ต้นบุญต้นแบบของภพ ๓
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑ ( ๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น. )
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ
โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวา จรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ
ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน
สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจ การงาน บ้านช่อง
การศึกษาเล่าเรียนหรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้
ปล่อยวาง
ให้ปลด
ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันจากทุกๆ สิ่ง
โดยพิจารณาความเป็นจริงของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลายว่า ทุกสิ่งล้วนไปสู่จุดสลาย
เมื่อเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เสื่อมสลายหายไป เป็นปรากฏการณ์ที่เป็นเช่นนี้
เป็นสัจธรรมที่หนีไม่พ้น แม้แต่ตัวของเราเองก็จะเป็นเช่นนี้
การไม่ผูกพัน
ยึดมั่น ถือมั่น ในสิ่งที่ไม่เที่ยง แปรปรวน เปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ไม่ใช่เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง ไม่เกิดประโยชน์อันใด เพราะฉะนั้นให้ปลด
ให้ปล่อย ให้วาง เพราะว่าเรามีชีวิตเป็นกายมนุษย์อยู่เพียงช่วงสั้นๆ
ในช่วงอายุขัยมนุษย์เฉลี่ย ๗๕ ปีทั่วโลก เราจะอยู่ไปถึงวันนั้นหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
มีเป็นจำนวนมากที่อยู่ไม่ถึง มีจำนวนน้อยที่อายุเกินไปกว่านั้น
ต้นบุญต้นแบบของภพ
๓
สักวันหนึ่ง
เราก็จะต้องไปสู่จุดสลายเช่นเดียวกัน ต้องละจากโลกใบนี้ไป เราก็จะต้องมาทบทวนว่า
เมื่อเรามีชีวิตอยู่ช่วงสั้นๆ เราจะทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์อันสูงสุด
สำหรับการมาเกิดเป็นมนุษย์ในครั้งนี้
เมื่อความตายไม่มีนิมิตหมาย เราจะเลือกใครเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง
ปิดอบาย ไปสวรรค์ มีสุขในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อเราทบทวนกันไปทั่วโลกแล้ว
มีแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์เท่านั้นที่จะเป็นต้นบุญต้นแบบที่ดีของเราได้
เพราะว่าท่านผ่านชีวิตของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
ในภพทั้ง ๓ มายาวนาน เกิดในทุกชนชั้น ทั้งชนชั้นล่าง ชั้นกลาง ชั้นสูง
ซึ่งในแต่ละครั้งที่ท่านมาเกิด ก็พบว่าชีวิตทุกระดับก็มีความทุกข์ทั้งสิ้น
แล้วท่านก็แสวงหาหนทางที่จะพ้นทุกข์ จะดับทุกข์ได้ ก็ฝึกตน ทนหิว บำเพ็ญตบะ
สั่งสมบุญบารมี พัฒนาตัวเองเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว ก็ได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ดับทุกข์ได้ หลุดพ้นจากความทุกข์
พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดไปสู่อายตนนิพพาน
แล้วท่านยังมีมหากรุณา
ด้วยความรักและปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ต่อมนุษย์และเทวดา
โดยปรารถนาให้ทุกคนสมหวัง ได้ชีวิตเช่นเดียวกับพระองค์ท่าน
จึงได้ถ่ายทอดความรู้ที่ท่านได้บรรลุธรรม มาเป็นคำสั่งสอนนี้ ให้แก่มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
เพื่อให้ได้บรรลุวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ดับทุกข์ได้เช่นเดียวกับพระองค์
เพราะฉะนั้น
พระองค์จึงเป็นต้นบุญต้นแบบที่ดีของเรา ที่เราจะต้องเดินตามรอยท่าน ด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของท่าน
ที่ท่านได้ประสบความสำเร็จในชีวิต หลุดพ้นในสังสารวัฏไปสู่อายตนนิพานได้
เส้นทางนั้นก็คือ
เส้นทางของพระอริยเจ้า
เส้นทางไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้า เเปลว่า ถ้าอยากจะเป็นอย่างพระองค์
ก็ต้องทำอย่างพระองค์ พระองค์ฝึกตนด้วยการเดินตามวิถีทางที่จะทำให้เป็นพระอริยเจ้า
ที่เรียกว่า อริยมรรค ประกอบไปด้วยองค์
๘
ตั้งแต่มีความเห็นถูก
ที่เราคุ้นกับคำว่า สัมมาทิฐิ เรื่อยไปเลย
พัฒนาตัวเองไปตามขั้นตอน แล้วก็มาลงท้ายที่ สัมมาสมาธิ
ก็คือ ให้นำใจกลับมาสู่ภายใน หยุดนิ่งอยู่ภายในด้วยตัวของตัวเองที่กลางกายตรงนั้นแหละ
ไม่ต้องทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ เพราะหยุดเป็นตัวสำเร็จ
ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์
เมื่อเราจับหลักการตรงนี้ได้แล้ว
ก็เหลือแต่วิธีการ ที่จะทำตามหลักการคำสอนที่ท่านได้ถ่ายทอดมานั้น
วางใจ
ตอนนี้เราก็ปรับร่างกายของเราให้ผ่อนคลาย
สบาย ปล่อยวางความผูกพันในคน สัตว์ สิ่งของ สรรพสัตว์ สรรพสิ่งทั้งหลาย
ปล่อยวางหมด ไม่ยึดมั่น ถือมั่น ทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส สว่างไสว แล้วก็น้อมใจของเรากลับเข้ามาสู่ภายใน
ให้ใจมาหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า
เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม
เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ซึ่งเป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่น และเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพานที่พระพุทธเจ้า
พระอรหันต์ทั้งหลาย ได้เริ่มหยุดใจอยู่ที่ตรงนี้
และก็ไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ หยุดนิ่งอย่างเดียว อย่างเบาๆ สบายๆ เราก็เช่นเดียวกัน
นำใจกลับมาหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
นึกถึงบุญ
แล้วก็นึกถึงบุญทุกบุญที่เราได้สั่งสมมา
ตั้งแต่ปฐมชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เราสั่งสมบุญกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วน มาจนกระทั่งถึงปัจจุบันชาตินี้
ให้มาประมวลรวมบุญ เป็นดวงบุญใสๆ ติดอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ในกลางท้องของเรา
ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
บริกรรมนิมิต
ให้เราตรึกนึกถึงดวงใส
เอาใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ ที่กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว แต่ว่าใส บริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิเลย สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แต่ว่าใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
ให้เรานึกถึงดวงบุญใสๆ นี้ อย่างสบายๆ ใจเย็นๆ ค่อยๆ นึก ค่อยๆ คิด ทำใจให้หยุดในหยุด
นิ่งในนิ่ง นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ผ่อนคลาย
บริกรรมภาวนา
ตรึกนึกถึงดวงใส
เอาใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนาว่า สัมมาอะระหังๆๆ ให้ดังออกมาจากในกลางท้องของเราอย่างต่อเนื่อง
ประคองใจกันไปอย่างนี้ จนกว่าใจเราไม่อยากจะภาวนาต่อไป อยากจะหยุดใจนิ่ง นุ่ม เบา
สบาย เราก็ไม่ต้องภาวนาสัมมาอะระหังต่อไป
แต่ว่าเมื่อใดใจฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น
เราจึงย้อนกลับมาภาวนาสัมมาอะระหังใหม่ ให้ ประคับประคองใจกันไปอย่างนี้
วันนี้เป็นวันมหาสงกรานต์
เป็นวันปีใหม่ไทย อากาศกำลังสดใส เหมาะสมที่ลูกผู้มีบุญทุกคนจะได้ประกอบความเพียร
เพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ก็ให้ใช้ช่วงจังหวะเวลาของชีวิตที่ดี และอากาศกำลังสดชื่นนี้
ประคองใจให้หยุดนิ่งกัน เช้านี้ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจ
ในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบ
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565