วัตถุประสงค์การเกิดเป็นมนุษย์
วันอาทิตย์ที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ (๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น. )
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย
ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ
อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตานะจ๊ะ
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเรา ให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด
บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง
ให้คลายความผูกพันกับทุกสิ่ง ตัดใจทิ้งไปให้หมดเลย ทำประหนึ่งว่า เราอยู่คนเดียวในโลก
ไม่เคยมีความผูกพันต่อสิ่งใดเลย ใจของเราจะได้ปลอดโปร่ง
วางใจ
แล้วก็รวมใจของเรากลับเข้าไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒
นิ้วมือนะจ๊ะ
โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท
จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นะจ๊ะ
หรือจำง่ายๆ ว่า อยู่บริเวณกลางท้องของเรา เหนือสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ ซึ่งเป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่น และเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน
ที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายนับพระองค์ไม่ถ้วน
เริ่มต้นหยุดใจที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ อย่างเดียว
ภายหลังจากที่ท่านตัดใจ คลายความผูกพันจากสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย
โดยพิจารณาด้วยปัญญาของพระองค์ท่านว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเมื่อเกิดขึ้น ตั้งอยู่
ก็ต้องเสื่อมสลายไป จะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ ตึกราม บ้านช่อง แม้แต่โลกใบนี้
สักวันหนึ่งก็จะต้อง เสื่อมสลายไป และก็เสื่อมไปทุกวัน เสื่อมสลายไปด้วยกัปพินาศ
ไฟบรรลัยกัลป์บ้าง ลมบรรลัยกัลป์บ้าง น้ำบรรลัยกัลป์บ้าง
เมื่อโลกใบนี้ยังต้องเป็นอย่างนี้ ภูเขา
ต้นไม้ ตึกราม บ้านช่อง รถรา ผู้คน ก็จะต้องไปสู่จุดสลายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ พระอรหันต์ทั้งหลายผู้ทรงอภิญญา
ยังต้องดับขันธปรินิพพาน
มหาปูชนียาจารย์ของเรา
มีพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย และคุณยายอาจารย์ของเรา เป็นต้น ที่มีมโนปณิธานอันยิ่งใหญ่
จะมุ่งไปปราบมารประหารกิเลสให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ก็ยังต้องแตกดับไป
ต้องไปสู่จุดสลาย บรรพบุรุษของเราก็เช่นเดียวกัน ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็เสื่อมสลายไป
เราก็เช่นเดียวกัน สักวันหนึ่งจะต้องเป็นเช่นนั้น แม้ทุกวันนี้ก็เสื่อมสลายไปเรื่อยๆ
ตั้งแต่เราเกิดมาจนกระทั่งบัดนี้
วัตถุประสงค์การเกิดเป็นมนุษย์
เรามาเกิดในโลกนี้
มีวัตถุประสงค์เพื่อจะสลัดตนให้พ้นจากกองทุกข์ ทำพระนิพพานให้แจ้ง
อย่างน้อยก็แสวงบุญ สร้างบารมีด้วยกายมนุษย์หยาบ
ซึ่งมีเวลาจำกัดเหลือเกิน เพราะความตายไม่มีนิมิตหมาย จะตายเมื่อไร ที่ใด ด้วยอะไร
เพราะฉะนั้นเราจะต้องดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท
ให้ถูกวัตถุประสงค์ของการมาเกิดเป็นมนุษย์ ที่จะสลัดตนให้พ้นจากทุกข์ ดับทุกข์ได้ ด้วยการทำพระนิพพานให้แจ้ง
การทำอย่างนี้ เรียกว่า ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต
และง่ายตรงลัดที่สุด คือ การทำใจหยุดใจนิ่งนั่นเอง ใจที่แวบไปแวบมานั่นแหละ คิดไปในเรื่องราวต่างๆ
นำมาหยุด ณ จุดเริ่มต้น ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ดังกล่าว และทำอย่างที่พระพุทธเจ้า
พระอรหันต์ทั้งหลายท่านทำ คือ หยุดใจอย่างเดียว ทำใจหยุดใจนิ่งอย่างเดียว ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์
หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะได้ ไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้
สภาวธรรมภายใน
เมื่อใจหยุดที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ได้ ความสว่างภายในก็จะเกิด
ทำให้เราได้เห็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวของเรา โดยที่เราไม่เคยทราบมาก่อน เช่น
ดวงธรรมใสๆ กายภายใน กายในกาย แล้วก็พระรัตนตรัยในตัว คือ พระธรรมกาย ตั้งแต่กายธรรมโคตรภู
กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี และกายธรรมพระอรหัต จะเห็นไปตามลำดับ
การเห็นกายในกาย จะทำให้เราเห็นเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมไปด้วย
เพราะทั้ง ๔ อย่างนั้น รวมประชุมอยู่ที่เดียวกัน แต่ทำกันคนละหน้าที่ มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป
เพราะฉะนั้นใจหยุดจึงเป็นตัวสำเร็จ จับหลักตรงนี้ให้ได้ แล้วก็พึงทำความเข้าใจว่า มรรคผลนิพพานอยู่ภายในตัวของเรา ไม่ได้อยู่นอกตัว เพราะฉะนั้น
การแสวงหาก็ต้องแสวงหาภายใน และทุกคนสามารถทำได้ โดยไม่จำกัดกาลเวลา ถ้าทำถูกหลักวิชชาแล้วก็มีความเพียร
บริกรรมนิมิต
โดยเริ่มต้นหยุดใจที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ตรงนี้ อย่างสบายๆ จะหยุดใจนิ่งเฉยๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรเลยก็ได้ หรือจะนึกถึงบริกรรมนิมิตเป็นภาพทางใจ
มีสัญลักษณ์ของพระรัตนตรัย เป็นต้น เช่น พระแก้วขาวใสแทนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หรือดวงแก้วใสๆ แทนธรรมรัตนะ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือจะนึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่
ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย แทนสังฆรัตนะก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งนะจ๊ะ
จะนึกเป็นภาพ หรือไม่เป็นภาพก็ได้ ถ้าเป็นภาพ
ก็ภาพใดภาพหนึ่ง ให้นึกอย่างสบาย ต่อเนื่องกันไป อย่าให้ขาดตอน นึกไปเรื่อยๆ เบาๆ
สบายๆ ทำใจเย็นๆ
บริกรรมภาวนา
แล้วก็ประคองใจไม่ให้แวบไปคิดเรื่องอื่นด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ
สม่ำเสมอ โดยให้เสียงคำภาวนาดังออกมาจากในกลางท้องของเรา ภาวนาว่า สัมมาอะระหังๆๆ จะภาวนากี่ครั้งก็ได้
จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง เมื่อใจหยุดนิ่งมันก็จะทิ้งคำภาวนาไปเอง จะมีความรู้สึกว่า เราไม่อยากจะภาวนา
สัมมาอะระหัง ต่อไป อยากหยุดใจนิ่งเฉยๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ถ้าหากว่าเกิดความรู้สึกอย่างนี้
เราก็ไม่ต้องภาวนา สัมมาอะระหัง ต่อไป
แต่เมื่อใดใจฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น
เราจึงย้อนกลับมาภาวนา สัมมาอะระหัง อีก ให้ค่อยๆ ประคับประคองใจกันไปอย่างนี้
จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง เมื่อใจหยุดนิ่งแล้วก็หยุดนิ่งต่อไป ไม่ต้องทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้
ดูไปด้วยใจสบาย
มีอะไรมาให้เราดู เราก็ดูไป ดูไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ
โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น เมื่อมีประสบการณ์ภายใน จะเป็นอย่างไร จะหลากหลายอย่างไร
ก็ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้น อย่างมีสติ ไม่ฝืนประสบการณ์ภายใน ให้ปล่อยมันไปอย่างนั้น
อย่างสบายๆ
แต่ถ้าหากว่าเราง่วง เราก็ปล่อยให้มันหลับไปสักนิดหนึ่ง
เมื่อยก็ขยับ ฟุ้งก็ลืมตา แล้วก็เริ่มต้นว่ากันใหม่ พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ทุกครั้ง
อย่างง่ายๆ ให้ทำกันไปอย่างนี้นะจ๊ะ
เช้านี้อากาศกำลังสดชื่น เหมาะสมที่ลูกผู้มีบุญทุกคน
จะได้ทำความเพียร ให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ก็ให้ตั้งอก ตั้งใจ ประคับประคองใจ
ให้หยุดให้นิ่งกัน ให้ลูกทุกคนสมหวังดั่งใจ ในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ คนนะลูกนะ
ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565