยเจอเลย ไม่ว่าจะอยู่ในคน สัตว์ สิ่งของที่เป็นที่รัก ลาภ ยศ สรรเสริญ
อำนาจวาสนา พวกพ้องบริวาร มีที่มีทาง มีทรัพย์มาก ก็ไม่ได้ให้ความพึงพอใจเราสูงสุด
มันได้แค่ปลื้มใจอยู่ชั่วคราว แล้วความปลื้มนั้นก็ดับไป
มันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ไม่เป็นสาระแก่นสารเหมือนต้นกล้วยที่ไม่มีแก่นอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ท่านก็ผ่านชีวิตอย่างนั้นมา
ยืนยันเหมือนกันหมดด้วยประโยคเดียวกันว่า นตฺถิ
สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นนอกจากหยุดจากนิ่งไม่มี แปลว่า เราจะไปแสวงหาความสุขจากที่อื่นที่นอกเหนือจากใจหยุดนิ่งนี้ไม่เจอหรอก
เหนื่อยฟรี แก่ เจ็บ ตายฟรีๆ แถมมีวิบากเป็นผลเสียอีก มันมี Side Effects มีผลข้างเคียง คือ ความทุกข์ทรมานของชีวิต
ทั้งในปัจจุบันที่เรามองเห็นด้วยตาเนื้อ กับที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ คือ ชีวิตในปรโลก
ทุกพระองค์ยืนยันเหมือนกันหมดว่า
หยุดกับนิ่ง คือ หยุดใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ จึงจะเจอในสิ่งที่เราแสวงหา คือ
ความสุขที่ไม่มีขอบเขตจำกัด ที่จะทำให้เราเกิดความพึงพอใจ
ตั้งแต่ความพึงพอใจเหนือกว่าสิ่งที่เราเคยเจอ กับเพิ่มปริมาณแห่งความพึงพอใจไปเรื่อยๆ
ไม่หายเห่อ ไม่เบื่อหน่าย กระทั่งไปถึงบรมสุข คือ เข้าถึงอายตนนิพพาน มีแต่สุขล้วนๆ
ไม่มีทุกข์เจือปนเลย
จะไปตรงนั้นได้ใจต้องหยุดต้องนิ่ง จะหยุดจะนิ่งได้ก็ต้องทิ้งในสิ่งที่ทำให้ใจเราเกิดความทะเยอทะยานอยาก
อยากได้ อยากมี อยากเป็นอะไรต่างๆ เหล่านั้นในชีวิตประจำวันที่เราเจอนั่นแหละ
คือ คลายความผูกพัน พิจารณาเห็นทุกข์ เห็นโทษ
ถ้าเราให้ความเอาใจใส่ ศึกษาถึงสิ่งเหล่านั้นที่เราแสวงหา
เราจะค้นพบว่า มีแต่ความไม่จีรัง เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปเรื่อยๆ มีแต่ความทุกข์ ทำให้เราไม่สบายกาย
ไม่สบายใจ เป็นตัวปัญหา เพราะความไม่แน่นอนนั่นแหละ ทำให้เราไม่สบายใจ ไม่สบายกาย
และจะบังคับบัญชาให้เป็นไปตามความปรารถนาของเราก็ไม่ได้
ดังนั้น หยุดนิ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ
ซึ่งลูกทุกคนจะต้องให้ความเอาใจใส่ เพื่อตัวของเราเองเป็นหลักเลย
เพราะตัวเราเองจะได้เข้าถึงความสุขที่ไม่มีประมาณ แล้วความสุขที่ไม่มีประมาณก็จะดึงดูดให้เรากระหายที่จะเรียนรู้ไปเรื่อยๆ
อยากมีสุขเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
แล้วใจก็จะละเอียดลุ่มลึกไปตามลำดับ ค่อยๆ หลุดพ้นจากความผูกพันของมนุษย์ของทิพย์ที่มีกายละเอียดตั้งแต่สวรรค์
พรหม อรูปพรหมเหล่านั้น ซึ่งเป็นสุขประณีตกว่าในมนุษย์ก็ยังปลดปล่อยวางได้ จึงจะเข้าถึงบรมสุขเพื่ออายตนนิพพาน แล้วจะทำให้เกิดแรงกระตุ้นภายในให้เราไปแสวงหาเหล่านั้นเพิ่มขึ้น
ในทุกขั้นตอนการแสวงหาจะเป็นความรู้ที่คู่ความสุข
เบิกบาน มีความตื่นตัวภายใน สดชื่นอยู่ตลอดเวลาเลย
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องให้ความสำคัญกับตรงนี้ให้มาก
ในชีวิตประจำวันที่เราจะต้องทำมาหากิน
เพื่อให้ได้ปัจจัย ๔ มาหล่อเลี้ยงสังขาร มีชีวิตอยู่ก็เพื่อแสวงหาบรมสุข
บรรลุมรรคผลนิพพาน ต้องจับหลักของชีวิตให้ได้ แล้วจะทำให้เราขยัน มีความเพียรที่จะปฏิบัติธรรม
ไม่ทำๆ หยุดๆ หรือทำไปแกนๆ ฝืนๆ อย่างนั้น ไม่ใช่ แต่ทำอย่างมีเป้าหมายแบบบัณฑิต นักปราชญ์ในกาลก่อน
วิธีนึกนิมิต
ตอนนี้เรามาปรับใจให้หยุดให้นิ่ง นุ่ม เบา
สบาย ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นึกถึงภาพดังกล่าว แต่ต้องค่อยๆ นึกใจเย็นๆ นึกได้เดี๋ยวก็เห็นได้
นึกได้ใหม่ๆ ก็ยังเห็นไม่ชัด เป็นเพียงรู้สึกว่า
มีอยู่ภายใน เช่น สมมติว่า เรานึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่ เราจะมีความรู้สึกว่า มีท่านอยู่ภายใน
แต่ถามว่า ชัดไหม มันก็ไม่ชัดในระดับที่เรายอมรับว่า เห็น มันก็ไม่ถึงขนาดนั้น
ให้นึกอย่างนั้นไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ
แต่ถ้าใครคุ้นนึกดวงใสๆ เราก็นึกถึงดวงแก้ว ดวงตะวันใสๆ
หรือเพชรสักเม็ดหนึ่ง นึกให้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เพื่อให้ใจอยู่ที่กลางกายอย่างสบาย
สบาย คือ ต้องไม่ลุ้น ไม่เร่ง ไม่เพ่ง ไม่จ้อง นิ่งเฉยๆ
เราก็ค่อยๆ นึกไปเรื่อยๆ จะเป็นดวง เป็นองค์พระ
หลวงปู่ เราก็นึกเอาอย่างเดียว ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ สบายๆ
แล้วก็รักษาระดับเปลือกตา
อย่าให้ถึงกับปิดสนิท ระดับขนตาชนกัน ปรือๆ ตานิดๆ แต่ก็ไม่ถึงกับเห็นภาพภายนอก
ปรือๆ ตา เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าคลาย แล้วใจก็มานึกอยู่ภายในกลางท้อง ฝึกบ่อยๆ ก็จะคุ้นเคยและก็ชินไปในที่สุด
ถ้านึกแบบสบายๆ เพลินๆ ภาพที่เรานึกก็จะค่อยๆ
ชัดขึ้น เหมือนของที่ไกลๆ ในที่มืดก็ขยับใกล้เข้ามา ทำให้เราเห็นชัดขึ้น จะเป็นดวงใสๆ
ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว เพชร หยดน้ำปลายยอดหญ้า อะไรอย่างนั้น
ถ้าเป็นองค์พระก็เริ่มจากองค์ที่เราเคารพกราบไหว้บูชา
คุ้นเคยกับองค์นั้นก่อน ปางอะไรก็ได้ หรืออิริยาบถใดก็ได้ จะทำด้วยวัสดุอะไรก็ตามใจ
ได้ทั้งนั้น ให้เรานึกอยู่ในกลางท้อง นึกได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นไปก่อน
นึกได้แค่เศียร แต่เศียรไม่ได้เป็นดอกบัวตูม เป็นยอดแหลมๆ ก็ไม่เป็นไร เราก็นึกไปเรื่อยๆ
ถ้านึกไม่ออกตรงเศียร ถ้านึกเห็นหน้าตักท่าน พระหัตถ์ท่านก็เอาอย่างนั้นไปก่อน คุ่มๆ
ค่ำๆ ใจเย็นๆ
นึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่ ใครที่ชอบอย่างนี้
เราก็นึก จะหน้าตรง หรือทั้งองค์ รูปหล่อทองคำของท่านก็ได้ หรือภาพถ่ายก็ได้ เราก็มองดูไปเรื่อยๆ
สบายๆ
แต่บางคน พอนึกไปแล้วไม่ถนัด นึกทีไรก็ตึง
เกร็งทุกที อยากอยู่เฉยๆ มากกว่า ถ้าเราชอบอย่างนี้ เราก็เอาอย่างนี้ แล้วแต่ใจของเรา
แต่จับหลักให้ได้ว่า ต้องกลางท้อง
แต่บางคนพอเริ่มกลางท้องก็ยังไม่คุ้นอยู่ดี จะมาเริ่มต้นที่ปากช่องจมูกก่อนก็ได้
เราจะนึกตรงนั้น จะมีภาพหรือไม่มีภาพก็ได้ แล้วก็ภาวนาสัมมาอะระหังเรื่อยไปเลย แล้วเราก็นึกไปที่หัวตา
หญิงอยู่ข้างซ้าย ชายอยู่ข้างขวา ถ้าไม่มีภาพก็ไม่เป็นไร กำหนดตำแหน่งเอง และสัมมาอะระหังเรื่อยไปสัก
๓ ครั้ง
แล้วก็ซ้อนตาเหลือกค้างขึ้นไป เพื่อให้ความเห็นกลับเข้าไปข้างใน
นึกที่กลางกั๊กศีรษะก็ได้ นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ แล้วก็ค่อยๆ เลื่อนมาที่เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก
แล้วก็มาปากช่องคอ เหนือลูกกระเดือก แล้วก็ค่อยๆ เคลื่อนไปในกลางท้อง แล้วก็ยกถอยหลังขึ้นมาจากสะดือ
๒ นิ้วมือ ทำความคุ้นเคย ๗ ฐานเหล่านี้เอาไว้ ซึ่งเป็นทางเดินของใจ สักวันหนึ่งเราต้องได้ใช้
ตอนมาเกิดเราได้ใช้มาแล้ว เราจะใช้อีกครั้งตอนไปเกิด คือ ตายนั่นแหละ ให้ทำความคุ้นเคยอย่างนี้ก็ได้
ทั้งหมดนั้น แล้วแต่เราเลือกเอานะลูกนะ
อย่าไปสับสน ที่บอกหลายวิธี เพื่อให้จริตแต่ละคน ทำจริตให้มันถูก แม้บางคนไม่ถูกจริตก็ช่าง
ให้จริตมันถูกสักอย่างหนึ่ง
หรืออยากจะนั่งนิ่งๆ เฉยๆ ฐานอะไรต่างๆ ยังไม่อยากคิด
อยากจะนั่งนิ่งๆ เฉยๆ รู้สึกมันสบายกว่า ก็เอา เราก็นั่งนิ่งๆ ภาวนาสัมมาอะระหังเรื่อยไป
บางคนก็อยากนิ่งเฉยๆ ไม่ภาวนา ก็เอาตามใจปรารถนาของเรา
เราก็นั่งนิ่งเฉยๆ แล้วก็ผ่อนคลาย ให้รู้สึกสบาย
สมาธิไม่ยาก
เราทำได้
เห็นไหมจ๊ะว่า การทำสมาธิไม่ได้ยากอะไร ขอให้เรามีเพียงลมหายใจ
กับศูนย์กลางกาย กับสมัครใจจะเข้าถึงความสุขที่แท้จริง ใครต้องการศึกษา อยากแสวงหาพระรัตนตรัยในตัว
อยากพ้นทุกข์ อยากมีสุขนี่แหละ เราก็ทำอย่างนี้
เราเริ่มต้นอย่างง่ายๆ อย่างนี้ไปก่อน แต่เป้าของเราจะเริ่มจากตรงไหนก็แล้วแต่
ต้องไปอยู่กลางท้อง ตรงฐานที่ ๗ ซึ่งมันก็จะเกิดขึ้นอยู่หลายกรณี
เช่น ถ้าเราเริ่มต้นนั่งนิ่งๆ เฉยๆ สบายตรงไหนก็เอาตรงนั้นไปก่อน
แต่พอถูกส่วนมันลงไปฐานที่ ๗ เองก็มี
หรือระดับหนึ่ง เราเกิดความรู้สึกว่า เราสามารถลงไปที่กลางท้อง
เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ฐานที่ ๗ ได้อย่างสบาย เราก็น้อมลงมาเอง
หรือเราทำให้ลงไป ตอนที่เรามีความพร้อม สบายแล้วอยากลง ส่วนภาพที่จะเกิดขึ้นถือเป็นของแถม
ยังไงก็เห็นอยู่แล้ว เพราะมันมีอยู่แล้ว
เรานึกทบทวนดูว่า เราถนัดแบบไหน อย่างไร เรามีทางเลือกเอา
มีหลายทางแต่เป้าของเราอยู่ที่ฐานที่ ๗ เห็นไหมจ๊ะ ว่านั่งสมาธิไม่ได้ยากเลย เราสามารถทำได้ง่ายๆ
ขอให้มีฉันทะ รักที่จะเข้าถึงความสุขที่แท้จริงแค่นั้น
ทีนี้ สมมติเราไม่กำหนดเป็นภาพ เวลานิ่งมันจะสบาย
อย่างนี้ไปก่อน เดี๋ยวตัวก็จะโล่ง โปร่ง เบา สบาย กระทั่งเรารู้สึกชอบประสบการณ์นี้
ไม่เห็นมีภาพอะไรบังเกิดขึ้น แต่เราก็พึงพอใจในระดับหนึ่ง ที่อยากนั่งเฉยๆ แม้ไม่เห็นอะไร
ไม่ทุกข์ใจ ไม่กลุ้ม ขนาดได้ยินเพื่อนคนอื่นเขาเห็นโน่นเห็นนี่ องค์พระ ดวง เรายังไม่กลุ้มเลย
ถ้าอย่างนี้ใช้ได้ ถ้านั่งๆ ไปแล้วรู้สึกเวลาหมดไปเร็วเหลือเกิน ถูกหลักวิชชาแล้ว เห็นไหมจ๊ะว่า
มันไม่ยาก ง่ายๆ ลูกทุกคนทำได้ ถ้าได้ทำ
เรานั่งนิ่งๆ นุ่มๆ เบาสบาย สบายตรงไหน
เอาตรงนั้นไปก่อน เพราะเรารู้แล้วที่หมายเราอยู่ตรงไหน นิ่งๆ เฉยๆ
พอดูไปในท้องทีไร อดกดลูกนัยน์ตาดูไม่ได้ เราจะยังไม่ไปตรงนั้นก่อน
เราจะนั่งประหนึ่งว่า เราเป็นศูนย์กลางของสรรพสัตว์ และสรรพสิ่งทั้งหลาย ศูนย์กลางของโลกและจักรวาล
เหมือนเราอยู่ในกลางของกลาง ไม่คำนึงถึงฐานที่ ๗ เพราะยังไงเราไปตรงนั้นได้แน่ๆ แต่ตอนนี้ไม่คำนึงถึง
เห็นไหมจ๊ะ ก็ไม่ยากอีกเหมือนกัน เราสามารถเริ่มจากตรงนี้ได้ นิ่งๆ สบายๆ
อยากภาวนาก็ภาวนา
ไม่อยากภาวนาก็ไม่ต้องภาวนา
ถ้าจะฟุ้งคิดเรื่องอื่น
ก็เผยอเปลือกตาขึ้นมานิดหนึ่ง กะคะเนว่า หายฟุ้งเอาใหม่ เริ่มใหม่ สลับกันไปอย่างนี้แหละ
เมื่อยเราก็ขยับ หรืออยากจะลองเอาชนะมัน เพื่อให้ได้ขันติบารมีก็ลองฝืนดู
ไม่สนใจมัน จะปวดจะเมื่อยก็เป็นเรื่องของกล้ามเนื้อ เราเฉยๆ เพราะใกล้ๆ วันตาย เราจะเจ็บจะปวดกว่านี้
หรือไปอบายหนักกว่านี้เข้าไปอีก เพราะฉะนั้นเมื่อยแค่นี้ ทนไม่ได้ ก็ให้มันรู้ไป ถ้าเราชอบอย่างนี้ก็เอา
หรือว่าเอายืดหยุ่น เอาผ่อนคลาย ถ้าเมื่อยก็ขยับอย่างนี้ก็ได้
เห็นไหมจ๊ะว่า สมาธิทำได้ทุกคน ลูกทุกคนทำได้ แล้วทำได้ดีด้วย
ขอให้ได้ทำเท่านั้น เรานั่งอยู่ตรงไหนก็ได้ ในบ้าน นอกบ้าน หน้าบ้าน ระหว่างงาน ที่ทำงาน
ในรถ ในยานพาหนะ ถึงที่ทำงาน หรือถึงที่เราจะไปซื้อข้าวซื้อของ ทำได้ตลอดเวลาเลย
สมาธิจะก้าวหน้าแบบไม่รู้ตัว
การทำอย่างนี้ดูเหมือนไม่มีอะไรก้าวหน้า แต่จริงๆ
แล้วมันก้าวหน้าเพิ่มขึ้นทุกวันอย่างที่เราไม่รู้ตัว สมาธิจะถูกเก็บคะแนนสั่งสมเพิ่มเติมเอาไว้ให้กับเราทุกคน
กระทั่งถึงวันแห่งความสว่างของเรา วันแห่งความสมปรารถนาก็จะเกิดขึ้น แล้ววันนั้นเราจะดีใจปนพิศวงใจว่า
คนอย่างเราทำได้กับเขาเหมือนกันหรือ
จากมืดๆ มาสว่าง จากสว่างมาเห็นดวงใสๆ
ที่เรายอมรับว่า เราเห็นจริงๆ องค์พระใสๆ เห็นตัวเองใสๆ เห็นตัวเอง ในวัยเจริญ นั่งอยู่ภายใน
ในอิริยาบถที่สงบเสงี่ยม สง่างาม เป็นท่านั่งของพระอริยเจ้า ผู้ที่เหนือทุกข์มีสันติสุขภายใน
เราจะมีความปลื้มปีติ อัศจรรย์ตัวเองว่า คนอย่างเราก็ทำได้
แล้วความภาคภูมิใจก็จะบังเกิดขึ้น
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา เราก็มีที่พึ่งที่ระลึกภายในแล้ว คือ ใจจะเป็นกลางๆ ไม่ว่าสถานการณ์ของโลกหรือสิ่งแวดล้อมจะขึ้นจะลงอะไรก็แล้วแต่
แต่ใจจะว่างๆ นิ่งๆ สุขอยู่ข้างใน เห็นแสงสว่างภายใน เห็นดวงธรรมใสๆ เห็นองค์พระใสๆ
เป็นป้อม เป็นค่าย เป็นหลุมหลบภัยให้กับเรา สงบ นิ่งๆ เย็นๆ
ทำได้อย่างนี้ การมาเกิดคราวนี้เราสมหวังแล้ว
เป้าที่เราจะไปพักกลางทางดุสิตบุรีก็อยู่ในกำมือของเราว่า คนอย่างเราก็ทำกับเขาได้เหมือนกัน
แล้วก็จะเป็นการเตรียมตัวเตรียมใจที่ดีที่สุด พร้อมเสมอสำหรับที่จะเดินทางไปสู่ปรโลก
ออกจากกายมนุษย์หยาบนี้ ใจก็จะสบาย เบิกบาน
นี่คือสิ่งที่ลูกทุกคนต้องเอาใจใส่ ให้ความสำคัญ
ฝึกฝน อย่าทอดธุระ ไม่ว่าจะมีภารกิจมากแค่ไหนก็ตาม
อย่าท้อใจ ในกรณีที่ยังไม่นิ่ง
ยังฟุ้ง ยังมืด ยังไม่เห็นอะไร ทำไปเรื่อยๆ แหละ ถ้าเราสบาย ถูกหลักวิชชาดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
ลูกก็จะกำความสมปรารถนาเกินล้านเปอร์เซ็นต์ ต้องได้ทุกคน ลูกทุกคนสามารถทำได้
เวลาที่เหลืออยู่นี้เราทดลองทำดู เรารวมใจนิ่ง
เบา สบาย จะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อนก็เอา แต่เป้าอยู่ที่ฐานที่ ๗ ถ้าใครสามารถไปวางตรงนั้นได้เลยก็เอา
วางเลย ถ้าใครยังไปตรงนั้นไม่ได้ เพราะอดกดลูกนัยน์ตาดูไม่ได้ ก็เริ่มอย่างที่ได้กล่าวมาตั้งแต่เบื้องต้นนั่นแหละ
ให้มีความรู้สึกว่า สมาธิไม่ยาก เราทำได้
และเริ่มอย่างนั้นไปก่อน ให้ระบบประสาทกล้ามเนื้อคลี่คลาย จนกระทั่งสอดประสานกับใจที่นิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ สบาย ลองทำกันดูนะลูกนะ
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565