หลักสูตรชีวิตหมองกับใส
วันอาทิตย์ที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ( ๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น. )
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ หลับตาเบาๆ
พอสบายๆ
ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรา ตั้งแต่กล้ามเนื้อบนใบหน้า
ศีรษะ ลำคอ ทั้งเนื้อทั้งตัว ถึงปลายนิ้วมือนิ้วเท้าของเรานะจ๊ะ
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด
บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ให้ปล่อย
ให้วาง ให้คลายความผูกพันกับทุกสิ่ง คนสัตว์สิ่งของ ดินอากาศฟ้า อากาศจะร้อนอบอ้าว
ที่นั่งไม่นุ่มนวลเหมือนอยู่ที่บ้านก็ตาม ลืมไปก่อน ตัดใจไป อย่าไปสนใจนะจ๊ะ
เป็นการฝึกตัวของเราให้พร้อมเสมอ สำหรับทุกสิ่งที่เราจะเจอ
โดยเฉพาะมรณภัยที่ไม่มีนิมิตหมาย ไม่ใช่ว่าจะทำให้เราเฉาชีวิต แต่เพื่อความไม่ประมาท
ซึ่งเป็นคำสอนของบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ว่า ความตายไม่มีนิมิตหมาย เวลาในเมืองมนุษย์สั้นนัก
มาเกิดก็เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง สลัดตนให้พ้นจากกองทุกข์ อย่างน้อยก็แสวงบุญสร้างบารมี
นี่คือวัตถุประสงค์ของชีวิต
เพราะฉะนั้น
เราฝึกกันทุกวันเลย ฝึกหัดตัดใจ อย่าไปกังวลกับสิ่งแวดล้อมจนเกินไป
จนทำให้สูญเสียความสงบของใจ
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นที่เกิด ที่ดับ
ที่หลับ ที่ตื่น
เราก็ผ่อนคลาย ปล่อยใจของเราให้อยู่ภายในตัว
ฝึกให้คุ้นเคยกับศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่น
มาเกิด ก็มาตรงนี้
โดยเข้าทางปากช่องจมูกของบิดา ไปตามฐานต่างๆ ที่หัวตา หญิงซ้าย ชายข้างขวา กลางกั๊กศีรษะในระดับเดียวกับหัวตา
แล้วก็มาเพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก กลางท้องระดับสะดือ แล้วก็เหนือสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
เมื่อมาเกิด เรามาเป็นกายละเอียด เข้าทางปากช่องจมูกของบิดา
แล้วมาอยู่ที่ฐานที่ ๗ ของบิดา จากนั้นก็ดึงดูดให้ไปหามารดา จะมีความคิดถึงผู้ที่จะทำหน้าที่เป็นมารดา
เพื่อประกอบธาตุธรรมส่วนหยาบ เอาไว้สำหรับหล่อเลี้ยงกายละเอียดของเรา
พอถูกส่วน ก็เคลื่อนจากฐานที่ ๗ ของบิดา ออกไปทางปากช่องจมูก
แล้วเข้าไปสู่ปากช่องจมูกของมารดา ไปตามฐานต่างๆ ดังกล่าว แล้วไปหยุดนิ่งที่ฐานที่
๗ ของมารดา ธาตุหยาบของบิดามารดาที่ประกอบกันถูกส่วน ก็ห่อหุ้มกายละเอียดของเราเอาไว้
เวลามาเกิด เรามาอย่างนี้ เมื่อเราเคลื่อนออกจากครรภ์ของมารดาเป็นกายมนุษย์หยาบ
ไปเกิด พอถึงวันสุดท้ายของชีวิต
ใจเราจะมาอยู่ตรงฐานที่ ๗ แล้วก็เคลื่อนไปตามฐานต่างๆ ออกไปทางปากช่องจมูกของกายมนุษย์หยาบของเรา
เป็นกายละเอียดแสวงหาที่เกิดกันต่อไป ไปเกิด มาเกิด สวนทางกันอย่างนี้
แต่อยู่ที่เดียวกัน คือ ฐานที่ ๗
ที่หลับ คือ เวลาเราจะหลับจริงๆ
ใจมันจะมาอยู่ที่ตรงนี้ ที่ตื่น ก็เริ่มต้นตรงนี้
ต่างแต่ว่ามีสติ หรือว่าไม่มีสติ ถ้ามีสติจะหลับหรือตื่นมันก็สว่างตรงนี้ ถ้าขาดสติมันก็มืด
เกิด ดับ หลับ ตื่น อยู่ตรงที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ทีนี้เราก็ต้องฝึกให้คุ้นเคย
ให้ชำนาญ
หลักสูตรชีวิต หมองกับใส
ตอนนี้เรามาเกิดแล้ว
และกำลังจะไปเกิดใหม่อีก ซึ่งเมื่อไรก็ไม่ทราบ เพราะความตายไม่มีนิมิตหมาย แต่ว่าให้ยึดสูตรของชีวิต
เรื่องความใสกับความหมองของใจ ที่จะทำให้เราเดินทางไปสู่ปรโลกต่างคติกัน
คติหรือหนทางจะไป มี ๒ คติ คือ สุคติ กับ ทุคติ
ถ้าใจใส
เราก็ไปสุคติภูมิ ถ้าใจหมองก็ไปอบายภูมิ ทุคติภูมิ หมองกับใสนี้จึงเป็นสูตรสำเร็จ สูตรชีวิต
ใจจะใสได้ก็ต้องสั่งสมบุญ
ทั้งทาน ศีล ภาวนา หมองก็ทำตรงกันข้าม เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
พูดปด ดื่มสุราเมรัย น้ำเมา อบายมุข เป็นต้น
เมื่อทำไปแล้วจะมีภาพปรากฏ
เรียกว่า กรรมนิมิต มาฉายให้เราเห็น เป็นภาพยนตร์ส่วนตัวของเรา
สรุปงบดุลชีวิต ที่จะทำให้ใจใสหรือหมอง
เพราะฉะนั้น การฝึกใจให้หยุดนิ่ง
เป็นวิธีที่ง่ายตรงลัด ประหยัดสุด ประโยชน์สูง ที่จะทำให้ใจเราใสบริสุทธิ์ตลอดเวลา
เมื่อใจหยุดนิ่งได้ถูกส่วนแล้ว ความสุขก็จะเกิดขึ้น
ความสุขที่แท้จริงซึ่งมีอยู่แล้ว ภายในตัวก็จะเกิดขึ้น ขยายออกมาสู่โลกภายนอก ทำให้เราเข้าถึงดวงธรรมใสๆ
กายภายใน แล้วก็องค์พระภายใน พระธรรมกายเกตุดอกบัวตูม ใส บริสุทธิ์ทีเดียว
สวยงามมาก ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ เป็นที่พึ่งที่ระลึกของเราอย่างแท้จริง
ฝึกใจให้หยุดนิ่งเพื่อให้ไปถึง
ณ ตรงนี้ เพื่อที่จะนำเราข้ามวัฏฏะ หลุดพ้นจากวงจรของทุกข์ ของการเวียนว่ายตายเกิด
การเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร และมีสุขในปัจจุบัน
ดังนั้น เราต้องหมั่นฝึกใจของเราให้หยุดให้นิ่งให้ได้
ถึงวันสุดท้ายของชีวิตไม่ว่าจะกะทันหัน หรือเป็นไปตามขั้นตอนของการเดินทางไปสู่ปรโลก
การเตรียมตัวเตรียมใจหยุดนิ่งให้เข้าถึงพระในตัว จะช่วยให้เรารอดปลอดภัยจากอบาย
ภัยในสังสารวัฏ เดินทางไปอย่างสง่างาม มีความสุข อารมณ์ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวในมรณภัย
หรือภัยใดๆ อยู่เป็นสุขได้ด้วยตัวของตัวเอง ไม่ต้องไปอ้อนวอนใครให้มาช่วยเหลือ
เป็นอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง เหมือนดวงอาทิตย์ที่สว่างด้วยตัวเอง มีพลังอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้น
ต้องหมั่นฝึกฝน ฝึกใจให้หยุดนิ่งทุกวัน อย่าให้ขาดนะจ๊ะ นี่คืองานที่แท้จริงของเรา
ที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในแต่ละภพชาติ เป็นกิจที่เราต้องทำ คือ การฝึกใจให้หยุด
ให้นิ่ง
หยุดนิ่งนี่แหละ จะทำให้กายวาจาใจของเราสะอาด
บริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์จะทำให้เราได้เห็นแจ้ง รู้แจ้ง แทงตลอดในธรรม มีมหากรุณา
รักและปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ เข้าถึงบรมสุข และมีกำลังใจที่จะทำความดียิ่งๆ
ขึ้นไป อีกทั้งจะได้ศึกษาเรียนรู้เรื่องราวของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย
ดังนั้น ต้องให้โอกาสฝึกกันไปทุกวัน ในทุกๆ
สถานการณ์ ไม่ว่าดินอากาศฟ้าจะเป็นอย่างไร สิ่งแวดล้อมจะเป็นอะไรก็ตาม
ร่างกายเราจะเจ็บ ป่วย ไข้ ปวด เมื่อย ก็ต้องฝึกกันไป จะง่วงหาวนอนก็ต้องฝึกไป จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการงานก็ต้องฝึกกันไป
ให้ติดเป็นนิสัยเหมือนการอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน เป็นกิจวัตร โดยที่ไม่ต้องมีใครมาเตือนเรา
เป็นสิ่งสำคัญกว่าสิ่งนั้นมากนัก เพราะมันติดไปในปรโลกได้ กิจวัตรประจำวันติดไปไม่ได้
มันใช้เฉพาะตอนเรามีกายมนุษย์หยาบเท่านั้น
เน้นหยุดกับนิ่ง การเห็นเป็นของแถม
ฝึกไปเรื่อยๆ
เราพร้อมที่จะเป็นนักเรียนอนุบาลในทุกวัน ในทุกครั้ง คือ เริ่มต้นอย่างง่ายๆ
แค่หยุดใจอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ในกลางท้องของเราเบาๆ สบายๆ แม้เบื้องต้น มันจะไม่เห็นผลอย่างที่เราตั้งใจเอาไว้
หรือเคยได้ยินได้ฟังก็ไม่เป็นไร ให้เริ่มต้นอย่างนั้นแหละ
ฝึกหยุด
ฝึกนิ่ง ให้เน้นหยุด เน้นนิ่ง อย่าไปเน้นการเห็นจนเกินไป เห็นให้เป็นของแถม ได้เห็นก็ดี
ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร
เมื่อเราเน้นหยุด เน้นนิ่ง อย่างนี้ใจก็จะค่อยๆ
ละเอียดลงไป นุ่มนวล สงัดจากกาม และบาปอกุศลธรรมทั้งหลาย จะตั้งมั่น เมื่อใจตั้งมั่น
คือ มีอาการคล้ายๆ กับ เราตั้งลำตัวของเราได้ ตั้งแกนใจของเราได้
การเคลื่อนเข้าไปสู่ภายในก็ไม่ยากนะจ๊ะ
ฝึกบ่อยๆ
จะจับจุดได้เอง
เมื่อเราฝึกบ่อยๆ มันจะจับจุดได้ และกายจะตั้งตรงไปเอง
หรืออย่างน้อยก็มีความรู้สึกภายในว่า เราสามารถที่จะตั้งแกนในกลางกายได้ โดยไม่ได้ใช้ดวงตาภายนอก
คล้ายๆ กับมีดวงตาอีกคู่หนึ่งอยู่ภายใน ที่สามารถมองตรงกลางได้อย่างสบาย จะเป็นแกนกลาง
เหมือนเป็นลำขึ้นมาอย่างนั้น ในความรู้สึกนะจ๊ะ
ถ้าเรามาถึง ณ ตรงนี้ได้แล้ว แปลว่า เรากำความสำเร็จเอาไว้ล้านเปอร์เซ็นต์ทีเดียว
หมั่นฝึกอย่างนี้ทุกวันให้ชำนาญ จนกระทั่งจับจุดได้ พอวางอารมณ์อย่างนี้ หลับตาเบาๆ
อย่างนี้ ผ่อนคลายร่างกายอย่างนี้ วางใจอย่างนี้ แกนภายในตัวจะตั้งขึ้นมาได้ แล้วก็รู้สึกว่า
ไม่ยาก แม้ยังไม่เห็นอะไรก็ตาม
ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้แล้ว
เดี๋ยวมันก็จะเป็นไปตามขั้นตอนของความละเอียดของใจ จะค่อยๆ โล่ง โปร่ง เบา สบาย ตัวหาย
ตัวขยาย เป็นต้น หรือหล่นจากที่สูงบ้าง หรือค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน
เมื่อใจหยุดนิ่งเป็นอาการเคลื่อนที่นุ่มนวล แต่มีพลัง เมื่อเรายิ่งนิ่งหนักเข้าก็จะเร็วแรง
จนมันจะฟึ้ดเข้าไปเลย และความสว่างก็จะเกิดขึ้น
ทำตัวเหมือนหุ่นยนต์
หน้าที่ของเรา
คือ หยุดนิ่งเฉยๆ นิ่ง นุ่ม เบา สบาย ทำเพียงแค่นี้ อย่างนี้เท่านั้น ไม่ต้องไปวิเคราะห์
วิจัย วิจารณ์ ประสบการณ์ภายใน อย่าเพิ่งไปแสวงหาความรู้หรือคำตอบว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนี้
มันคืออะไร อย่างไร ถูกต้องไหม คิดไปเองหรือเปล่า ทำตัวเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีมันสมอง
นิ่งเฉยๆ นุ่มๆ เบา สบาย ตักตวงความสุขที่เพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ตักตวงความบริสุทธิ์ของใจ
เพิ่มไปเรื่อยๆ
ใจก็จะค่อยๆ
ตั้งมั่นมั่นคง เดี๋ยวเราก็เข้าถึงสิ่งที่มีอยู่ในตัวของเราได้อย่างง่ายๆ ตั้งแต่เห็นดวงธรรม
เห็นกายภายใน หรือพระธรรมกายภายใน เพราะสิ่งนี้มีอยู่แล้ว มีอยู่ตลอดเวลา
อยู่ในตัวของเรานี่แหละ แต่เราไม่รู้ว่า มันมีอยู่ แล้วก็ไม่เฉลียวใจด้วย และมีอยู่ในตัวของทุกคนในโลก
ขึ้นชื่อว่า มีมนุษย์ที่ไหน ที่นั่นมีธรรมกายอยู่ในตัวทั้งสิ้น เป็นกายผู้รู้
ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว เป็นตัวพระรัตนตรัย เป็นธรรมจักขุ มีญาณทัสสนะ
เดินตามบรมครู
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทำอย่างนี้ เราเป็นลูกศิษย์ท่านก็ต้องทำอย่างนี้เหมือนกัน
หยุดนิ่งอย่างเดียว ไม่ได้ทำอะไรนอกจากนี้ พระพุทธเจ้านั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ก็นิ่งอย่างนี้แหละ
และก็เคลื่อนเข้าไป
พระเดชพระคุณหลวงปู่ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
วันที่สละชีวิตเป็นพุทธบูชา ในโบสถ์ วัดโบสถ์บน บางคูเวียง ท่านก็นั่งอย่างนี้ นิ่ง
ไม่ได้ตายเถอะ คือ ถ้าไม่ได้พบวิธีการที่จะบรรลุธรรม เหมือนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุ
ก็จะไม่ลุกจากที่ แปลว่า ท่านปล่อยวางทุกสิ่งแล้ว แม้ชีวิตเนื้อเลือดจะแห้งเหือดหายไป
เหลือแต่กระดูกหนังช่างมัน ท่านก็นิ่งเฉยๆ
พระบรมครู มหาปูชนียาจารย์ของเราทำอย่างนี้ เราก็แค่ทำอย่างท่านนั่นแหละ
คือ หยุด นิ่ง นุ่ม เบา สบาย ผ่อนคลาย ไม่กังวลเรื่องอะไร ปล่อยชีวิตไป แม้เราจะปล่อยไม่ได้เท่าที่ท่านสละทั้งชีวิต
เราก็ปล่อยเป็นช่วง เช่น เรานั่งช่วงเช้าจะกี่นาที จะเป็นชั่วโมง หรือหลายชั่วโมง เราก็ปล่อยชีวิตเท่าที่เราจะทำได้อย่างนั้นไปก่อน
ช่วงบ่าย เย็น ค่ำ กลางคืน กลางดึก เราก็ฝึกกันไปอย่างนี้ ฝึกปล่อยชีวิตช่วงสั้นไปเรื่อยๆ
เมื่อบารมีเต็มเปี่ยมมากเข้า การปล่อยชีวิตในช่วงยาวมันก็จะบังเกิดขึ้นเองเป็นอัตโนมัติ
ภาคบ่ายนี้อากาศก็จะอ้าว
เราไม่อาจจะบังคับสิ่งแวดล้อม ดินอากาศฟ้าได้ แต่เราสามารถเผชิญกับมันได้
โดยใจที่ไม่สูญเสียความสงบ ยังตั้งมั่น มีความสุขอยู่ภายใน ไม่สนใจภายนอก นี่คือการฝึกที่ถูกหลักวิชชา
เท่ากับเราเดินตามรอยของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือบัณฑิตนักปราชญ์ในกาลก่อน
จะเหนียวตัวเหนอะหนะ เหงื่อไหลไคลย้อยก็ช่างมัน เฉยๆ ร่างกายมันก็เป็นอย่างนี้
ในวันสุดท้ายของชีวิตมันจะยิ่งกว่านี้
เพราะฉะนั้น เราก็ฝึกไป ฝึกหยุด ฝึกนิ่ง
ทำเท่าที่เราทำได้อย่างนี้ไปก่อน แล้วสมาธิก็จะค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
ต่อไปเราสามารถผสมอากาศกันได้ ข้างนอกจะอบอ้าว แต่ภายในมันเย็นสบาย อากาศภายนอกกับภายในผสมกันพอดี
ในระดับที่เรานั่งอยู่ได้อย่างสุขใจ มีความสว่างไสวอยู่ภายใน ได้เข้าถึงดวงธรรมใสๆ
เข้าถึงองค์พระใสๆ
เร่งอย่างถูกหลักวิชชา
ดูไปเรื่อยๆ
อย่างสบายๆ ใจเย็นๆ นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ อย่างนี้ คือ การเร่งให้เร็วขึ้นอย่างถูกหลักวิชชา แต่การเค้นภาพ
หรือไปกดดันๆ มันไปอย่างนั้น หรือแหวกๆ เข้ากลาง อย่างนั้นเป็นการเร่งที่ไม่ถูกหลักวิชชา
เป็นความพยายามที่เหนื่อยเปล่า เหมือนหาน้ำจากก้อนหิน
เราบีบก้อนหินเพื่อจะหวังเอาน้ำในนั้นมาดื่ม
แต่กลับได้น้ำเหงื่อแทน เพราะฉะนั้นจะมีความเพียรก็ต้องทำให้ถูกหลักวิชชา
แค่หยุดนิ่ง นุ่ม เบา สบาย ใจเย็นๆ อย่างนี้ แค่นี้ เท่านั้น
สักแต่ว่า
มีอะไรให้ดูเราก็ดูไปเรื่อยๆ มีความมืดให้ดูเราก็ดูความมืด
มีอะไรวอบๆ แวบๆ ให้ดู เราก็ดูไปอย่างนั้นๆ ไม่ต้องคิดอะไร สักแต่ว่าดู
สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่า หรือดูไปอย่างนั้นๆ เป็นการดูที่ยิ่งใหญ่ภายในทีเดียว ที่จะทำให้ใจเราไม่ติดกับอะไรเลย
เมื่อใจไม่ติดอะไร
ความมหัศจรรย์ก็จะเกิดขึ้น คือ มันจะเคลื่อนเข้าไปสู่ภายในอย่างเร็วแรง เป็นความเร็วแรงที่มีความสุข
ไม่เหมือนเรานั่งรถเร็วที่กระชากรถออก ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เป็นการเคลื่อนไปด้วยความสมัครใจ
พึงพอใจสูงสุด มีความสุข ที่เข้าถึงองค์พระ
องค์พระก็จะซ้อนขึ้นมาต่อกันไม่ขาดสายเลย
จนเหมือนเป็นแกนขององค์พระอยู่ภายในที่ซ้อนต่อๆๆ กันอย่างหนาแน่น เป็นแกนแล้วก็พรึบเข้าไปข้างใน
ขยายไปทุกทิศทุกทาง เป็นประสบการณ์ภายในที่มหัศจรรย์อย่างยิ่ง
เราจะเป็นมนุษย์มหัศจรรย์
เมื่อเราเข้าถึงความมหัศจรรย์ภายใน หรือใจที่หยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบา สบายอย่างนี้แค่นี้เท่านั้นแหละ
สิ่งที่เราลงทุนให้เวลากับตัวเอง
ทำอย่างนี้มันก็สูญเสียเวลา เท่ากับให้เวลาทำอย่างอื่น แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนมันคุ้มเกินคุ้ม
กว่าที่เราเสียเพื่อเสียในสิ่งที่ผ่านมา
เพราะฉะนั้น การเคลื่อนเข้าไปสู่ภายในเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่
แล้วความรู้สึกเป็นใหญ่ในตัวเองมันจะเกิดขึ้นว่า เราสามารถเป็นอยู่ได้ด้วยตัวของเราเอง
โดยไม่ต้องไปพึ่งพาอาศัย เทพเจ้าหรือใครๆ นั่งบนอาสนะเดียวก็มีความผาสุกได้ ไม่เหงา
ไม่ว้าเหว่ ใจมันจะใสๆ
เพราะฉะนั้น เวลาที่เหลืออยู่นี้ให้ลูกทุกคน
ฝึกใจให้ใส ให้หยุด ให้นิ่ง เพราะเดี๋ยวเราจะสร้างมหาทานบารมีกันต่อไป ก่อนจะสร้างมหาทานบารมี
บริจาคทรัพย์ฝากฝังไว้ในพระพุทธศาสนา ก็ต้องเตรียมตัว เตรียมกาย วาจา ใจ ให้สะอาด
ให้บริสุทธิ์ จะได้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่ที่จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ให้ลูกทุกคนต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
นะจ๊ะ
(นำแผ่เมตตา)
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565