ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต
วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ( ๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น. )
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
การหลับตา
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ
หลับตาเบาๆ
พอสบายๆ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับเบาๆ แค่ขนตาชนกัน ปรือๆ นิดๆ
สบายๆ ลองปรับเปลือกตาหาจุดที่เรารู้สึกว่า สบาย ตรงนี้สำคัญนะ เพราะต่อจากนี้ไป เราจะไม่ได้ใช้ลูกนัยน์ตาเลย
ไม่เกี่ยวกับลูกนัยย์ตาเลย
ดังนั้น ไม่ต้องไปบีบเปลือกตา อย่าไปกดลูกนัยน์ตา
แต่ให้หลับตาเบาๆ เพื่อที่ว่าระบบประสาทกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าจะได้ผ่อนคลาย ถ้าระบบประสาทกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าผ่อนคลาย ที่ศีรษะ
ลำคอ ลำตัว ทั้งเนื้อ ทั้งตัวก็จะพลอยผ่อนคลายไปด้วย ตรงนี้จึงสำคัญนะจ๊ะ
ให้หลับตาสบายๆ ที่เคยบอก ให้นั่งหน้ายิ้มๆ หลับตาพริ้มๆ
นั่นแหละ เหมือนเราประสบความสำเร็จอะไรสักอย่างหนึ่ง หลับตาด้วยความรู้สึกอย่างนั้น
หลับตาพริ้มๆ นั่งหน้ายิ้มๆ แล้วมันจะผ่อนคลายไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต
แล้วก็ทำใจให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ให้มีปีติใจว่า เรากำลังจะทำในสิ่งที่ดีที่สุด
คือ การฝึกใจให้หยุดนิ่งอยู่ภายใน เดินตามรอยของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อแสวงหาพระรัตนตรัยในตัว
ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดของเราทั้งหลาย สิ่งอื่นไม่ใช่ ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดวันหนึ่งในชีวิตของเรา
เมื่อเราหลับตาเบาๆ ผ่อนคลาย สบาย
แสวงหาพระรัตนตรัยในตัว นี่คือช่วงเวลาของชีวิตที่ดีที่สุด ดีกว่าการประสบความสำเร็จในทางโลก
ในธุรกิจการงานต่างๆ เพราะความสำเร็จของสิ่งเหล่านั้น ยังไม่ได้ให้เราเกิดความรู้สึกพึงพอใจสูงสุด
จนไม่ปรารถนาสิ่งใดต่อไป
กลับตรงกันข้าม เมื่อประสบความสำเร็จในชีวิต
ในธุรกิจการงานระดับนี้ เราก็อยากก้าวต่อไปเรื่อยๆ เหมือนวิ่งตามเงา เพราะฉะนั้นมันก็ไม่มีวันสิ้นสุด
อาจจะถือได้แค่เป็นเพียงช่วงเวลาช่วงหนึ่งของชีวิตเท่านั้นเอง แต่ดีที่สุดคือช่วงนี้แหละ
การแสวงหาอริยทรัพย์ภายในยิ่งใหญ่กว่าการหาโลกียทรัพย์ภายนอก
แล้วก็จะให้ความพึงพอใจอันสูงสุด จนกระทั่งไม่ปรารถนาสิ่งใดอีกเลย จะมีแต่ความรู้สึกอยากจะให้สิ่งดีๆ
กับเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย
วางใจ
เพราะฉะนั้น ตอนนี้ทำตัวของเราให้สบาย
ทำใจของเราให้มาหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือนะจ๊ะ
นึกถึงบุญ
แล้วก็นึกถึงบุญทุกบุญที่เราทำผ่านมา
ให้ติดเป็นนิสัย ไม่ว่าบุญเล็ก บุญปานกลาง บุญใหญ่ หรือบุญอะไรก็ตาม มารวมเป็นดวงบุญใสๆ
อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของเรา ในกลางท้องระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒
นิ้วมือ
เป็นดวงบุญใสๆ เหมือนกับเพชรที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิเลย กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
แต่ว่าใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ เย็นสบายอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ของเรา
ให้ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ตรงกลางความใสของดวงใสๆ
อย่างสบายๆ ไม่ชัดก็ไม่เป็นไร ให้มีความรู้สึกว่า ในกลางท้องมีดวงบุญดังกล่าวอยู่ เหมือนของที่ตั้งอยู่ไกลๆ
ในที่สลัวอย่างนั้นไปก่อน
พอเราใจนิ่งถูกส่วน มันก็เหมือนของนั้นถูกดึงเข้ามาใกล้ในที่สว่าง
จนกระทั่งเห็นเป็นดวงใสบริสุทธิ์ กลมรอบตัวจะขนาดไหนก็ได้ อย่างเล็ก ขนาดดวงดาวในอากาศ
อย่างกลาง ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือใหญ่กว่านั้น
หรืออาจจะโตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ก็ได้ แต่ว่าใสบริสุทธิ์สว่างเจิดจ้า ใส เย็น
เหมือนแสงจันทร์ หยุดนิ่งไปเรื่อยๆ เบาๆ สบายๆ
บริกรรมภาวนา
ถ้าใจจะแวบไปคิดเรื่องอื่น เราก็ประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนา
สัมมาอะระหังๆๆ ดังออกมาจากในกลางท้องของเราเบาๆ สม่ำเสมอ ไม่เร็ว ไม่ช้านัก เหมือนเป็นเสียงแห่งความบริสุทธิ์
ที่ออกมาจากแหล่งแห่งความบริสุทธิ์ภายใน ซึ่งเป็นแหล่งที่มีอานุภาพไม่มีประมาณของพระรัตนตรัย
ภาวนาอย่างนั้นเรื่อยไปเลย จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง
เมื่อหยุดใจได้แล้ว ต่อจากนั้นเราไม่ต้องใช้คำภาวนา
สัมมาอะระหัง อีกต่อไป เพราะว่าถึงฝั่งแห่งคำภาวนาแล้ว คือ ใจหยุดนิ่ง จนกระทั่งเห็นดวงใส
ฝึกแปะดวงไว้กลางกาย
เมื่อเห็นดวงใสแล้ว
ต่อจากนั้นก็ฝึกให้ชำนาญ ให้คล่อง ต้องทำบ่อยๆ ทำทั้งวัน ทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน
เดิน ทำ ๒ เวลา คือ หลับตาครั้งหนึ่ง ลืมตาอีกครั้งหนึ่ง ช่วงไหนหลับตา เราก็ทำ ช่วงไหนลืมตา
เราก็นึก กระทั่งหลับตาลืมตาเห็นชัดใสแจ่มได้เท่ากัน หลับตาก็เห็นชัดใสสว่าง ลืมตาก็เห็นชัดใสสว่างอยู่ตรงกลางท้อง
กลางกายฐานที่ ๗
กระทั่งเหมือนเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย
ไม่ว่าเราจะหกคะเมนตีลังกา เหมือนเอาภาพนี้ไปแปะติดไว้ด้วยกาวอย่างดี
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เห็นชัดอยู่ตลอดเวลา จะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน
จะรับประทานอาหาร ดื่มน้ำ จะพูด จะคุย เข้าห้องน้ำขับถ่าย ไม่เป็นบาป นึกได้ตลอดเวลา
เพราะเรากำลังสร้างบุญ ด้วยการทำจิตให้เป็นกุศล บริสุทธิ์
หรือออกไปทำธุรกิจการงาน การศึกษา เรียนหนังสือ
เราก็เรียนไป แต่ใจเราก็จะหยุดนิ่งอยู่ภายใน ทำงานเราก็ทำไป ใจก็หยุดนิ่งๆ มีที่พักผ่อนหย่อนใจอยู่ที่ตรงนี้
ซึ่งมันก็จะสอดคล้องกันในทุกๆ กิจกรรม โดยไม่ขัดแย้งกันเลย ไม่ฝืนเลย
เหมือนการขับรถนั่นแหละ เราใช้ทุกส่วนของร่างกาย
ทั้งมือซ้าย มือขวา เท้าซ้าย เท้าขวา ดวงตาดูรถ ดูในกระจก หูฟังเสียง จมูกหายใจ ปากพูดคุย
ขบเคี้ยวอะไรต่างๆ ใจก็นึกคิด เห็นไหมจ๊ะว่า เราสามารถทำได้ในเวลาเดียวกัน จะหลบจะหลีกรถราที่สวนมา
ที่แซงไป หรือเราแซงเขา เราหลีกซ้าย หลีกขวา จะชะลอ จะหยุด อะไรต่างๆ เราก็ทำได้ทั้งนั้นในเวลาเดียวกัน
โดยที่ไม่ขัดเขินเลย ทุกอย่างสอดคล้องกลมกลืนกันไปหมด ก็ต้องฝึกให้ได้อย่างนี้
ใจที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้
ซึ่งถ้าได้ฝึกจนกระทั่งถึง
ณ จุดตรงนี้แล้ว เราก็จะมีความสุขเป็นพื้นฐานของชีวิต เพราะความสุขจะเกิดขึ้นเมื่อใจหยุดนิ่งอย่างเดียวเท่านั้น
ตรงกับพระบาลีว่า นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นนอกจากหยุดจากนิ่งไม่มี เพราะฉะนั้นใจหยุดนิ่งกระทั่งเห็นดวงใสแปะติดไว้กลางท้องได้
แปลว่า พื้นฐานชีวิตในทุกๆ กิจกรรม เรามีความสุขเป็นฐานของใจ
ความคิดที่คิดออกมาจากช่วงอารมณ์แห่งความสุข
ความคิดจะแจ่มใส คิดแต่เรื่องดีๆ วินิจฉัยก็ผิดพลาดน้อย เพราะดวงปัญญาเกิดขึ้น รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาต่างๆ
ได้อย่างไร จะเริ่มต้นการแก้ปัญหาที่ตรงไหนก่อน จะจัดระบบระเบียบความคิด เรียงลำดับการแก้ไขปัญหา
จะพูด จะคุย หรือจะทำอะไรต่างๆ ก็มาจากพื้นฐานของใจที่สงบสุข ใสเย็นสบาย คิดดี
พูดดี ทำดี สิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้นกับตัวเราและสิ่งแวดล้อม
เพราะฉะนั้น ตรงนี้เป็นจุดที่สำคัญ จะแก้ปัญหาได้ทุกสิ่ง
ถ้าใจมีความสุขอยู่ภายในและมีความบริสุทธิ์ในเบื้องต้นระดับหนึ่งเป็นฐาน
ใจที่บริสุทธิ์ในระดับหนึ่งก็จะพลอยทำให้ความคิด คำพูด และการกระทำ บริสุทธิ์ตามไปด้วย
บุคคลต้นแบบ
วิธีดับทุกข์ หรือวิธีแก้ปัญหาของชีวิตที่ดีที่สุด
โดยมีต้นแบบ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านผ่านชีวิตทางโลกมามาก ในขบวนผู้ที่ประสบความสำเร็จ
หรือมีความสุขทางโลก คือการเสวยกามสุข ท่านเป็นเลิศกว่าใครๆ ในโลก
ตั้งแต่ยังเยาว์วัย ท่านเป็นสุขุมาลชาติ มีปราสาท
๓ ฤดู แต่ละปราสาทนั้นมีแต่สตรี ไม่มีบุรุษเลย มีอำนาจ มีวาสนา มีบริวาร มีดวงปัญญา
มีรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ เป็นถึงองค์รัชทายาทของกบิลพัสดุ์ มีครอบครัวที่ดี
มเหสีเป็นเลิศ พระโอรสก็เป็นเลิศ แปลว่าที่สุดแห่งความปรารถนาทางโลกที่ใครๆ
อยากได้ ท่านก็ได้มาแล้ว
แต่ท่านก็ยังมองเห็นปัญหาของชีวิต ที่แม้เต็มไปด้วยกามสุข
เป็นสุขุมาลชาติ ก็ยังมีปัญหาชีวิตอยู่ เศรษฐีก็มีปัญหาแบบเศรษฐี
พระราชาก็มีปัญหาแบบพระราชา ชนชั้นกลาง ชั้นล่างก็มีปัญหา แปลว่า มีปัญหาทุกครอบครัว
ตั้งแต่ปัญหาประจำตัว กระทั่งปัญหาที่จรมา
ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงแสวงหาทางออกของชีวิต
คิดที่จะแก้ปัญหาชีวิต ดับทุกข์ได้ หรือสลัดตนให้พ้นจากกองทุกข์
ด้วยการปลีกตัวออกบวช ถ้ามันมีสุข เป็นบรมสุข
ท่านก็คงไม่ออกบวช
เพราะว่ามันมีทุกข์อยู่ ที่ใครๆ มองไม่เห็น
แต่ท่านมองเห็นด้วยดวงปัญญาของท่าน ทุกข์ที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ประสบสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก
ปรารถนาสิ่งใดก็ไม่ใช่ว่าจะได้สิ่งนั้นทั้งหมด หรือการพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก
จะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ล้วนนำมาซึ่งความทุกข์ทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น จึงเลือกแสวงหาทางออก ด้วยการออกบวช
จะได้มีเวลาว่างเอาไว้สำหรับศึกษาค้นคว้าวิธีที่จะดับทุกข์ และในที่สุดก็พบว่า ต้องนั่งสมาธิอย่างเดียว
ต้องไม่ผูกพันต่อสิ่งใด ไม่ยึดมั่นถือมั่น ในคนสัตว์สิ่งของว่าเป็นตัวเรา หรือของๆ
เรา เพราะความจริงมันไม่ใช่
แล้วก็ไปนั่งที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในอิริยาบถของผู้ที่แสวงหาทางหลุดพ้น
ประสบความสำเร็จในการสลัดตนให้พ้นจากกองทุกข์ พ้นจากกิเลสอาสวะ ทำพระนิพพานให้แจ้งได้
ด้วยอิริยาบถทำสมาธิ
แปลว่า สมาธินี่แหละ สามารถแก้ปัญหาทุกๆ
ปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกได้ สิ่งอื่นไม่ใช่ จะแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นๆ นั้นแก้ไม่ได้ จะแก้ได้ก็มีทางเดียว
คือ ทำใจของตน หรือของทุกๆ คน ที่วิ่งไปตามความทะยานอยาก ที่ไม่ประกอบไปด้วยปัญญา ประกอบไปด้วยความเพลิน
กลับมาหยุดนิ่งๆ อยู่ภายในตัว ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละ เป็นวิธีแก้ปัญหา
ที่มันผูกติดเอาไว้กับใจ
ทุกข์เกิดขึ้นที่ใจ ก็ต้องแก้ที่ใจ ไฟคือความเร่าร้อน
เมื่อมันเกิดขึ้นที่ใจ ไม่ว่าจะไฟราคะ โทสะ หรือโมหะ เกิดขึ้นแล้ว มันก็ต้องดับที่ใจ
เหตุมันเกิดตรงไหน มันก็ต้องดับตรงนั้น ไฟไหม้ที่หัวไม้ขีด ก่อนที่จะลุกลามไปไหม้บ้าน
ไหม้ช่อง ไหม้เรือน มันก็ต้องดับที่หัวไม้ขีดตรงนั้นเพราะฉะนั้น ท่านก็จะใช้วิธีอย่างนี้
หนามหยอกเอาหนามบ่ง เมื่อไฟคือความทุกข์ทรมานชีวิต เผารนใจให้เร่าร้อน ก็ต้องดับที่ใจ
มันร้อนด้วยความอยาก ดับก็ต้องด้วยความหยุด
นี่แหละ เราถึงต้องมานั่งสมาธิกัน เป็นทางออกของชีวิตที่ดีที่สุด
ด้วยการหยุดนิ่ง ไม่มีวิธีใดในโลกจะดีเท่านี้ หรือเกินไปกว่านี้
หยุดนี่แหละจึงจะเป็นตัวสำเร็จ ที่ดับทุกข์ได้
สลัดตนพ้นจากกองทุกข์ได้ ทำพระนิพพานให้แจ้งได้ เข้าถึงพระรัตนตรัยได้ ทำให้เข้าใจเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตได้
ศึกษาเรื่องภพภูมิ การเวียนว่าย ตายเกิดได้ ถ้าเรียนรู้เรื่องนิพพาน ภพ ๓ โลกันต์ อะไรต่างๆ
ก็เรียนรู้ได้ เรื่องภพ เรื่องชาติอะไรต่างๆ เหล่านี้ เป็นต้น หรือจะเสวยสุขให้มันยิ่งๆ
ขึ้นไปก็ได้ หยุดนี่แหละจึงเป็นตัวสำเร็จ ที่จะให้บังเกิดสิ่งดีๆ ขึ้น แก้ปัญหาได้
เพราะฉะนั้น ช่วงเวลานี้ คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตเรา
ในทุกครั้งที่หลับตาเจริญสมาธิภาวนา เมื่อเราหยุดใจได้ถึงระดับดวงธรรม ติดอยู่ที่กลางกายได้ตลอดเวลาแล้ว
ก็ฝึกต่อไป ด้วยวิธีเดิมนั่นแหละ วิธีเดียว ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด คือหยุดนิ่งต่อไปในกลางดวงนั้น
เข้าไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเราก็เห็นเองไปตามลำดับ
เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่แล้วในตัว
เหมือนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ในอากาศ มันก็มีอยู่แล้ว แค่เพียงเราลืมตา แล้วก็มองไปตรงที่มีนั่นแหละ
เราก็จะเห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวบนท้องฟ้าได้
เมื่อเราปิดตานอก
เปิดตาใน จิตใจสบาย กระทั่งความสว่างเกิดขึ้น เดี๋ยวเราก็เห็นสิ่งที่มีอยู่ในตัว จะเป็นดวงธรรม
จะเป็นกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม หรือว่า กายธรรม กายแห่งการตรัสรู้ธรรม
เราก็สามารถเห็นได้ เข้าถึงได้
จะทำให้เรารู้จักว่า ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
มีเพียง ๓ อย่าง คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ๓ อย่างนี้ อุดมไปด้วยบุญกุศล บารมีต่างๆ
รวมอยู่ใน ๓ อย่างนี้แหละในพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ คือ ธรรมกาย
พุทธรัตนะ คือ ธรรมกาย
ธรรมรัตนะ จะเป็นดวงธรรมใสๆ
อยู่ในกลางพุทธรัตนะ
สังฆรัตนะ ก็คือธรรมกายละเอียด
ซ้อนอยู่ในกลางธรรมรัตนะ
อยู่ที่เดียวกัน ซ้อนกันอยู่ภายใน
ทำหน้าที่กันคนละอย่าง สิ่งอื่นไม่ใช่ พอถึงตรงนี้แล้วเราก็มีความรู้สึกว่า เราเป็นชาวพุทธก็จะสมบูรณ์ขึ้น
วัฒนธรรมชาวพุทธจะเกิดขึ้นมาจากตรงนี้ ตรงที่เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว จะบังเกิดขึ้นมาเอง
แล้วมหากรุณาก็จะเกิดขึ้น คือ อยากให้ทุกคนในโลก ได้เป็นอย่างที่เราเป็น ได้เข้าถึงอย่างที่เราเข้าถึง
ได้เห็นอย่างที่เราได้เห็น ได้มีความสุขอย่างที่เรามี มันก็จะเกิดขึ้นมาเองเป็นอัตโนมัติ
การทำหน้าผู้นำบุญหรือยอดกัลยาณมิตรจะเกิดขึ้นจากความสมัครใจ
มีความรัก มีฉันทะ เกิดขึ้น วิริยะ ความเพียร ขยันก็ตามมา ใจจดจ่ออะไรต่างๆ เหล่านั้น
มันก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
ใจหยุดเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะฉะนั้น ใจหยุดเป็นเรื่องสำคัญ ที่ลูกทุกคนจะมองผ่านไปไม่ได้
จะไม่ให้ความสำคัญต่อสิ่งนี้ก็ไม่ได้ เพราะว่าเราได้ทิ้งช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตไป
ถ้าเราไม่เจริญสมาธิภาวนา เราได้ทิ้งสิ่งดีๆ สำหรับชีวิตไปแล้ว การหายใจเข้าออกก็หายใจฟรี
มีชีวิตอยู่ก็เหมือนคนที่ตายแล้ว คือมันไม่เกิดประโยชน์อะไรสำหรับชีวิตของเรา
การที่เราหลับตาเจริญสมาธิภาวนา
เรากำลังทำสิ่งที่ดีที่สุด มีประโยชน์ที่สุดสำหรับตัวเราและชาวโลก ด้วยการประหยัดที่สุด คือ ไม่ต้องเสียเงินเลย ดังนั้นจงให้ความสำคัญต่อตรงนี้นะลูกนะ
แล้วเราจะเป็นคนที่นั่งเป็นสุข ยืนเป็นสุข เดินเป็นสุข แล้วก็นอนหลับอย่างเป็นสุข
เมื่อถึงคราวหมดอายุขัยก็จะจากโลกนี้ไปอย่างสง่างาม
ด้วยความรู้สึกที่เหนือความกลัวตาย หรือไม่กลัวตาย แต่อุดมไปด้วยความสุข สดชื่น
เบิกบาน จากโลกนี้ไปอย่างปลอดภัย แล้วก็มีชัยชนะ สง่างาม มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ดวงตาก็จะปิดสนิท
เหมือนแค่นอนหลับตาทำสมาธิภาวนาไปเท่านั้น
และภาพนี้ก็จะเป็นแรงบันดาลใจ
ให้กับหมู่ญาติหรือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับเรา ได้มีกำลังใจที่จะดำเนินรอยตาม
ส่วนเราก็ไปสู่เทวโลก โดยเฉพาะเราผูกพันไว้กับที่พักกลางทาง
ที่ดุสิตบุรีวงบุญพิเศษ เขตบรมโพธิสัตว์ เราก็จะไปสู่ ณ แดนนั้น อย่างสะดวกสบาย
อย่างง่ายดาย
แวดล้อมไปด้วยบริวารสมบัติ ที่เกิดขึ้นจากบุญที่เราทำเอาไว้อย่างดีแล้ว
เสวยสุขอยู่ในเทวโลก แล้วก็ไปปฏิบัติภารกิจ
สะสางธาตุธรรมของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ต่อไป
เพื่อที่จะเตรียมตัวลงมาปฏิบัติภารกิจในกายมนุษย์อีก
เพราะฉะนั้น การทำสมาธินี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
อย่าให้วันเวลามันผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เรามาเกิดในโลกนี้ยากกว่าชีวิตอื่นทั่วๆ
ไป เพราะเรามาเกิดเพื่อปฏิบัติภารกิจที่จะปราบมาร ประหารกิเลส ให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ
มาเกิดยาก แต่ตายง่าย
เพราะพญามารกลัวกายมนุษย์ของผู้รู้ ที่เข้าใจเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตนี้
กลัวกายมนุษย์ที่ใจหยุดนิ่งอยู่ที่กลางกายได้
ฝึกสังเกตในทุกอิริยาบถ
เพราะฉะนั้น ใจหยุดสำคัญนะลูกนะ ฝึกไปเรื่อยๆ
อย่าทอดทิ้งธุระ จะทำภารกิจอะไรก็ทำไปเถิด จะทำมาหากิน จะครองเรือน จะเรียนหนังสือเราก็ทำไปเถอะ
แต่การปฏิบัติธรรมต้องควบคู่กันไปในทุกลมหายใจเข้าออก แล้วก็ปรับปรุง
ให้หมั่นสังเกตว่า เราวางใจอย่างไร หลับตาอย่างไร
ผ่อนคลายกล้ามเนื้ออย่างไร ถูกหลักวิชชาที่เคยได้ยิน ได้ฟังมาไหม ทำไมวันนี้เราได้ผล
แต่ทำไมอีกวันจึงไม่ได้ผล หรือทำไมวันนี้เราดีกว่าเมื่อวานนี้ หรือเมื่อวานนี้ดีกว่าวันนี้
ก็ต้องหมั่นสังเกตไปเรื่อยๆ ฝึกฝนไป แล้วก็หมั่นสังเกตในทุกๆ อิริยาบถ ผู้แสวงหาเท่านั้นจึงจะเป็นผู้ค้นพบ
เพราะฉะนั้นเราแสวงหาทุกอิริยาบถ ปรับปรุงวิธีการของเรา เดี๋ยวเราก็พบจนได้
หมั่นตอกย้ำเป้าหมายมโนปณิธาน
เมื่อเราตัดสินใจที่จะเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด
คือ เดินตามรอยของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเดินตามรอยของมหาปูชนียาจารย์ คือ
พระเดชพระคุณหลวงปู่ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย เป็นต้น เมื่อเราเลือกที่จะเป็นสิ่งนี้ หรือไปสู่สิ่งนี้
ตัดสินใจว่าสิ่งนี้ คือ สิ่งที่ดีที่สุด เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด ให้ถูกหลักวิชชา
ท่านทำอย่างไร เราก็ต้องทำอย่างนั้น แล้วสักวันหนึ่งท่านเป็นอย่างไร เราก็จะเป็นอย่างนั้น
ให้หมั่นเตือนตัวของเราทุกๆ
วันอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าเราจะมีภารกิจมากน้อยแค่ไหน ร่างกายที่เจ็บป่วยไข้ สถานการณ์ของโลกจะเป็นอย่างไร
ก็อย่าไปหวั่นไหว อย่าทิ้งความตั้งใจที่ดีนี้
เราอยากจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด อยากจะเดินตามรอยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อยากจะเดินตามรอยมหาปูชนียาจารย์ ก็ต้องศึกษาเรียนรู้ว่า ท่านทำอย่างไร แล้วเราก็จะได้ทำอย่างนั้น
แล้วก็ทบทวนทุกๆ วันว่า เราทำอย่างนั้นจริงๆ
หรือเปล่า กี่เปอร์เซ็นต์ แล้วก็หมั่นสังเกต หมั่นทบทวน ตรวจตราทุกวัน
แล้วเราก็จะพบช่องทางแห่งความสำเร็จ และก้าวไปสู่ความสำเร็จนั้นได้ อย่างง่ายดาย ความสำเร็จนั้นก็อยู่ในกำมือของเราล้านเปอร์เซ็นต์
เพราะฉะนั้น ให้บอกกับตัวของเราเองทุกวันว่า
เราอยากจะเป็นสิ่งนี้ ก็จงเป็นสิ่งนี้ให้ได้ และเป็นให้ดีที่สุด ด้วยการทำให้ดีที่สุด
ในทุกๆ ลมหายใจเข้าออก ทุกอิริยาบถ ทั้งหลับตา ลืมตา นั่งนอนยืนเดินอย่างนี้ ฝึกกันไปเรื่อยๆ
ถ้าลูกทุกคนทำได้อย่างนี้ก็จะสมหวังดังใจกันนะจ๊ะ
เวลาที่เหลืออยู่นี้ก็ทำความเพียรกันไป ฝึกใจให้หยุด นิ่งๆ สบายๆ ให้ใจใสๆ
ให้ใสบริสุทธิ์กันทุกๆ คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565